บทที่ 529.3 ปัจจุบันและอนาคตของแจกันสมบัติทวีป

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตอนนี้เขาไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินแล้ว อยู่ในแจกันสมบัติทวีปก็กล้าเดินกร่าง แน่นอนว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ตัวเขาเองต้องอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มชุดขาวด้วย

เถ้าแก่ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือเฉินเสี่ยวหย่งเซียนหลิวหลีที่ไม่อาจทำตามแผนการที่วางไว้ในแคว้นไฉ่อีได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับตราประทับเทียนซือเทพอภิบาลเมืองที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองจินเฉิงเก็บซ่อนไว้ไปได้ แถมยังเกือบจะต้องกายดับมรรคาสลาย แม้แต่ถ้วยหลิวหลีใบนั้นก็ยังเกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่ โชคดีที่ใต้เท้าราชครูและศาลาคลื่นมรกตต่างก็ไม่ได้ถือสาในข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้ของเขา และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ ราชครูใหญ่ชุยเป็นบุคคลบนยอดเขาที่ปณิธานอยู่กับการฮุบกลืนแผ่นดินของหนึ่งทวีป ไหนเลยจะมามัวคิดเล็กคิดน้อยกับผลได้ผลเสียของหนึ่งคนหนึ่งเวลาหนึ่งสถานที่ แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มชุดขาวหาที่ซ่อนตัวของเขาพบ เซียนหลิวหลีก็ยังคงถูกหลอกอย่างน่าอนาถอยู่ดี น่าอนาถมากแค่ไหน ก็อนาถถึงขั้นที่ว่าถูกอีกฝ่ายวางแผนเล่นงานไปเสียทุกด้าน ตอนนี้เขารู้แค่ว่า ‘เด็กหนุ่ม’ แซ่ชุยผู้นี้ก็คือผู้รับผิดชอบของสายลับเดนตายทั้งหมดที่อยู่ทางทิศใต้ของต้าหลี

ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจของซ่งจี๋ซินแผ่กระเพื่อม พอได้รับประโยคนั้นแล้วก็เริ่มเดินไปทางเรือนด้านหลัง

เพิ่งจะเลิกผ้าม่านขึ้น เซียนหลิวหลีก็รีบเอ่ยว่า “ลูกค้า ด้านหลังเข้าไปไม่ได้นะ”

ซ่งจี๋ซินจึงยิ้มเอ่ย “ข้าชื่อซ่งมู่”

เซียนหลิวหลีคิดแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เชิญนายท่านตามสบาย”

ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปทางหน้าประตู “ไม่ไปด้วยหรือ?”

จื้อกุยหันหน้ามายิ้มให้ “อย่าดีกว่า”

ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้นางกลัวคนแค่สามคน คนหนึ่งตายไปแล้ว อีกคนหนึ่งไม่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ ครึ่งหนึ่งของคนสุดท้ายก็อยู่ในเรือนด้านหลังนั่น

ซ่งจี๋ซินจึงเดินไปยังเรือนด้านหลังเพียงลำพัง เขาเดินไปทางห้องหลักที่ประตูใหญ่เปิดอ้าด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเนิบช้า ก่อนจะเดินเข้าไปก็จัดระเบียบชุดของตัวเองให้เรียบร้อย

เขาซ่งจี๋ซินสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ มาจากการตัดสินใจร่วมกันของคนผู้นั้นที่อยู่ในห้อง กับซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเขา

ส่วนมารดาและ ‘พี่ชาย’ ที่เป็นฮ่องเต้คนนั้น คงจะไม่ถือสาหากชื่อของเขาจะถูกบันทึกแล้วก็ลบออกจากทำเนียบของฝ่ายพลเรือนในพระองค์อีกครั้ง

เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป

เด็กหนุ่มชุดขาวดูราวกับกำลังทำให้ห้องโถงของเรือนหลักแห่งนี้กลายมาเป็นห้องหนังสือ บนโต๊ะแปดเซียนกาง ‘ภาพขี่ม้าเลียบสะพานริมหน้าผาในค่ำคืนหิมะตก’ เป็นเพียงเค้าโครงขาวดำ ทว่ากลับมีท่วงทำนองและภาพบรรยากาศสมจริง สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานจากฝีมือเทพ

และเขายังเปิดนิยายในยุทธภพของร้านหนังสือส่วนตัวที่จัดพิมพ์อย่างหยาบๆ ไว้เล่มหนึ่ง ใช้ที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์รูปสัตว์ตัวน้อยทับเอาไว้ บนหน้าหนังสือมีอักษรสีแดงเขียนคำอธิบายไว้หลายจุด

ซ่งจี๋ซินประสานมือคารวะ “ซ่งมู่คารวะท่านราชครู”

ชุยตงซานฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ สองขาเกี่ยวพันไว้ด้วยกัน ท่วงท่าเกียจคร้าน เขาหันหน้ามามองซ่งจี๋ซินแล้วยิ้มกล่าวว่า “จากลาที่เมืองเล็กนานหลายปี ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้ว”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “หากไม่เป็นเพราะท่านราชครูมีเมตตา ซ่งจี๋ซินก็ไม่มีโอกาสได้กลายเป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าหลี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้รับตำแหน่งอ๋องมาอยู่พื้นที่ศักดินาอย่างนครมังกรเฒ่าเลย”

ชุยตงซานเอ่ยด้วยถ้อยคำที่ราวกับว่าหากไม่ทำให้คนตกใจจะไม่ยอมเลิกรา “ปีนั้นอันที่จริงฉีจิ้งชุนได้มอบสิ่งของไว้ให้กับทั้งเจ้าและจ้าวเหยา จ้าวเหยาน่ะ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด จึงต้องทำการค้ากับข้าครั้งหนึ่ง เขายอมตัดใจสละตราประทับตัวอักษรชุนชิ้นนั้น ผลได้ผลเสียของเรื่องครานั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน ส่วนเจ้า ฉีจิ้งชุนมอบตำราเหล่านั้นไว้ให้ เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เก็บมาใส่ใจ คร้านจะเปิดอ่าน อันที่จริงฉีจิ้งชุนล้วนทิ้งความรู้ความเข้าใจของตัวเองที่ได้จากลัทธิขงจื๊อและสำนักนิติธรรมไว้ให้เจ้าในตำราเหล่านั้น ขอแค่เจ้ามีความจริงใจมากพอก็ย่อมมองเห็น ฉีจิ้งชุนไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ ความหวังที่เขามีต่อเจ้าไม่น้อยเลย ภายนอกขงจื๊อภายในนิติธรรม เป็นสิ่งที่ใครควรเรียนรู้? หากเจ้าได้ความรู้เหล่านั้นไปครอง บางทีท่านอาของเจ้าและข้าอาจทำให้มังกรบนชุดของเจ้ามีเล็บเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเล็บก็เป็นได้”

สีหน้าของซ่งจี๋ซินยังคงเป็นปกติ

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “สภาพจิตใจดีกว่าจ้าวเหยาอยู่มาก ก็ไม่แปลกที่ปีนั้นจ้าวเหยาเลื่อมใสเจ้ามาตลอด เวลาเล่นหมากล้อมก็ยิ่งสู้เจ้าไม่ได้”

ชุยตงซานชี้ไปที่ม้านั่งตัวหนึ่ง

ซ่งจี๋ซินจึงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว

ชุยตงซานยังคงนอนฟุบตัวบนโต๊ะตลอดเวลา ยิ้มเอ่ยราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป “ซ่งอวี้จางตายไปไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ วิธีการสร้างสะพานแบบคานของอดีตฮ่องเต้สกปรกต่ำช้า เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีลูกหลานมังกรของสกุลซ่งต้าหลีตายไปมากขนาดนั้น ทว่าขุนนางผู้ตรวจการอย่างซ่งอวี้จางกลับไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อพอสมควร รีบขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเจ้า ใช้ชีวิตบั้นปลายของตัวเองอยู่ในกรมพิธีการไปให้ดี กลับเห็นองค์ชายอย่างเจ้าเป็นบุตรชายนอกสมรสของตัวเอง หากแบบนี้ยังไม่เรียกว่ารนหาที่ตาย แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่ารนหาที่ตายได้อีก?”

