ตอนที่ 1127 ไม่มีใครต้องกลับไปทั้งนั้น

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เมื่อพวกเขาเห็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงามอย่างไร้ที่ติผู้นั้นแล้ว ก็รู้ทันทีว่าบุตรชายของตนเองไม่ได้กล่าววาจาโกหกแต่อย่างใด เขากล่าวด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อย อวิ๋นเทียนจ้าน เป็นเจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆาแห่งเกาะลอยฟ้านี้ ขอคารวะท่านมังกรวารี”

มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง พวกเด็กเหล่านั้นเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นมังกรวารีจึงได้ปฏิบัติกับนางเช่นนี้ยังไม่พอ นึกไม่ถึงเลยว่าท่านเจ้าเมืองของเมืองนี้ก็เข้าใจผิดคิดเป็นเช่นนั้นด้วย

ทว่า ฐานะของเขาไม่เลวเลย สืบหาข่าวจากพวกเขาก่อนก็แล้วกัน

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าก็แค่ผ่านมาเท่านั้น ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอก!”

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความนิ่งสงบ ทำให้พวกเขาได้เห็นถึงความสูงศักดิ์

ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นยิ้มพลางกล่าวว่า “น้อยนักที่เผ่ามังกรวารีจะออกมาฝึกประสบการณ์ ตอนนี้ก็จะมืดค่ำแล้ว ท่านมังกรวารีพักที่เมืองหมอกเมฆาของพวกเราก่อนเถอะ”

สถานที่ที่พวกเขาลงมาก็คือนอกเมืองหมอกเมฆา เข้าเมืองไปก็จะสามารถหาข่าวได้มากกว่านี้

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนท่านเจ้าเมืองอวิ๋นแล้ว”

ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เผ่ามังกรวารีเป็นเผ่าที่อ่อนโยนที่สุดจริง ๆ สุภาพและก็เข้าถึงได้ง่ายกว่าเผ่ามังกรอัคคีที่อารมณ์ฉุนเฉียวเสียอีก

“ท่านมังกรวารีเชิญทางนี้!”

เมื่อเข้ามาในเมือง เผ่ามังกรเหล่านี้ก็ล้วนแต่กลายร่างเป็นร่างมนุษย์

เมื่อครั้งที่เผ่ามังกรยังไม่ได้ปิดผนึก พวกเขาได้ไปมาหาสู่กับมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง และรู้สึกว่ารูปร่างของมนุษย์นั้นค่อนข้างเล็กและดูสะดวกกว่ามาก

กายแท้ของเผ่ามังกรอย่างพวกเขานั้นเหมาะกับการต่อสู้มากกว่า!

ดูเหมือนว่าฐานะของมังกรวารีนี้สูงมาก ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นท่านนี้ถึงได้จัดห้องที่ดีที่สุดให้พวกนาง และท่าทางก็ดูเคารพนับถือมากอีกด้วย

เขาพาเด็กคนหนึ่งมาขอโทษด้วยความระมัดระวัง ซึ่งก็คือเด็กที่สวมชุดคลุมยาวสีทองผู้นั้น

“บุตรชายของข้ายังเด็กไม่รู้เรื่องราว หากกระทำสิ่งใดที่ล่วงเกินไป โปรดท่านมังกรวารีอภัยให้ด้วย อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเลย!”

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าได้สั่งสอนไปแล้ว ไม่คิดติดใจแต่อย่างใด!”

ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นดีใจมาก คนของเผ่ามังกรวารีล้วนแต่เป็นคนอ่อนโยนจริง ๆ

ท่าทางการเคารพนอบน้อมเช่นนี้ทำให้มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยที่เพิ่งเข้ามาในแดนมังกรนี้มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมาก

มู่เฉียนซีใช้เหตุผลว่านางเพิ่งจะออกมาฝึกประสบการณ์เป็นครั้งแรก จึงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เกี่ยวกับแดนมังกร ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นจึงได้เล่าเรื่องราวให้นางฟังอย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น

เกาะลอยฟ้าที่พวกเขาอยู่นั้นเป็นเกาะลอยฟ้าเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่เขตแดนมังกร เผ่ามังกรเทพได้แบ่งออกเป็นเผ่าต่าง ๆ อย่างเช่น เผ่ามังกรทอง เผ่ามังกรเงิน เผ่ามังกรเหลือง เผ่ามังกรดำ เผ่ามังกรเทา เป็นต้น!

หากสายเลือดเผ่ามังกรบริสุทธิ์เหล่านี้เรียกว่าเผ่าสูงศักดิ์ เช่นนั้นผู้ที่มีสายเลือดมังกรเทพที่มีพลังธาตุบริสุทธิ์ก็คือเผ่าราชา!

