บทที่ 1686 เขาบอกว่าเขาไม่รู้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

นิทาน? เว่ยซูงงทันที ในดวงตาสื่อแววสงสัย

พอเห็นเขาออกอาการอย่างนั้น เซี่ยโห้วท่าก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “นิทานเรื่องนี้แม้แต่บิดาของเจ้าก็ไม่เคยได้ยิน แต่กลับเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลเซี่ยโห้วไปแล้ว ลิขิตให้ข้านำพาตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาตามทิศทางเหมือนอย่างทุกวันนี้”

ยังมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และสำคัญขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ? เว่ยซูทำตัวเคารพนอบน้อมทันที โค้งตัวเล็กน้อย แสดงออกว่าจะตั้งใจฟัง

เซี่ยโห้วท่าเดินมาตรงหน้าต้นไม้แล้วลูบไล้กิ่งไม้หยาบ ทำสีหน้านึกย้อนถึงอดีต พร้อมกล่าวช้าๆ “ตอนนั้นที่บิดาผู้ล่วงลับยังอยู่ ข้าต้องใช้เวลาว่างท่องเที่ยงหาประสบการณ์ในใต้หล้า หาประสบการณ์ที่โลกมนุษย์อันแสนอนิจจังโดยใช้ฐานะมนุษย์ธรรมดา บังเอิญเจอหลายแคว้นกำลังทำศึกกัน รู้สึกว่าน่าสนใจ ก็เลยใช้ฐานะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ไปเป็นนายทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการให้แคว้นนั้น ตอนนั้นแคว้นที่ข้าเข้าไปมีสถานการณ์อ่อนแอ ถูกทัพใหญ่ของแคว้นที่แข็งแกร่งบุกประชิดพรมแดน ทุกคนของแคว้นอ่อนแอหวาดหวั่นไม่สงบใจ เนื่องจากไม่มีโอกาสชนะ ยามเจอภัยคุกคามถึงชีวิตและครอบครัว ขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักล้วนแนะนำให้กษัตริย์ยอมแพ้ ทว่ามีคนหนึ่งที่โน้มน้าวให้กษัตริย์ต่อต้านจนถึงที่สุด เขาบอกว่า หากขุนนางของพวกเรายอมแพ้ก็ยังสามารถกลายเป็นขุนนางของคนอื่นได้ สามารถอาศัยความสามารถเพื่อรับตำแหน่งขุนนางที่อื่น ยังมีโอกาสเลื่อนขั้นกลับมาเป็นขุนนางใหญ่ได้อีกครั้ง แต่ถ้ากษัตริย์ยอมแพ้ ก็จะถูกแต่งตั้งให้เป็นแค่โหว ทั้งยังเป็นแต่ในนาม ได้เกี้ยวหลังเดียว ได้ม้าตัวเดียว องครักษ์มีเพียงไม่กี่คน ทั้งยังไม่ยั่งยืน! ขุนนางล้วนยอมแพ้ได้ เพราะสามารถรักษาเกียรติยศความร่ำรวยไว้ได้ แต่กษัตริย์ที่ละทิ้งบ้านเมืองจะมีจุดจบเป็นอย่างไรล่ะ? เมื่อได้ยินคำถามนี้ กษัตริย์องค์นั้นถึงได้ตั้งปณิธานต่อต้านจนถึงที่สุด!” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดแล้ว

เว่ยซูที่ตั้งใจฟังเงยหน้าขณะกำลังครุ่นคิด ถามว่า “สุดท้ายจุดจบของแคว้นอ่อนแอเป็นยังไงขอรับ?”