แก้มของซ่งจี๋ซินขยับเล็กน้อย น่าจะเกิดจากการกัดฟันเบาๆ

ชุยตงซานหัวเราะร่า จุ๊ปากพูด “เจ้าซ่งจี๋ซินใจใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะได้นั่งหรือไม่ได้นั่งบนบัลลังก์มังกร สายตาของเจ้ามองไปไกลยิ่งกว่านั้น ทว่าจิตใจของเจ้าก็คับแคบเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจปล่อยวางซ่งอวี้จางเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วลูกเล็กๆ ได้”

มือทั้งสองของซ่งจี๋ซินกำหมัดแน่น เงียบงันไม่เอ่ยคำใด

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หม่าขู่เสวียนตอแยสาวใช้ของเจ้าไม่ยอมเลิกรา ทำให้เจ้าไม่สบอารมณ์มากเลยใช่ไหม?”

ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าจื้อกุยไม่ได้คิดอะไรกับเขา แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้คนสะอิดสะเอียน ดังนั้นรอวันใดที่สถานการณ์ในใต้หล้าอนุญาตให้ข้าสังหารหม่าขู่เสวียนได้แล้ว ข้าจะต้องลงมือฆ่าเจ้าเศษสวะตรอกซิ่งฮวาผู้นี้กับมือตัวเอง”

ชุยตงซานโบกมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เศษสวะ? อย่าได้พูดจาวางโตไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ลูกหลานสกุลซ่งต้าหลีอย่างเจ้า ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ต่างหาก ถึงจะเป็นเศษสวะในสายตาของหม่าขู่เสวียน แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาเจินอู่จะต้องปกป้องหม่าขู่เสวียนอย่างสุดชีวิต นอกจากนี้ความเร็วในการฝึกตนของหม่าขู่เสวียนก็อยู่ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณทั้งทวีปตลอดมา ดังนั้นคำว่าสถานการณ์ที่เจ้าพูดถึงนี้ บางทียิ่งถ่วงเวลาล่าช้าเท่าไร เจ้าก็ไม่มีโอกาสมากเท่านั้น”

ซ่งจี๋ซินส่ายหน้า “ประกายเฉียบมคมเกินไป เดินไปบนทางสุดโต่งย่อมเกิดเหตุพลิกผัน ในเมื่อข้าเป็นอ๋องเจ้าเมืองของโลกมนุษย์ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยต่อสู้เอาชีวิตกับเขา การฆ่าคนบนโลกใบนี้ นอกจากหมัดแล้ว ยังมีวิธีอีกมาก”

หม่าขู่เสวียนที่อยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนติด ครั้งหนึ่งคือค่อยๆ วางแผนทีละก้าวปั่นหัวอีกฝ่าย อีกครั้งหนึ่งก็แทบจะเรียกได้ว่าเดิมพันด้วยชีวิต เลือกที่จะใช้สมบัติก้นกรุที่มีมากมายไร้ที่สิ้นสุดของตนมาสั่นสะเทือนคู่ต่อสู้

พรสวรรค์ในการฝึกตนที่หม่าขู่เสวียนแสดงออกมาท่ามกลางการเข่นฆ่าทั้งสองครั้ง พอจะทำให้มองเห็นได้เลือนๆ ว่าเขาจะกลายมาเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งด้านการฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปอย่างสมศักดิ์ศรี

ก่อนหน้าหม่าขู่เสวียน ลูกรักแห่งสวรรค์บนภูเขาที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้า อีกคนหนึ่งคือเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ

หากไม่เป็นเพราะถูกความรักพันธนาการ บนภูเขาก็มีคำกล่าวหนึ่งที่สืบทอดกันมาเนิ่นนานว่า หากหลี่ถวนจิ่งสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบได้เมื่อไหร่ เขาก็จะมีโอกาสได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน หรือแม้กระทั่งขอบเขตบินทะยาน! ถึงเวลานั้นสำนักโองการเทพย่อมไม่มีทางกำราบสวนลมฟ้าได้อยู่ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาตะวันเที่ยงเลย ดังนั้นบุญคุณความแค้นในปีนั้นของหลี่ถวนจิ่ง แท้จริงแล้วมีเรื่องวงในซับซ้อนมากมาย ย่อมไม่ใช่แค่การดึงภูเขาตะวันเที่ยงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเมื่อหลี่ถวนจิ่งลาจากโลกนี้ไป ความจริงเหล่านี้ก็ล้วนกลายเป็นหมอกควันที่ลอยผ่านหายไป ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ภูเขาตะวันเที่ยงที่ถูกหลี่ถวนจิ่งหนึ่งคนหนึ่งกระบี่สยบกำราบมานาน ในที่สุดก็ได้ลืมตาอ้าปาก เริ่มหันกลับมาเป็นฝ่ายข่มทับสวนลมฟ้าได้บ้างแล้ว หากไม่เป็นเพราะหวงเหอเจ้าสวนคนใหม่เริ่มปิดด่าน ทำให้กองกำลังของแต่ละฝ่ายต้องรอเขาออกจากด่าน มีเพียงหลิวป้าเฉียวคนหนึ่งที่ต้องคอยประคับประคองสวนลมฟ้าไว้อย่างยากลำบาก เหล่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าทั้งหลายที่ถูกภูเขาตะวันเที่ยงทำให้อัดอั้นมานานจนไฟโทสะสุมเต็มท้องก็คงหันมาท้าประลองกระบี่กับสวนลมฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่าไปแล้ว

ชุยตงซานใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะเบาๆ จมสู่ภวังค์ของความคิด

ซ่งจี๋ซินไม่ได้มีท่าทางร้อนใจใดๆ

เขาไม่เคยรู้สึกว่าได้เป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลีแล้วจะมีคุณสมบัติมายืดอกเชิดหน้าต่อหน้าคนผู้นี้ และในความเป็นจริงแล้วต่อให้เปลี่ยนชุด นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็คงจะเหมือนกัน

ชุยตงซานมองไปนอกห้อง อยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “นกที่ถือกำเนิดอยู่ในกรง ย่อมนึกว่าการกางปีกบินเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง”

“ไก่จิกอาหารอยู่บนพื้น มีเงาของเหยี่ยวบินผ่านมาบนท้องฟ้า ก็จะเริ่มเป็นกังวลว่าข้าวเปลือกจะถูกแย่งไป”

ซ่งจี๋ซินขบคิดความหมายที่ลึกซึ้งของสองประโยคนี้อย่างละเอียด

ชุยตงซานถอนหายใจ “ไม่พูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนี้แล้ว ครั้งนี้ที่เดินทางมา นอกจากเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แล้ว ยังมีธุระอีกอย่างหนึ่งที่อยากบอกกับเจ้า อ๋องเจ้าเมืองอย่างเจ้าจะเอาแต่อยู่ในนครมังกรเฒ่าตลอดไปไม่ได้ หลังจากนี้ศึกใหญ่ครั้งที่สองของต้าหลีพวกเรากำลังจะเปิดฉากอย่างแท้จริงแล้ว เจ้าไปที่ราชวงศ์จูอิ๋ง รับผิดชอบดูแลเรื่องการสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองด้วยตัวเอง แล้วก็ถือโอกาสนี้สานสัมพันธ์กับสำนักโม่ด้วย การศึกที่ใช้สงครามเลี้ยงสงคราม หากหยุดอยู่แค่ที่การแย่งชิง จะไม่มีความหมายใดๆ เลย”

ซ่งจี๋ซินถามเสียงเบา “ขอถามท่านราชครู ครั้งที่สองที่ว่านี้คือ?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่มีความเสียหายที่สามารถซ่อมแซมและสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ล้วนถือเป็นการรนหาที่ตายเอง นี่ไม่ใช่วิถีทางที่ยาวนาน”

ซ่งจี๋ซินเป็นคนฉลาด เขาจึงพอจะเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในถ้อยคำของราชครูผู้นี้ได้

ชุยตงซานเอ่ยต่อว่า “เส้นทางการลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี การที่ทำลายทุกกฎเกณฑ์ ทุกระบบกฎหมายของราชวงศ์ทั้งหมดที่เคยมีมา ก็เป็นเพียงแค่สนามรบบนหลังม้าเท่านั้น หลังจากนี้ผู้ฝึกยุทธต้าหลีที่ต้องพลิกตัวลงจากหลังม้าควรจะป่าวประกาศกฎหมายของต้าหลีพวกเราออกไปอย่างไร ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญในความสำคัญอีกที กฎหมายเป็นสิ่งไร้ชีวิต มันถูกวางอยู่ตรงนั้น ดังนั้นกุญแจสำคัญจึงอยู่ที่ตัวคน ความดีเลวของกฎหมาย ครึ่งหนึ่งอยู่บนเอกสาร อีกครึ่งอยู่บนตัวคน ทางทิศเหนือควรทำอย่างไร ทางทิศใต้ควรทำอย่างไร ก็คือการทดสอบครั้งแรกระหว่างอ๋องเจ้าเมืองอย่างเจ้ากับฮ่องเต้ อย่าได้เห็นพวกเสาคานหลักของแคว้นซึ่งรวมถึงนายท่านผู้เฒ่ากวนของต้าหลีเป็นคนโง่ แต่ละคนต่างก็เบิกตากว้างมองดูพวกเจ้าสองคนอยู่ทั้งนั้น”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ขอบคุณท่านราชครูที่ชี้แนะ”

