ต่อมาเฉินยวนจีก็มาบอกว่ามีแขกมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว มาจากนครมังกรเฒ่า บอกว่าตัวเองชื่อซุนเจียซู่
ตอนนั้นจูเหลี่ยนที่ผูกผ้ากันเปื้อนไว้รอบเอวร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วก็บอกแค่ว่าให้เจ้าประมุขตระกูลซุนผู้นั้นรอไปก่อน หากไม่ได้จริงๆ ก็ตะโกนเรียกชื่อเว่ยป้อดังๆ ให้เจ้าหมอนั่นออกมารับรองแขกก่อน
เผยเฉียนจึงเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าไปทำธุระสำคัญก่อนเถอะ ทำกับข้าวได้ตั้งหลายอย่างแล้ว แค่นี้ก็พอกิน เดี๋ยวข้าบอกให้โจวหมี่ลี่ยกขึ้นโต๊ะเอง”
ภูตน้ำน้อยที่ช่วยแบกไม้เท้าเดินป่าให้เผยเฉียนอยู่ในลานบ้านรีบยืดเอวตั้งตรง ตะโกนเสียงดังว่า “โจวหมี่ลี่ผู้พิทักษ์ชั่วคราวฝ่ายขวาแห่งร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง รับคำสั่ง!”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที ก่อนหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากทำงานได้ดี วันหน้ารอให้อาจารย์ข้ากลับมาเมื่อไร ข้าจะช่วยพูดถึงเจ้าดีๆ ต่อหน้าอาจารย์ ให้เจ้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่วก็น่าจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง”
โจวหมี่ลี่ยิ่งยืดอกตั้งตรง ยิ้มปากกว้าง แต่ไม่นานก็รีบหุบปากลง
ทว่าจูเหลี่ยนที่อยู่ในห้องครัวกลับเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันหน้ามา “ข้ารู้สึกว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็คือธุระสำคัญ”
เผยเฉียนลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าไปพบใครที่ว่านั่นก่อนเถอะ ทำกับข้าวเยอะขนาดนี้ ถ้ากินไม่หมดจะทำอย่างไร”
โจวหมี่ลี่กำลังจะเอ่ยถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยความชอบธรรม กลับถูกเผยเฉียนหันหน้ามาถลึงตาใส่ โจวหมี่ลี่จึงรีบพูดเสียงดังทันทีว่า “วันนี้ข้าไม่หิว!”
จูเหลี่ยนถึงได้วางกระทะลง ปลดผ้าคลุมกันเปื้อนออกแล้วเดินออกจากห้องครัวทะลุผ่านลานเรือนออกไป
ทางฝั่งของห้องหลัก เผยเฉียนให้โจวหมี่ลี่ยกอาหารเหล่านั้นขึ้นโต๊ะ แต่ที่ทำให้โจวหมี่ลี่แปลกใจก็คือเผยเฉียนยังสั่งให้นางหยิบชามกับตะเกียบเพิ่มมาอีกหนึ่งชุด แล้ววางลงบนตำแหน่งประธานที่หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่
โจวหมี่ลี่หยิบถ้วยใบใหญ่มาหนึ่งใบ ตักข้าวใส่ถ้วยจนเต็ม แล้วนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเผยเฉียน เพราะโจวหมี่ลี่จำเป็นต้องช่วยคีบกับข้าวป้อนเผยเฉียน นี่เป็นเรื่องที่เป็นปกติไปแล้วสำหรับช่วงที่ผ่านมานี้ เพราะนางที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจะต้องคอยสร้างความดีความชอบ เผยเฉียนบอกแล้วว่า เรื่องแต่ละอย่างที่โจวหมี่ลี่ทำ นางเผยเฉียนจะจดลงบนสมุดบันทึกความดีความชอบ รอให้วันใดที่อาจารย์กลับบ้านมาก็จะเป็นช่วงเวลาของการคิดคำนวณความดีความชอบแล้วตบรางวัล