“สำคัญด้วยเหรอ? ที่สำคัญคือคำพูดโน้มน้าวของขุนนางนั่นมีเหตุผล ทำให้ข้าตื่นรู้ในฉับพลันเช่นกัน ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุด มักจะเป็นคนแรกที่แบกรับลมฝน ขุนเขาที่สูงใหญ่ หากรากฐานถล่มลงแล้ว ยอดเขาก็จะถล่มตามลงมาด้วย แต่ถ้ายอดเขาถล่มลงมา ฐานอาจจะไม่ได้ล้มด้วยเสมอไป จากนั้นตระกูลเซี่ยโห้วเดินในเส้นทางไหน เจ้าเองก็รู้ พระปีศาจหนานโปล้มแล้ว เด็กชายหกลัทธิขึ้นจุดสูงสุด หลังจากเด็กชายหกลัทธิล้มลง ชิง พุทธะ ไป๋ ก็เป็นประมุข เมื่อไป๋แตกสลาย ชิงกับพุทธะก็ครองใต้หล้าร่วมกัน ประมุขแต่ละยุคผ่านความรุ่งเรืองตกต่ำ ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะอยู่ใต้คนอื่นมาตลอด แต่มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่รุ่งเรืองยาวนาน!” เซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าภูมิใจอยู่หลายส่วน แล้วก็ถามเองตอบเองอีก “หากมีวันใดที่ชิงกับพุทธะล้มลงล่ะ? ในมือตระกูลเซี่ยโห้วบีบผลประโยชน์ที่แท้จริงเอาไว้ จำเป็นต้องไปเป็นไม้ขื่อที่ผุก่อนด้วยหรือ ต้องอยู่ในเส้นทางเหมือนที่เคยเป็นมา ถึงจะคงอยู่อย่างยาวนาน!”

เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ แล้วก็กล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “แล้วเหตุใดเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาท นายท่านถึง…” พอพูดไปได้เครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงเงียบไว้

เซี่ยโห้วท่ากลับหัวเราะเบาๆ แล้วช่วยพูดแทนเขา “เหตุใดจึงตั้งใจขนาดนี้ใช่มั้ย?”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ถือสา เว่ยซูจึงพยักหน้าอีกครั้ง “อย่างน้อยในสายตาคนนอกที่มองมา ตระกูลเซี่ยโห้วก็อยากจะสนับสนุนหลานนอกในอนาคต เพื่อให้สะดวก…” เขาลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “เพื่อให้สะดวกต่อการถือไพ่เหนือใต้หล้า!”

เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “ผิดแล้ว! ครั้งก่อนเจ้าถามว่าทำไมเจ้ารองไม่ให้ผู้หญิงฉลาดของตระกูลเซี่ยโห้วเข้าวังไปเป็นราชินี เจ้ารองบอกว่าจะได้ควบคุมได้ง่ายๆ หึหึ!”

“หรือว่าคุณชายรองพูดผิดไปขอรับ?” เว่ยซูแปลกใจ

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าเบาๆ “ผิดน่ะไม่ผิดหรอก เพียงแต่เป็นมุมมองด้านเดียวของตัวเอง ที่จริงเรื่องสำคัญกว่านั้นก็คือไม่อยากให้ประมุขชิงได้แต่งงานกับภรรยาที่ฉลาด คนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดนั้นถูกบังตาได้ง่ายที่สุด คนในใต้หล้าล้วนกลัวเขา ดังนั้นใต้หล้าล้วนหลอกลวงเขาเช่นกัน หากประมุขชิงได้ภรรยาฉลาด หากข้างกายมีราชินีสวรรค์ที่ฐานะเทียบเท่ากับเขา ทั้งยังแยกแยะถูกผิดได้ชัดเจน พูดอะไรก็ทำให้เขาเชื่อฟังได้ ถึงขนาดน่ากลัวว่ากองทัพองครักษ์ในมือเขาด้วยซ้ำ สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร ดังนั้นตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งขึ้น ตระกูลเซี่ยโห้วก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาตำแหน่งนั้นมาให้ได้ ที่ช่วยให้เฉิงอวี่นั่งตำแหน่งราชินีได้อย่างมั่นคงก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องมีทายาท หึหึ ตระกูลเซี่ยโห้วคิดจะอาศัยการควบคุมหลานนอกเพื่อมาควบคุมใต้หล้างั้นเหรอ?