ชุยตงซานหัวเราะ “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่อดีตฮ่องเต้ตั้งใจจะให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้ ทว่าก่อนเขาจะตายกลับสั่งให้ท่านอาของเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทน? ยืนกรานจะทำให้ทุกคนเห็นว่าเขามีความคิดจะมอบตำแหน่งให้น้องชายตัวเองให้ได้?”

สีหน้าของซ่งจี๋ซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ชุยตงซานกระตุกมุมปาก ยื่นนิ้วมาชี้หน้าซ่งจี๋ซิน “เมื่อก่อนเป็นอดีตฮ่องเต้และอ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง ตอนนี้คือซ่งเหอฮ่องเต้องค์ใหม่ กับอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่”

ริมฝีปากของซ่งจี๋ซินขยับเบาๆ สีหน้าเริ่มซีดขาว

ชุยตงซานเอ่ย “เรื่องของการเป็นฮ่องเต้นี้ พ่อของเจ้าทำได้ดีมากแล้ว ส่วนเรื่องของการเป็นพ่อ ข้าว่าเขาเองก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็ตั้งใจทุ่มเทเพื่อเจ้าจริงๆ ส่วนลึกในใจของเจ้าโกรธแค้นไทเฮา ในใจของฮ่องเต้องค์ใหม่ก็มีเหตุผลให้โกรธแค้นอดีตฮ่องเต้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ดังนั้นการที่เรื่องของซ่งอวี้จางกลายมาเป็นปมในใจของเจ้าจึงค่อนข้างจะน่าขันแล้ว ส่วนที่น่าขันไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกของเจ้า คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้าจะไร้ความรู้สึกได้อย่างไร? ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก แต่ที่น่าขันก็คือเจ้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย เจ้านึกจริงๆ หรือว่าคนที่ฆ่าซ่งอวี้จางคือคนสุกลหลูที่เป็นผู้ลงมือ คือท่านแม่เจ้าที่สั่งให้เอาหัวใส่กล่องไม้ส่งกลับมาที่เมืองหลวง? คืออดีตฮ่องเต้? ไม่ใช่เลยสักนิด แค่นี้ก็ยังคิดไม่เข้าใจหรือ? ยังกล้ามาพูดจาวางโตอยู่ที่นี่ว่าจะอาศัยสถานการณ์ใหญ่ไปสังหารหม่าขู่เสวียนที่เหมือนมีสวรรค์เข้าข้างอีกหรือ?”

ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคำนับอีกครั้ง “คำสั่งสอนของท่านราชครู ซ่งจี๋ซินน้อมรับไว้แล้ว!”

ชุยตงซานเหล่ตามองเขา เอ่ยว่า “หนังสือเหล่านั้นที่ฉีจิ้งชุนมอบไว้ให้เจ้า ความรู้ที่เขาถ่ายทอดมาให้ มองภายนอกเหมือนเขาสอนให้เจ้าใช้ขงจื๊อกับภายนอกนิติธรรมกับภายใน แต่แท้จริงแล้วกลับตรงกันข้ามกันเลย เพียงแค่ว่าเจ้าไม่มีโอกาสจะไปทำความเข้าใจมันให้ชัดเจนเท่านั้น”

ซ่งจี๋ซินนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เขาไม่เอ่ยอะไร

ชุยตงซานโบกมือ

ซ่งจี๋ซินจึงลุกขึ้นยืนแล้วบอกลาจากไป

เดินออกจากตรอกไปพร้อมกับสาวใช้จื้อกุย

ชุยตงซานมานั่งอยู่บนธรณีประตูแล้วอ้าปากหาวหวอด

เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่ถูกเขาหิ้วให้มาร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างกายวิ่งเข้ามากลางเรือน ถามประจบว่า “ชุยเซียนซือ คนผู้นั้นคือซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีจริงๆ หรือ?”