ทุกครั้งที่โจวหมี่ลี่ป้อนอาหารให้เผยเฉียนหนึ่งคำ ตัวนางเองจะสวาปามคำใหญ่ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเผยเฉียนหันไปมองตำแหน่งว่างเปล่าที่วางถ้วยข้าวและตะเกียบไว้นิ่งๆ จากนั้นเผยเฉียนก็ถอนสายตากลับคล้ายจะอารมณ์ดี โคลงศีรษะยักไหล่ บอกโจวหมี่ลี่ว่าให้เติมข้าวให้นางอีกถ้วยเล็ก วันนี้นางต้องกินให้มากหน่อย กินอิ่มแล้ว พรุ่งนี้นางถึงจะได้กินหมัดได้มากขึ้นอีกหน่อย
โจวหมี่ลี่ลุกขึ้นแล้วเดินตุปัดตุเป๋ถือถ้วยข้าวที่ว่างเปล่าไปเติมข้าวจากถังข้าวที่ตั้งวางอยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้านข้าง
ตอนที่หันหลังให้เผยเฉียน ภูตน้ำน้อยก็แอบปาดน้ำตา สูดจมูก นางไม่ได้โง่จริงๆ เสียหน่อย จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ข้าวทุกคำที่เผยเฉียนกินเข้าไปล้วนทำให้นางเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว
วันนี้คือวันที่ห้าเดือนห้า
……
ผู้ฝึกตนเข้าภูเขาที่มีชื่อเสียงได้ง่าย
เฉินผิงอันไปเจอกับบัณฑิตและเด็กรับใช้คู่หนึ่งในภูเขาลึกของแคว้นฝูฉวี เป็นคนธรรมดาสองคน บัณฑิตคือคนที่ผิดหวังจากการสอบเคอจวี่ เพราะได้อ่านนิยายเรื่องเล่าพิสดารและบทประพันธ์ของกวีมาก่อน ได้ยินมาว่ายอดฝีมือที่บรรลุมรรคาทั้งหลายมักจะมาซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาอย่างสันโดษ จึงอยากจะลองมาตามหาดูสักคนสองคน ดูสิว่าจะสามารถเล่าเรียนวิชาตระกูลเซียนได้บ้างหรือไม่ เพราะมีความรู้สึกว่าทำอย่างนี้น่าจะง่ายกว่าการสอบติดกระดานทองคำแล้วกลับคืนบ้านเกิดด้วยความภาคภูมิใจ ดังนั้นจึงไล่ตามหาอยู่ตามวัดวาอารามและป่าเขาอย่างเหนื่อยยาก ตลอดทางที่ผ่านมาต้องเจอกับความยากลำบากมากมาย ตอนที่เฉินผิงอันเจอกับพวกเขาบนทางสายเล็กในป่า บัณฑิตหนุ่มและเด็กรับใช้ที่เป็นเด็กหนุ่มก็ผ่ายผอมจนใบหน้าเหลืองแห้งตอบ ท้องร้องดังโครกครากด้วยความหิวโหย ภายใต้แสงแดดที่ส่องแสงแรงกล้า เด็กหนุ่มกำลังพยายามจับปลาอยู่ในลำธารสายเล็กอย่างยากลำบาก บัณฑิตหนุ่มนั่งหลบร้อนรับลมเย็นอยู่ใต้ร่มไม้ คอยถามอยู่เป็นระยะว่าจับปลาได้หรือยัง เด็กหนุ่มที่เหน็ดเหนื่อยสุดขีดรู้สึกอัดอั้นตันใจนัก ทว่าก็ได้แต่ตอบว่ายังไม่ได้เลย ตอนนั้นเฉินผิงอันนอนเอนตัวอยู่บนกิ่งต้นสนโบราณ หลับตาทำสมาธิ ขณะเดียวกันก็ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูและท่านอนเชียนชิวไปพร้อมกัน สุดท้ายกว่าที่เด็กหนุ่มจะจับปลาหวงกู่โผที่มีครีบแหลมตัวหนึ่งมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาดีใจเป็นล้นพ้น ใช้สองมือกุมปลาเอาไว้แน่น ตะโกนพูดเสียงดังบอกว่าปลาตัวใหญ่มากเลย กำลังโอ้อวดผลงานกับคุณชายของตัวเองอย่างอารมณ์ดี ผลกลับกลายเป็นว่าความเจ็บปวดแล่นปราดมาจากฝ่ามือ จึงปล่อยมือออก ปลาก็ดิ้นหลุดหายจ๋อมไปในน้ำ บัณฑิตหนุ่มคนนั้นโยนใบกล้วยที่เอามาใช้แทนพัดทิ้ง เดิมทีกำลังคิดจะมอง ‘ปลาใหญ่’ ตัวนั้นให้ชัดๆ กลับได้เห็นเด็กหนุ่มที่ทิ้งตัวนั่งแปะลงในธารน้ำแล้วแผดเสียงร้องไห้โฮแทน บัณฑิตหนุ่มถอนหายใจหนึ่งที บอกว่าไม่ต้องรีบร้อนๆ แล้วตามด้วยประโยคปลอบใจว่าได้มาถือเป็นความโชคดี เสียไปถือเป็นโชคชะตา คิดไม่ถึงว่าพอเด็กหนุ่มได้ยินจะยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า ทำเอาบัณฑิตหนุ่มยกมือเกาหัวอย่างกลัดกลุ้ม
เฉินผิงอันจึงหยิบเอาหีบไม้ไผ่มาสะพายไว้บนหลัง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวอันใหม่เอี่ยม พลิ้วกายลงบนเส้นทางภูเขา แล้วเดินเนิบช้าไป ‘บังเอิญเจอ’ กับบัณฑิตหนุ่มและเด็กหนุ่ม ครั้นจึงปลดหีบไม้ไผ่ลง ม้วนชายกางเกงและชายแขนเสื้อ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ลงลำธารไป เล็งไปยังจุดที่มีปลาว่ายผ่านค่อนข้างเยอะ จากนั้นก็เริ่มย้ายก้อนหิน เอามาสร้างเป็นเขื่อนอยู่ตอนบนของน้ำตำแหน่งติดริมฝั่ง ก้อนหนึ่งวางนอน ก้อนหนึ่งวางตั้ง แล้วก็วางนอนอีกที ต่อมาก็เริ่มจับปลาอยู่ในเขตอิทธิพลของตัวเองที่น้ำตื้นไม่ถึงฝ่ามือ เพียงไม่นานก็มีปลาหวงกู่โผ (ลักษณะเหมือนปลาข้างเหลือง/ปลาสีกุน) และฉวนติงจื่อ (หรือปลากุดเจียนจิ้งจกจีน Saurogobio dabryi ลักษณะเป็นปลาตัวเล็กๆ เรียวๆ เหมือนจิ้งจก) ถูกจับโยนขึ้นไปบนฝั่ง เด็กหนุ่มคนนั้นดวงตาเป็นประกายวาบ รู้สึกว่าหากอิงตามคำบอกของคุณชาย เมื่ออยู่ในยุทธภพ นี่เรียกว่าการถูกกรอกสติปัญญาเข้าสมอง ถูกผู้อาวุโสในยุทธภพที่ถูกใจในฐานกระดูกกรอกเทพลังยุทธหกสิบปีใส่มาให้ เมื่ออยู่บนภูเขา นี่จะเรียกว่าเซียนถ่ายทอดวิชาอมตะ!
เด็กหนุ่มลืมอาการปวดแสบปวดร้อนกลางฝ่ามือไปเสียสนิท เขาเริ่มย้ายหินวักน้ำเลียนแบบอีกฝ่าย แล้วก็ได้ผลเก็บเกี่ยวดังที่คาดจริงๆ ปลามากมายหลายชนิดที่เขาเรียกชื่อไม่ถูกพากันกรูเข้ามา แม้ว่าจะไม่อาจทัดเทียม ‘ผู้อาวุโส’ ท่านนั้นได้ แต่เอามาเป็นอาหารกลางวันให้พอผ่านไปมื้อหนึ่งของตนกับคุณชายก็มากพอเหลือแหล่ เพียงแต่พอคิดถึงว่าแท่งจุดไฟถูกใช้ไปหมดแล้ว จะก่อไฟย่างปลาอย่างไร บัณฑิตหนุ่มและเด็กหนุ่มก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง หากเส้นทางที่เดินมานี้ไม่ผิดพลาด พวกเขาก็น่าจะอยู่ห่างจากอำเภอที่ใกล้ที่สุดอย่างน้อยก็อีกร้อยกว่าลี้ของระยะทางบนภูเขา พวกเขาไม่ได้พบเจอกับกลิ่นควันไฟของการหุงหาอาหารมานานมากแล้วจริงๆ ช่วงแรกๆ ที่ออกเดินทาง รู้สึกว่าเสียงไก่ขันหมาเห่าตามหมู่บ้านชนบททั้งหลายน่ารำคาญอย่างถึงที่สุด ทว่าตอนนี้กลับคิดถึงบรรยากาศแบบนั้นมากจริงๆ
โชคดีที่บุรุษหนุ่มชุดเขียวที่มองไม่เหมือนคนชั่วร้ายผู้นั้นเริ่มสอนสุดยอดวิชาให้กับเด็กหนุ่มอีกหนึ่งอย่าง เขาไปเด็ดหญ้าหางสุนัขมาหลายเส้น แล้วเอาปลาในลำธารที่ผ่านการกรีดท้องควักไส้ล้างเรียบร้อยแล้วมาร้อยเข้าพวง จากนั้นก็เอาวางตากแดดไว้บนก้อนหินใหญ่ริมน้ำ เด็กหนุ่มคิดในใจ ไม่สนกับมารดามันแล้ว เรียนเลยก็ใช้เลยแล้วกัน เขาเอาปลาในลำธารที่ตัวใหญ่หน่อยก็เท่าฝ่ามือ ตัวเล็กหน่อยก็ยาวแค่นิ้วมือมาล้างทำความสะอาด จากนั้นก็วางแนบติดไว้บนก้อนหินริมลำธารที่ร้อนระอุ