ประมุขชิงไม่ได้โง่ เพียงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายแล้วถูกเบื้องล่างทำให้เลอะเลือนก็เท่านั้นเอง เจ้าคิดว่าประมุขชิงโง่จริงเหรอ คิดว่าไม่เตรียมพร้อมป้องกันเหรอ? นี่เป็นเพียงอุปสรรคทางสายตาที่ตระกูลเซี่ยโห้วหลอกลวงประมุขชิงกับคนในใต้หล้าก็เท่านั้นเอง เป็นวิธีการรุกสองก้าวถอยหนึ่งก้าว ถึงตอนนั้นตระกูลเซี่ยโห้วยอมถอยและเลิกควบคุมหลานนอก แต่เปลี่ยนไปเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยาในนามให้หลานนอกแทน ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิง หลานนอกคนนั้น เฉิงอวี่หรือขุนนางในราชสำนัก เจ้าคิดว่าพวกเขาจะตอบตกลงหรือไม่ล่ะ? ทุกคนล้วนตกลงและเห็นด้วยกับผู้ที่ถูกเลือกมา เช่นนั้นก็จะได้รับตำแหน่งราชินีสวรรค์คนต่อไปอย่างชอบธรรม เหตุผลที่เลือกภรรยาให้หลานนอกคนนั้น ก็เหมือนกับเหตุผลที่ส่งเฉิงอวี่เข้าวัง ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่อยากออกหน้า แต่ก็ต้องรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ แล้วจะไม่วางแผนระยะยาวได้อย่างไรล่ะ? ผู้ที่ไม่วางแผนรอบด้าน มิอาจปกครองดินแดน ผู้ที่ไม่ได้ผ่านมาหลายยุค มิอาจวางแผนเรื่องตรงหน้าได้”

เว่ยซูฟังจนทอดถอนใจด้วยความตกตะลึง ในใจกำลังคิดว่า ไม่แปลกใจที่นายท่านสามารถนำตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงทุกวันนี้ได้

“ที่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพราะหวังว่าตอนที่เจ้าสนับสนุนหัวหน้าตระกูลคนใหม่ในอนาคต…” พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ชะงักอีก แล้วโบกมืออย่างโศกเศร้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดต่ออีก จากนั้นหันตัวมาหาเขา “นี่ก็คือจุดที่ทำให้ข้ากังวลในความ ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ของเจ้ารอง เขาอาจจะไม่อดทนวางแผนรออะไรนานๆ ได้ หากในอนาคตเขารับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้ว เข้าใจเส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างถึงแก่น มีกำลังอยู่ในมือ ข้ากังวลว่าเขาจะยังจะควบคุมตัวเองให้ทำใจยอมตามหลังคนอื่นได้หรือเปล่า”

เว่ยซูเงียบงันไม่พูดอะไร แต่แอบถามในใจว่า กังวลแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ท่านก็ต้องเลือกไม่ใช่เหรอ? ถ้าเปลี่ยนให้คนความสามารถพื้นๆ มาดูแลยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้ว เกรงว่าท่านคงจะกังวลยิ่งกว่า

เซี่ยโห้วท่าจ้องเขาครู่หนึ่ง “ข้าเพิ่งเล่านิทานให้เจ้าฟัง วันหลังเจ้าลองเปลี่ยนวิธีการเล่าให้เจ้ารองฟังสักหน่อย หวังว่าเขาจะเข้าใจมากกว่านี้”

“เหตุใดนายท่านไม่เล่าให้คุณชายรองฟังต่อหน้าขอรับ?” เว่ยซูถามอย่างลังเล

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “ไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ปีกกล้าขาแข็งแล้ว มาสั่งสอนตอนนี้อีกก็สายไปแล้ว คนเราบางครั้งก็แปลกอย่างนี้ หลักการของครอบครัวอาจจะไม่เชื่อฟัง บางทีอาจฟังคำพูดของคนนอกยิ่งกว่า เจ้าลองดูก็แล้วกัน”