ชุยตงซานกล่าว “เจ้าเด็กนั่นหลอกเจ้าเล่นแล้ว”

เซียนหลิวหลีมีสีหน้ากระอักกระอ่วน จะเชื่อหรือไม่เชื่อดี? นี่ก็คือปัญหา

ชุยตงซานโบกมือ “ไปเป็นเถ้าแก่ของเจ้าต่อซะ”

เซียนหลิวหลีจึงรีบออกไปจากลานเรือน

ชุยตงซานเปลี่ยนท่าใหม่ เขาเอนตัวนอนอยู่บนธรณีประตูทั้งอย่างนั้น สองมือรองต่างหมอน

เรื่องของเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีในปีนั้นเป็นเพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อยอย่างหนึ่งท่ามกลางแผนการมากมาย

มีเทพอภิบาลเมืองจินเฉิงที่ธาตุไฟเข้าแทรกเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นสาย ลากแคว้นไฉ่อีเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คือหนึ่งในแผนการเล็กๆ ที่แสดงออกภายนอก สิ่งที่เขากับเจ้าตะพาบเฒ่าต้องการอย่างแท้จริงถูกเก็บซ่อนไว้มิดชิดยิ่งกว่านั้น เขาต้องการใช้วิธีการที่ละมุนละม่อมซึ่งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์และมหามรรคามาปล่อยเจ้าคนน่าสงสารที่ถูกยันต์เทียนซือสยบอยู่ในนครจักรพรรดิขาวมานานเป็นพันปีผู้นั้นไป ตอนนี้เขาน่าจะมีชื่อว่าหลิ่วชื่อเฉิง จำต้องสิงร่างของบัณฑิตคนหนึ่งชั่วคราว น้ำใจครั้งนี้ อีกฝ่ายไม่อยากจะชดใช้คืนก็ต้องใช้คืน ส่วนเมื่อไหร่ที่ควรจะชดใช้น้ำใจในครั้งนี้ก็ต้องดูที่ว่าชุยตงซานจะหาตัวเขาหลิ่วชื่อเฉิงเจอเมื่อไหร่

บนกระดานหมากล้อมของแจกันสมบัติทวีปกระดานนี้ ยังมีการวางหมากที่ยอดเยี่ยมซึ่งไม่มีใครล่วงรู้เช่นนี้อยู่อีกมาก

แต่สำหรับพวกเขาสองคนแล้ว อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมอะไร ก็แค่การวางเม็ดหมากธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งของแคว้นชิงหลวน หลิ่วชิงเฟิงและหลี่เป่าเจินที่ตาเฒ่าถูกใจ และยังมีเว่ยเหลียงผู้นั้นอีกคน การกระทำของคนทั้งสามในพื้นที่ของหนึ่งแคว้นนั้น มีความหมายลึกซึ้งยาวไกล ถึงขั้นที่ว่าอิทธิพลที่จะมีในอนาคตอาจจะอยู่นอกเหนือจากอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปไปอีก เพียงแต่ว่าตอนนี้คนทั้งสามต่างก็ไม่รู้ตัว ถึงท้ายที่สุดคนที่จะเข้าใจความหมายของมัน อาจกลับกลายมาเป็นหลิ่วชิงเฟิงที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนคนนั้นก็ได้

อยู่ในพื้นที่คับแคบ เวลาร้อยปีกว่า ทำเรื่องยิบย่อยมามากมายขนาดนั้น

บางครั้งชุยตงซานก็จะถามใจตัวเองว่าความหมายของมันอยู่ที่ไหน หากปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย ฟ้าดินกลับตาลปัตร จะเท่ากับว่าใต้หล้าไพศาลได้รับบทเรียนมาเพียงพอแล้วหรือไม่ ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะยิ่งดีขึ้นอีกหรือไม่?

ชุยตงซานเบิกตากว้างมองทัศนียภาพเหนือศีรษะที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด

ไหลไปตามกระแส คือคนบนโลกส่วนใหญ่

หากฉลาดหน่อย เวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็ชอบเลือกเดินทางลัด ค้นหาวิธีง่ายๆ ที่ประหยัดแรงกายแรงใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แสวงหาในด้านความเร็ว ยิ่งถึงเป้าหมายเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี นี่ไม่มีอะไรผิด เพราะในความเป็นจริงแล้วหากทำได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