บัณฑิตบอกชื่อแซ่ของตัวเอง เขาเป็นคนจากเขตการปกครองลู่จิ่วแคว้นฝูฉวี แซ่หลู่นามตุน เขาเชื้อเชิญให้คนหนุ่มชุดเขียวมานั่งหลบแดดใต้ร่มไม้ด้วยกัน ส่วนเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้นั้นนั่งอยู่ด้านข้าง คอยมองปลาหลายสิบตัวที่นอนตากแดดแผดเผาอยู่บนก้อนหินห่างไปไม่ไกลแล้วแอบดีใจอยู่กับตัวเอง คนหนุ่มบอกว่าตนแซ่เฉิน มาจากแคว้นเล็กๆ ทางทิศใต้ เดินทางท่องเที่ยวจนมาถึงที่นี่ หลูตุนจึงชวนเขาคุย หลักๆ แล้วคือหวังว่าจะสามารถเดินทางไปร่วมกับคุณชายเฉินที่แบกหีบตำราออกทัศนาจรผู้นี้ เดินทางไปยังบ้านเกิดเขาที่เขตการปกครองลู่จิ่วด้วยกัน ไม่อย่างนั้นเขาที่กระเป๋าฟีบแบนมานานแล้ว และนี่ก็ยังเหลือระยะทางอีกตั้งห้าหกร้อยลี้ จะเดินทางไปอย่างไร? อันที่จริงระหว่างที่ย้อนกลับบ้านเกิดนี้ก็มีตระกูลมีชื่อเสียงในท้องถิ่นสองแห่งที่ถือว่ามีมิตรภาพกับครอบครัวของเขามาหลายรุ่นหลายสมัย ซึ่งพอจะให้เขาไปขอหยิบยืมค่าเดินทางได้ เพียงแต่ว่าเขาหรือจะกล้าเปิดปากเอ่ยเช่นนั้น อันที่จริงตระกูลที่อยู่ค่อนข้างใกล้นั้นมีคนวัยเดียวกันที่มีชื่อติดบนกระดานดอกซิ่ง *(เพราะช่วงประกาศผลสอบมักจะเป็นช่วงที่ดอกซิ่งบานสะพรั่ง จึงเรียกกระดานประกาศผลสอบว่ากระดานดอกซิ่ง)*ของการสอบระดับแคว้นในเมืองหลวงครั้งนี้อยู่ด้วย หากเขาไปเยือนด้วยสภาพเหมือนขอทานเช่นนี้ จะถูกมองเป็นตัวอะไร ส่วนอีกตระกูลหนึ่งนั้น ในตระกูลมีแม่นางงดงามที่เขาเฝ้าคิดถึงคะนึงหา คือสาวงามเลื่องชื่อที่ทั้งเรียบร้อยและอ่อนโยน เขาก็ยิ่งไม่มีหน้าจะไปเยือน
เฉินผิงอันหยิบอาหารแห้งส่วนหนึ่งในหีบไม้ไผ่มายื่นให้คู่นายบ่าว
บัณฑิตหนุ่มเอ่ยขอบคุณแล้วก็ไม่เกรงใจ รับมาแล้วแบ่งให้กับเด็กหนุ่มข้ารับใช้คนละครึ่ง
คนทั้งสามกินอาหารแห้งด้วยกัน
แล้วเฉินผิงอันจึงพูดให้ฟังว่าปลาที่ตากแดดจนแห้งเหล่านั้นสามารถเอามากินได้โดยตรง ถือว่าพอจะเติมท้องให้หายหิวได้บ้าง
บัณฑิตและเด็กหนุ่มต่างก็ทำท่ากระจ่างแจ้งโดยพลัน
ถึงอย่างไรคนหนุ่มผู้นั้นก็เป็นคนที่เล่าเรียนหนังสือ จึงบอกว่าตนเคยอ่านเจอบันทึกที่คล้ายคลึงกันนี้จากตำราเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ตำราเบ็ดเตล็ดซีเจียง’ บอกว่าแสงอาทิตย์ที่แผดเผานั้นน่ากลัวนัก ลองเอาแผ่นแป้งไปแปะผนังอิฐ เพียงครู่เดียวก็สามารถกลายเป็นแผ่นแป้งย่างได้
เด็กหนุ่มข้ารับใช้รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าคุณชายของตนต้องมีความรู้อย่างมาก
เฉินผิงอันรับฟังคำบรรยายของบัณฑิตหนุ่มอย่างอดทนจนจบ ขณะที่เคี้ยวอาหารช้าๆ ก็คิดถึงเรื่องบางอย่างไปด้วย
