ตอนที่ 725 เจ้าวางใจเถอะ ข้าเตรียมสมุดเล่มเล็กเอาไว้แล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เป็นหลันเอ๋อร์ที่รู้สึกได้ถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับตู๋กูซิงหลัน จึงได้วอนขอเขาอย่างยากลำบาก มิว่าอย่างไรนางก็ต้องการจะกลับมาตอบแทนบุญคุณนี้ให้ได้ 

 

 

คิดไม่ถึงว่า ขณะที่จีเย่ว์พาดวงวิญญาณของนางกลับมาเมืองหลวงจากแดนไกลอันทุรกันดาร ก็บังเอิญได้เจอกับสตรีที่ชื่อว่าซือหลิน 

 

 

สตรีผู้นั้นต้องการให้เขาร่วมมือกับฉางซุนซิ่วเล่นละครฉากหนึ่งออกมา 

 

 

จีเย่ว์จึงคิดจะใช้แผนซ้อนแผน 

 

 

แต่ก็คาดไม่ออกว่า ขณะที่จีเย่ว์อยู่ในบ้านไม้ที่ห่างไกลหลังนั้น จีเฉวียนจะเป็นฝ่ายไปหาถึงประตูบ้าน 

 

 

พวกเขาเดิมก็เป็นพี่น้องต่างพระมารดา ในคืนนั้นเอง จีเย่ว์จึงได้เปิดเผยจุดประสงค์ทั้งหมดออกมา  

 

 

โชคดีที่เขาเองก็ไม่เคยมีความคิดชั่วร้ายใดๆกับตู๋กูซิงหลันมาก่อน มิเช่นนั้นเกรงว่า…จีเฉวียนไม่เพียงแต่จะฆ่าเขาทิ้ง ทั้งยังจะแย่งชิงเอาเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของหลันเอ๋อร์ไปอีกด้วย 

 

 

จีเย่ว์ก้มศีรษะลง ในสมองต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่น่ากลัวอีกครั้ง 

 

 

คนเราหากยังมีชีวิตอยู่บนโลก สมควรสำนึกในบุญคุณ รักษาจิตใจให้มีเมตตาเอาไว้บ้าง จะอย่างไรเสียที่สุดแล้วย่อมจะได้รับผลดีตอบ 

 

 

……. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดสิ่งใดดี 

 

 

ตอนที่นางช่วยจิตวิญญาณของร่างเดิมเอาไว้นั้น ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องการให้นางกลับมาตอบแทนอะไรตน 

 

 

ครู่ใหญ่ นางค่อยยื่นมืออกไปข้างหนึ่ง ประคองจีเย่ว์ให้ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง 

 

 

“วันนี้ เป็นเราที่ติดค้างเจ้าแล้ว บุญคุณของพวกเจ้า ในภายหน้าย่อมต้องตอบแทน” 

 

 

มือข้างนั้นคว้าหลังมือของจีเย่ว์เอาไว้ ความอบอุ่นในใจกลางฝ่ามือส่งออกไปอย่างต่อเนื่อง 

 

 

เพียงครู่เดียว มือของจีเย่ว์ก็เปลี่ยนเป็นร้อนลวกขึ้นมา เขารีบดึงมือกลับไป พลางพยายามปรายตามองดูตู๋กูซิงหลันด้วยแววตาที่สงบนิ่งลง 

 

 

ก็เพราะว่าเขาเคยเฝ้ามองกายหยาบนี้เติบโตมานับสิบกว่าปี พอได้มาเห็นนางอีกครั้ง นางก็สวมใส่ชุดแต่งงาน เตรียมจะกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้ว 

 

 

ในใจของจีเย่ว์ ก็อดที่จะว้าวุ่นขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคนตรงหน้ามิใช่หลันเอ๋อร์ แต่ว่าก็ยังไม่อยากจะยอมรับ 

 

 

เขากับหลันเอ๋อร์ นัว่าเป็นคู่รักที่ขมขื่นคู่หนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่า พวกเขาต้องรออีกนานเท่าไหร่จึงจะได้มีวันเช่นนี้บ้าง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคิดจะยื่นมือไปตบบ่าจีเย่ว์ กล่าวอะไรปลอมใจเขาอีกสักสองสามคำ แต่จีเฉวียนกลับดึงมือของนางกลับไป ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งก็โอบเอวของนางเอาไว้ อย่างถือสิทธิ์ 

 

 

“วันนี้เป็นวันมงคลที่พวกเราจะแต่งงานกัน น้องชายของข้าผู้นี้ ย่อมต้องรั้งอยู่ดื่มสุรามงคลอยู่แล้ว” 

 

 

เขาเอ่ยอย่างเรื่อยๆออกไปว่า “หากยังมีเรื่องอันใด อีกสักครู่ค่อยพูดกับเขา” 

 

 

จีเย่ว์ “….” เขาไม่เข้าใจเลย แค่นี้ก็ยังจะต้องหึงหวงด้วย? มีอะไรให้หึงหวงกัน? 