ในเผ่าราชาเหล่านี้มีเผ่ามังกรวารี เผ่ามังกรอัคคี เผ่ามังกรไม้…

พลังของพวกเขาแข็งแกร่งมาก แต่น้อยนักที่จะกำเนิดออกมา สายเลือดที่สูงศักดิ์นี้ทำให้เผ่ามังกรอื่นต่างเคารพและเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

ในบรรดาเผ่ามังกรในเผ่าราชานี้ เผ่ามังกรวารีได้รับการยกย่องที่สุด พวกเขามีนิสัยอ่อนโยน ไม่ทำสงคราม อีกทั้งยังเป็นเผ่ามังกรที่สามารถปรุงยา หลอมยาได้อีกด้วย

ซึ่งแตกต่างไปจากมนุษย์ เผ่ามังกรอัคคีทำได้เพียงแค่หลอมอาวุธ ไม่สามารถปรุงยาหรือหลอมยาได้ แต่เผ่ามังกรวารีจะเชี่ยวชาญในการปรุงยามาก

ความนิยมของยาลูกกลอนในแดนมังกรนั้นสูงกว่าโลกมนุษย์มาก แม้แต่เผ่ามังกรวารีเอง มังกรวารีที่สามารถหลอมยาลูกกลอนได้เรียกได้ว่ายิ่งลดน้อยลงทุกทีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของเผ่ามังกรวารีเลย

มู่เฉียนซีกล่าวกับจิ่วเยี่ยว่า “จิ่วเยี่ย ข้าสามารถใช้พลังธาตุวารีได้ อีกทั้งยังหลอมยาลูกกลอนได้อีกด้วย ดูเหมือนว่าข้าจะสามารถปลอมตัวเป็นมังกรวารีได้แล้ว”

ปลอมตัวเป็นคนในเผ่ามังกรที่มีฐานะไม่ธรรมดา น่าจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นมาหน่อย

“แต่ไม่รู้ว่าเจ้าต้องปลอมตัวเป็นเผ่าใดดี”

“เผ่ามังกรดำ!” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม

มู่เฉียนซีนึกขึ้นมาได้ว่าท่านเจ้าเมืองได้กล่าวถึงเผ่ามังกรดำ แต่ก็กล่าวถึงเพียงไม่กี่คำเท่านั้น และได้ยินมาว่าเผ่าวิญญาณทุกเผ่าต่างก็หวาดกลัวเผ่ามังกรดำมาก

เนื่องจากความแข็งแกร่ง! คงต้องแข็งแกร่งจนสามารถฝ่าฝืนเผ่ามังกรเผ่าหนึ่งได้

โชคดีที่เผ่ามังกรนี้ซ่อนตัวอยู่ลึกมาก มิเช่นนั้นเผ่ามังกรคงต้องเปลี่ยนไป

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “คิดวิธีปลอมตัวได้แล้ว เพียงแต่กลัวจะหาคัมภีร์หมื่นคำสาปได้ช้าน่ะสิ”

แม้ว่าจะปลอมตัวในฐานะมังกรวารีได้ แต่ก็ไม่สามารถพรวดพราดเข้าไปในเกาะราชามังกรแล้วบอกกับราชามังกรว่าจะไปคลังเก็บของล้ำค่าของเผ่ามังกรได้กระมัง!

หากทำเช่นนั้นมีหวังต้องโดนจับ ไม่แน่อาจจะถูกจับได้ว่าเป็นมนุษย์ปลอมตัวมาอีก

หวงจิ่วเยี่ยกล่าว “เข้าแดนมังกร คำสาปของข้าได้ถูกปลุกขึ้นมา นั่นหมายความว่าคัมภีร์หมื่นคำสาปต้องอยู่ที่นี่ ตราบใดที่ยังอยู่ ก็ต้องหาเจอแน่นอน ไม่ต้องรีบร้อน!”

ยังมีอีกเรื่องที่จิ่วเยี่ยครุ่นคิดอยู่!

“คัมภีร์หมื่นคำสาปนี้มีผลกระทบต่อข้าน้อย เพราะมันถูกปิดผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนาและถูกซ่อนเอาไว้ แต่หากเข้าไปใกล้ ผลกระทบที่ตามมาก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ซีควรกลับไปที่ดินแดนสี่ทิศก่อน”

นี่แค่อยู่ตรงนี้ก็ยังมีผลกระทบต่อคำสาปเช่นนี้ หากได้คัมภีร์หมื่นคำสาปมาจริง ๆ เช่นนั้น…

ต่อให้ได้คัมภีร์หมื่นคำสาปมา และหาวิธีแก้คำสาปได้ ก็ยังไม่สามารถแก้คำสาปได้ในทันที เช่นนั้นต่อไปจะเกิดอันใดขึ้น เขายากที่จะคาดเดาได้จริง ๆ!

มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “จิ่วเยี่ย เรื่องเช่นนี้ เหตุใดเจ้าเพิ่งจะมาบอกข้า”

จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีแน่น และกล่าวว่า “เพราะข้าไม่อยากให้ซีจากข้าไปเร็วเช่นนั้น”

“นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าว

ผู้ที่ลอบทำร้ายจิ่วเยี่ย กระทำได้รอบคอบและโหดร้ายกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้เสียอีก!

ทุกที่ล้วนแต่มีกับดักทั้งสิ้น!

“ซี เจ้ากลับไปก่อนเถอะ! ข้าได้ของแล้วข้าจะไปหาเจ้า!”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปหาข้า! เจ้าแน่ใจได้เหรอว่าเจ้าจะกลับไปหาข้าได้อย่างปลอดภัย คนที่สมควรกลับไปควรจะเป็นเจ้ามากกว่า ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วเจ้าเป็นคนส่งข้ากลับ หรือข้าจะเป็นคนส่งเจ้ากลับกันแน่!”

มู่เฉียนซีท้าทายจิ่วเยี่ยแล้ว!

ดันทุรังนัก ใครกลัวใครกันแน่! อย่างอื่นไม่กล้าพูดหรอก แต่เรื่องที่ส่งเจ้าไป…

“สุ่ยจิงอิ๋ง!” มู่เฉียนซีเรียกผู้ช่วยฝีมือดีอย่างสุ่ยจิงอิ๋งออกมาแล้ว

มู่เฉียนซีดิ้นรนจนหลุดออกมาจากอ้อมแขนกักขังนั้นของจิ่วเยี่ยได้ นางเงยหน้ามองจิ่วเยี่ย และกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก ร้อยปีหมื่นปีข้าก็ไม่อาจสู้เจ้าได้ แต่หากแข่งกันในเรื่องมิติ เจ้าไม่มีทางสู้ข้าได้ เพราะข้ามีสุ่ยจิงอิ๋งอยู่”

เพื่อปกป้องสตรีผู้เป็นยอดดวงใจของตนเองไม่ให้เป็นอันตราย หวงจิ่วเยี่ยจึงได้มอบสุ่ยจิงอิ๋งให้กับมู่เฉียนซี ในตอนนี้กลับรู้สึกว่าตนเองยกหินมาทุบเท้าตัวเองเสียแล้ว

“เจ้าบอกมาว่าเจ้าจะแข่งกับข้าหรือไม่! มาดูกันว่าใครจะส่งใครกลับไปกันแน่”

ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นของหวงจิ่วเยี่ยเคร่งขรึมลง หากแข่งกันในเรื่องควบคุมมิติแล้วละก็ เขาเองก็ไม่อาจสู้ดอกบัวหงส์เก้ากลีบได้แน่นอน

ถึงแม้ว่าดอกบัวหงส์เก้ากลีบในตอนนี้จะอ่อนแออยู่ไม่น้อย แต่ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่อาจดูถูกมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานได้

เขาเหลือบมองสุ่ยจิงอิ๋งพลางกล่าว “สุ่ยจิงอิ๋ง!”

สุ่ยจิงอิ๋งยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “องค์ชายจิ่วเยี่ย เจ้านายของข้ามีเพียงแค่ซีเอ๋อร์ผู้เดียวเท่านั้น ข้าสุ่ยจิงอิ๋งทำได้เพียงแค่ฟังคำสั่งของเจ้านายข้าเท่านั้น!”

มู่เฉียนซีเดินไปยืนข้างกายสุ่ยจิงอิ๋ง และหันไปกล่าวกับจิ่วเยี่ยว่า “เจ้าอย่าได้ขู่สุ่ยจิงอิ๋ง จะแข่งก็แข่ง! หากเจ้ากล้าบุ่มบ่ามแล้วละก็ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่แดนนรก!”

หวงจิ่วเยี่ยต้องการให้มู่เฉียนซีอยู่ห่างจากอันตราย แต่มู่เฉียนซีกลับต้องการให้เขากลับไป

เนื่องจากหากเขาอยู่ที่นี่ คำสาปในร่างเขาก็สามารถกำเริบได้ตลอดเวลา และเขาจะต้องตกอยู่ในอันตราย

จิ่วเยี่ยแสดงสีหน้าท่าทางจนปัญญาออกมา เขายื่นมือไปโอบกอดมู่เฉียนซี และกล่าวว่า “ซี ข้าจนปัญญากับเจ้าแล้วจริง ๆ ไม่มีใครต้องกลับไปทั้งนั้น เป็นเช่นไร?”

หวงจิ่วเยี่ยยอมที่จะประนีประนอมแล้ว เขากลัวนางจริง ๆ หากนางใจร้ายขึ้นมามีหวังต้องเตะเขากลับไปเป็นแน่!