ตอนอยู่ท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิงเขาซื้อเทียบฝนธัญพืชยี่สิบสี่ฤดูกาลมาหนึ่งชุด จำนวนมาก แต่กลับราคาไม่แพง แค่ยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ที่แพงก็คือแผ่นป้ายฝนธัญพืชแผ่นนั้นที่ขายด้วยราคาสี่สิบแปดเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เพื่อต่อราคาให้ลดลงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ตอนนั้นเฉินผิงอันต้องเปลืองแรงไปมหาศาล
ตอนอยู่แคว้นจิ่งหนันที่เล่นแข่งจิ้งหรีดจนกลายเป็นความนิยมได้ซื้อกรงจิ้งหรีดไม้ไผ่สานมาอีกสามใบ คิดว่าจะนำไปมอบให้กับเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่ แน่นอนว่าย่อมไม่ลืมเฉินหรูชูเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูด้วย
ซื้อกระถางเครื่องกระเบื้องขนาดเล็กสามใบมาจากแคว้นหลันฝาง สามารถปลูกต้นสนขนาดเล็ก ดอกกล้วยไม้ได้ กระถางของแคว้นหลันฝางนั้นงดงามเลิศล้ำที่สุดในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น แล้วก็เป็นของฝากคนละชิ้นของทั้งสามคนนั้นเช่นกัน เพียงแต่คาดว่าเรื่องของการปลูกต้นไม้ดอกไม้นี้ เผยเฉียนและโจวหมี่ลี่คงจะให้เฉินหรูชูเป็นคนดูแล ได้ไปไม่นานก็คงไม่เหลือความอดทนให้คอยรดน้ำ ย้ายเข้าย้ายออกทุกวันแล้ว
ซื้อกระถางธูปหอมที่เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ก่อนเคยใช้งานมาจากแคว้นจินเฟยหนึ่งใบ และยังมีลูกกลมทองคำแกะลายฉลุที่เป็นดั่งผลงานรังสรรค์จากองค์เทพ สลักเลื่อมทั้งชุด ไล่ระดับจากลูกใหญ่มาเล็ก มีมากถึงเก้าลูก
สุดท้ายเฉินผิงอันไม่ได้ตอบตกลงเดินทางไปพร้อมกับบัณฑิตหนุ่ม
แต่ได้มอบปลาที่ตนจับได้ให้พวกเขา และยังมอบคันเบ็ดกับเส้นเอ็นตกปลาอีกส่วนหนึ่งให้ด้วย หลังจากที่คนทั้งสองเอ่ยขอบคุณอีกครั้งก็ออกเดินทางกันไปต่อ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ริมลำธารกลางภูเขา เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ
ออกเดินทางไกลมาหลายปีขนาดนี้
เฉินผิงอันเคยพบเจอคนมามากมาย แล้วก็รู้สึกเลื่อมใสคนมากมาย
แต่ท่ามกลางการเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุดสำหรับเขาคราวนั้น กลับมีอยู่คนหนึ่งที่มองดูเหมือนไม่สะดุดตามากที่สุด เป็นเพียงแค่คนที่เดินผ่านทางมาบนเส้นทางดินโคลนของโลกมนุษย์คนหนึ่ง แต่กลับทำให้เฉินผิงอันจดจำได้แม่นยำราวกับว่าเรื่องเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
นั่นคือหญิงชราในหมู่บ้านชนบทที่ชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรคคนหนึ่ง ตอนนั้นเฉินผิงอันพาเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ไปชดใช้หนี้ด้วยกัน
ตรงริมลำธารที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้าน เฉินผิงอันเห็นหญิงชรายากจนที่เรือนกายงองุ้มคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน แม้ว่าจะเต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกตกต่ำอับจนแม้แต่น้อย