 

 

มือของตู๋กูซิงหลันถูกเขากุมเอาไว้ จึงสัมผัสได้ว่า ฝ่ามือของจีเฉวียนเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาเคยมีอาการหนาวเย็นอยู่ในร่างกาย 

 

 

หากว่านางจำได้ไม่ผิด ร่างกายที่หนาวเย็นของเขาสมควรหายดีแล้ว 

 

 

พอเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ก็เห็นดวงหน้าของจีเฉวียนซีดขาว แม้กระทั่งผิวพรรณที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าสีแดง ก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดไปด้วยเช่นกัน 

 

 

เมื่อครู่ จีเฉวียนใช้พลังวิญญาณออกไปจนเกือบหมดสิ้น ถึงได้สามารถทำให้จิตวิญญาณที่เข้าไปในร่างกายของตู๋กูซิงหลันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในร่างกายของนางได้สำเร็จ 

 

 

เมื่อต้องทุ่มเทใช้พลังอย่างสิ้นเปลืองถึงเพียงนี้ เขาก็รู้สึกว่าลำบากกินแรงอยู่บ้าง 

 

 

แต่ว่าก็ไม่เป็นไร ผ่านไปอีกไม่กี่วันเขาก็จะฟื้นฟูได้เอง 

 

 

“กำลังเป็นห่วงข้าหรือ?” จีเฉวียนมองดูนาง สายตาก็มีประกายอ่อนโยนขึ้นมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือสามีของข้าแล้ว ย่อมต้องเป็นห่วงเจ้าอยู่แล้ว” 

 

 

นางกลายเป็นตู๋กูน้อยสามขวบมาพักใหญ่ ตอนนี้พอกลับคืนมาเป็นปกติ ก็ทำให้จีเฉวียนไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง 

 

 

เขายื่นริมฝีปากออกไป กระซิบเสียงเบาที่ริมใบหูของนาง “ในเมื่อเป็นห่วง คืนนี้ก็ต้องชดเชยให้กับสามีให้มากๆ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” 

 

 

นางสงสัยว่าหากเขาเกิดขับรถขึ้นมา ความเร็วในการกลับลำจะยิ่งกว่าจรวดหรือไม่ น่าอันตรายจริงๆ 

 

 

ถึงแม้ว่าเสียงของจีเฉวียนจะเบามาก แต่จีเย่ว์และหยวนเมิ่งที่อยู่ข้างๆก็ยังสามารถได้ยิน 

 

 

หยวนเมิ่งยังนับว่าดีอยู่ นางเห็นว่าทั้งสองล้วนหน้าตาดี หากรีบมีเจ้าตัวน้อยออกมาก็คงน่าชมอย่างยิ่ง 

 

 

จีเย่ว์ถึงกับมุมปากกระตุก เขาถึงกับหันไปมองดูแววตาของจีเฉวียน ว่าเมื่อครู่จีเฉวียนจงใจกล่าวออกมาให้เขาได้ยินใช่หรือไม่ 

 

 

ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันไม่แดงใจก็มิได้เต้นรัว สิ่งที่นางในตอน ‘สามขวบ’ฟังไม่เข้าใจ นางในตอนนี้กลับรู้จนแจ่มแจ้งหมดแล้ว 

 

 

จึงหันไปกระซิบที่ริมหูของจีเฉวียนบ้างว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าได้ตระเตรียมสมุดเล่มน้อยเอาไว้เนิ่นนานแล้ว พวกเราสามารถทำตามภาพจากในนั้นได้เลย” 

 

 

ก็หนังสือร้อยแปดท่านั่นไง? 

 

 

ตอนนั้นที่ยังอยู่ในแดนสวรรค์ นางวาดให้กับฮว๋ายยู่ด้วยตนเอง 

 

 

ในเมื่อฮว๋ายยู่ไม่มีบุญจะได้ครอบครอง ของที่ดีเช่นนี้ นางย่อมต้องเก็บเอาไว้เสียเอง 

 

 

วันนี้จะต้องให้เสี่ยวเฉวียนเฉวียนชมดูสักหน่อย พวกนางสองคนจะได้ถกในรายละเอียดด้วยกัน 

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว มีท่วงท่าบางอย่างที่ดูแล้วค่อยข้างยากไปบ้าง จนตู๋กูซิงหลันเกิดความสงสัยว่าคนเราจะทำท่าทางเช่นนั้นได้จริงๆหรือ? 

 

 

อ้อ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน วันเวลายังมีอีกมาก พวกนางก็ค่อยๆศึกษาไปทีละน้อยแล้วกัน 

 

 

ความรู้สึกแปลกใหม่ที่นางยังไม่เคยได้ลิ้มลองเหล่านั้น จะต้องทวงเอาจากร่างกายของเสี่ยวเฉวียนเฉวียนมาให้หมด มิฉะนั้นก็คงจะขาดทุนแย่! 