เพียงแต่ว่าก็เหมือนอย่างที่อริยะปราชญ์กล่าวไว้ ชีวิตคนเหมือนโรงเตี๊ยม ข้าก็คือนักเดินทาง นี่จึงเป็นเหตุให้อริยะปราชญ์กล่าวไว้อีกว่า โลกใบนี้ยิ่งใหญ่งดงามและมหัศจรรย์ ทัศนียภาพที่แปลกใหม่มักจะอยู่ที่การเสี่ยงอันตรายและสถานที่ห่างไกลเสมอ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ไร้เงาผู้คน ดังนั้นหากไม่ใช่คนที่มีปณิธานก็ไม่อาจไปพานพบ

ชุยตงซานถอนหายใจ

ทุกเรื่องราวในโลกที่ผ่านการอนุมานไปตลอดทาง ดูเหมือนว่าถึงท้ายที่สุดก็ล้วนกลายเป็นคำสองคำว่า ‘น่าเบื่อ’

หม่าขู่เสวียนที่ถูกลู่เฉินหยิบออกมาจากกระดานแล้ววางกลับลงไปอีกครั้ง

ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ

เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ของศาลลมหิมะ

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายของราชวงศ์จูอิ๋ง บนร่างแบกรับโชคชะตาบุ๋นบู๊แห่งแคว้นที่หลงเหลืออยู่

หลิวเสี้ยนหยางที่ถูกทำลายแล้วผงาดขึ้นมาใหม่ ฝึกกระบี่อยู่ในความฝัน

กู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่สันดานไม่เปลี่ยน แต่กลับเปลี่ยนมาเป็นฉลาดยิ่งกว่าเดิม เข้าใจการโคจรของกฎเกณฑ์มากกว่าเดิม ย่อมได้มีโอกาสกลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่แท้จริงที่ประสบผลสำเร็จได้ยิ่งกว่าหลิวเหล่าเฉิง

หลี่หลิ่วที่เกิดมาก็รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ร่วมครอบครองยุทธภพ

หร่วนซิ่ว

หวงเหอแห่งสวนลมฟ้า

หมากที่อำพรางไว้ซึ่งฉีเจินเป็นผู้บ่มเพาะอบรมด้วยตัวเอง และสำนักโองการเทพก็ให้การปกป้องอย่างดี

และยังมีคนหนุ่มสาวบางส่วนที่ยังไม่ลุกผงาดหรือไม่ก็ชื่อเสียงยังไม่โดดเด่น ล้วนอาจได้กลายมาเป็นเสาคานหลักท่ามกลางกระแสคลื่นของสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปในอนาคต

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง เขานั่งเหม่ออยู่อีกครู่หนึ่งก็ลุกไปนั่งฟุบตัวอยู่บนโต๊ะแปดเซียนต่อ

เส้นสายตาของเขากวาดมองไปบนนิยายยุทธภพที่เปิดอ้าไว้ เป็นหนังสือที่เขาเอาออกมาจากสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยในปีนั้น เวลาที่ชุยตงซานอยู่ว่างๆ ก็มักจะเอามาเปิดออกอ่านแล้วจดบันทึกลงไปสองสามประโยค

ตอนนี้หน้าหนังสือที่เปิดไว้ บนนั้นคนที่เขียนเขียนเอาไว้ว่า ‘ถือกระบี่จับอาภรณ์ กระโดดขึ้นบนหลังคา แผ่นกระเบื้องไร้เสียง แสงจันทร์กระจ่าง ไปมาประดุจนกโบยบิน’ แล้วก็มีลายมือที่เขียนด้วยหมึกสีแดงของคนที่เปิดอ่านอย่างเขาเขียนไว้ว่า ‘สมกับมีมาดของเซียนกระบี่อย่างแท้จริง’

ชุยตงซานยกที่ทับกระดาษออก แต้มน้ำลายลงบนปลายนิ้ว คีบหน้ากระดาษขึ้นมาพลิกเปิดเบาๆ แล้วก็พลิกกลับคืน ชำเลืองตามองตัวอักษรที่เขียนเพิ่มไว้ ไม่ลืมเอ่ยชมเชยตัวเองว่า “เขียนได้ดีๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น ตรงห้องด้านข้างมีเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ท่าทางมึนๆ งงๆ คนหนึ่งยืนอยู่

ชุยตงซานยิ้มตาหยีเดินอ้อมโต๊ะแปดเซียนออกไป ค้อมเอวลงลูบหัวของเจ้าตัวน้อย พูดด้วยสีหน้ามีเมตตาปราณีว่า “เกาเฉิงน้อย เจ้าต้องรีบๆ โตนะ”

—-