หญิงชราเพิ่งจะซักผ้าเสร็จ นางคล้องตะกร้าไม้ไผ่สานใบใหญ่ไว้ในมือ ระหว่างที่เดินกลับบ้านก็เห็นผีหลานชายตนที่ตายไปเข้าสิงอยู่บนร่างเจิงเย่ที่วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชรา แล้วโขกหัวคำนับนางอย่างแรง
หญิงชราจึงรีบวางตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่เสื้อผ้าสะอาดไว้จนเต็มลงบนพื้นดิน ทรุดตัวลงพยายามจะประคองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักขึ้นมา
ภาพเหตุการณ์นั้น
สามารถทำให้เฉินผิงอันจดจำไปได้ชั่วชีวิต
หรือถึงขั้นพูดได้ว่า สำหรับเฉินผิงอันแล้ว นางก็เหมือนแสงตะเกียงจุดที่เล็กมากๆ แต่กลับอบอุ่นอย่างมากท่ามกลางทะเลสาบซูเจี่ยนที่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเอง
บนร่างของหญิงชราทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงพลังของคำสองคำได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
เยือกเย็น
ราวกับว่าต่อให้กฎเกณฑ์และความยากลำบากทั้งหลายที่มองไม่เห็นในฟ้าดินแห่งนี้จะพากันหล่นกระแทกลงมาบนร่างของหญิงชราอย่างจัง แต่พวกมันกลับไม่มีค่าพอให้พูดถึงแม้แต่น้อย
บนโลกมีการแบ่งบนภูเขาล่างภูเขา แล้วก็มีการแบ่งแยกรวยจน สูงศักดิ์ต่ำต้อย ทว่าน้ำหนักของความยากลำบากกลับไม่เคยมีการแบ่งว่ามากหรือน้อย เมื่อมันหล่นลงบนหัวของทุกคน ถ้อยคำไม่น่าฟังที่คนบางคนได้ยิน อาจกลายไปเป็นความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดจ้วงแทงของคนอื่น นี่เป็นเรื่องที่ยากจะใช้หลักการเหตุผลอะไรมาอธิบายได้ เพราะมันต่างก็เป็นความยากลำบากเหมือนๆ กัน
มีเพียงคำว่าเยือกเย็นเท่านั้นที่พันปีก็ไม่แปรเปลี่ยน
เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง นั่นเป็นเพราะเขาถูกบีบให้ออกมาจากวิชาการสำรวจภายในของผู้ฝึกตน จิตวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
นี่ไม่ใช่ภาพปรากฎการณ์ความวุ่นวายที่ผู้ฝึกยุทธธาตุไฟเข้าแทรกอย่างแน่นอน
เขารู้สึกเพียงว่าชายแขนเสื้อสองข้างพองสะบัด เฉิงผิงอันไม่อาจควบคุมปณิธานหมัดของทั้งร่างตัวเองได้เลย
ตรงตำแหน่งหัวใจและหน้าท้องสะเทือนไม่หยุดเหมือนมีเทพมารัวกลอง
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ร่างเซถอยเท้าข้างหนึ่งหลุดเข้าไปในธารน้ำ จากนั้นเขาก็กัดฟันหยัดยืนให้มั่นคง เท้าหนึ่งอยู่บนภูเขา เท้าหนึ่งอยู่ในน้ำ
ระหว่างที่การสั่นสะเทือนนั้นเกิดขึ้น มังกรเพลิงที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณของร่างกายก็ว่ายวนผ่านไป ประหนึ่งฟ้าคำรณในฤดูใบไม้ผลิที่ดังขึ้นเป็นระลอก แล้วระเบิดครืนครั่นอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของเขา
หลังจากเสียงรัวกลองหยุดลง
เฉินผิงอันก็มีจิตแห่งวีรบุรุษหนึ่งดวง
——