 

 

คราวนี้ แม้แต่หยวนเมิ่งก็ยังหนังตากระตุก 

 

 

ไม่ใช่อะไร จีเฉวียนจะมีหื่นๆอยู่บ้างก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมแม้แต่ไทเฮาน้อยก็ยังเป็นไปด้วย? 

 

 

หากมิใช่เพราะว่านางรู้จักคนทั้งสองเป็นอย่างดี หยวนเมิ่งคงจะต้องสงสัยว่าตนเองกำลังได้ยินพ่อไก่แก่แม่ปลาช่อนจากที่ไหนกำลังนัดแนะกัน 

 

 

จีเฉวียนก้มศีรษะลงไป มองดูสาวน้อยข้างกายที่สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความวาดหวัง ก็ยิ่งรู้สึกว่านางช่างน่ารักเหลือเกิน 

 

 

นี่นาง ยังจะรีบร้อนกว่าเขาอีกหรือ? 

 

 

…………….  

 

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง พวกหลงเซียวและอู้เจินก็ต้องออกแรงอยู่สักพักถึงได้จับกุมฉางซุนซิ่วเอาไว้ได้ 

 

 

พวกชาวบ้านธรรมดาก็พากันถอยหลังออกไป ในเมื่องมีตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนอยู่ เหล่าราษฎรย่อมไม่รู้สึกเกรงกลัว ต่างก็คอยืดคอยาว มองดูว่าฉางซุนซิ่วจะมีจุดจบเช่นไร 

 

 

เจ้าคนผู้นี้ช่างสมกับเป็นไม้คนปุ๋ยอย่างแท้จริง วันไหนไม่เลือกกลับมาเลือกเอาวันนี้ ก่อความวุ่นวายเช่นนี้ มิเท่ากับทำให้ฤกษ์งามยามดีของตี้โฮว่ต้องช้าไปหรือ? 

 

 

แม้ฉางซุนซิ่วจะเคยฝึกฝนวิชาอาคมก่อน แต่ก็พึ่งจะกลายเป็นมารไปได้ไม่นาน ยามนี้สองมือจึงไม่อาจสู้กับสี่หมัด ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ลง 

 

 

เขาถูกทั้งหลงเซียวและอู้เจินจับไว้ ดวงตาที่เคียดแค้นชิงชังนั้นถลึงใส่จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนกำแพงสูง  

 

 

ปากก็ยังด่าทอด้วยถ้อยคำไม่น่าฟังออกมาไม่มีหยุด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันปรายตาดูเขาแวบหนึ่ง เห็นแขนเสื้อของนางไหววูบ พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งสายหนึ่งก็พุ่งออกไป 

 

 

ทันทีที่ไปถึงเบื้องหน้าฉางซุนซิ่ว พลังนั้นก็กลายสภาพเป็นมีดที่แหลมคมเล่มหนึ่ง กรีดปากของเขาจนเหวอะหวะเละเทะ 

 

 

แม้กระทั่งลิ้นของเขาก็ยังถูกเฉือนออกมาด้วย 

 

 

ฮ่องเต้หญิงทอดพระเนตรลงมา ในแววตาชิงชังรังเกียจ “วันนี้เจ้าบังอาจก่อกวนงานอภิเษกของเรา ใส่ความเรา ร่วมมือกับพวกมาร ทำลายชีวิตผู้อื่น แม้ตายก็ไม่น่าเสียดาย” 

 

 

ที่จริงตู๋กูซิงหลันอยากจะหยาบคายให้มากกว่านี้ แต่ว่าตอนนี้จะอย่างไรนางก็เป็นถึงฮ่องเต้หญิงแล้ว จะทำอะไรย่อมต้องระวังรักษาภาพลักษณ์ 

 

 

ฉางซุนซิ่วถูกเฉือนลิ้นออกไป เลือดไหลออกมากลบปาก เขาได้แต่มองดูตู๋กูซิงหลันอย่างเคียดแค้น และด้วยความแค้นอันท่วมท้นนี้เอง จึงได้ดึงดูดพลังมารที่อยู่รอบด้านให้ไหลบ่าเข้าไปในร่างกาย 

 

 

นัยตาของตู๋กูซิงหลันหรี่ลง ในมือของนางปรากฏไม้คฑาขึ้นมา พอกวาดออกไปก็สลายไอมารเหล่านั้นออกไปจนหมดสิ้น 

 

 

นางไม่สนใจในตัวฉางซุนซิ่วอีกต่อไป แต่กวาดตามองออกไปในหมู่ฝูงชน 

 

 

แม้ว่าจะไม่มีผลึกส่องมาร แต่ด้วยพลังตบะที่สูงส่งของนางในตอนนี้ ก็ทำให้รู้ได้ว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้องอยู่ตรงไหน 

 

 

พอกวาดตามองดูครั้งหนึ่ง ก็เห็นว่าในมุมอับทึบนั่น มีเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งซ่อนอยู่ 

 

 

…………………..