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ แล้วอยู่เป็นเพื่อเซี่ยโห้วท่าเงียบๆ อีกสักพัก

ในตอนนี้ จู่ๆ ก็มีระฆังดาราส่งข่าวมา ไม่ได้มาจากตระกูลเดียวเท่านั้น สองบ้านแทบจะส่งข่าวมาพร้อมกัน รอจนรับมือเสร็จไปบ้านหนึ่ง ก็มีส่งข่าวมาอีกสองบ้าน

หลังจากรับมือเสร็จหมดแล้ว เว่ยซูก็กล่าวอย่างเคารพ “ถังเฮ่อเหนียน จั่วเอ๋อร์ ซูอวิ้น โกวเยว่ พวกเขาส่งข้อความมาถามถึงสถานการณ์ของกำลังพลของพวกเราที่ไปน้ำพุวังเวง!”

“เหอะๆ!” เซี่ยโห้วท่ารู้สึกบันเทิง หรี่ตาพูดหยอกล้อว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สถานการณ์อย่างอื่นล่วงหน้านิดหน่อย…แม้แต่พวกเราเองก็แทบจะถูกปิดบังไปด้วยแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าทางประมุขชิงจะยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น เรื่องนี้น่าสนใจแล้ว แต่ละคนช่างเลอะเลือน”

เขาหันกลับมากำชับอีกว่า “ต่อให้กวาดล้างแต่ก็ไม่มีทางกวาดล้างได้หมดทั้งน้ำพุวังเวงชั้นห้า น่าจะกวาดล้างแค่เขตการต่อสู้ มีคนปรากฏตัวมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ข้างนอกจะไม่มีคนเห็นเลย ส่งคนไปตรวจสอบ ดูว่าจะหาพยานได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ทำความเข้าใจกับสภาพของคนกลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏตัวได้”

“ขอรับ!” เว่ยซูหยิบระฆังดารออกมาจัดการทันที

จวนอ๋องสรรค์โค่ว ในเขตลับด้านใน โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนยังคงถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอก ส่วนโค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังมองไปนอกประตู สีหน้าขรึมเครียด

หลังจากถังเฮ่อเหนียนวางระฆังดาราแล้ว ก็ถามเสียงต่ำว่า “ทางตระกูลเซี่ยโห้วก็บอกว่าไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเช่นกัน แต่ตอนที่คนของพวกเขาพบว่าเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นตอนที่ไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตระกูลเซี่ยโห้วยังถามพวกเราด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

หลังจากโค่วเจิงวางระฆังดาราในมือ โค่วหลิงซวีก็หันกลับมาถามอีก “ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ?”

โค่วเจิงเม้มริมฝีปากแน่น แล้วตอบว่า “เหวินไป๋ขาดการติดต่อไปแล้ว เป็นตายไม่รู้ ให้ลูกน้องติดต่อกำลังพลที่ออกล่าซ้ำหลายครั้ง พบว่าโค่วหู่กับคนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน ถูกตัดขาดการติดต่อไปแล้ว ทุกคนเป็นตายไม่ทราบแน่ชัด!”

ถังเฮ่อเหนียนหยิบระฆังดาราออกมาถามตอบอีกหลายครั้ง ไม่ง่ายเลยกว่ามือจะว่าง แล้วตอบอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “บรรดาจอมพลและเทพประจำดาวก็กำลังไล่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

โค่วหลิงซวีทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ลังเล “ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อ ถามให้ชัดเจน!”

ก่อนหน้านี้ไม่ยอมติดต่อเหมียวอี้เลย อยากจะแกล้งโง่ แต่ตอนนี้ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว โค่วเจิงก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ในใจกระวนกระวายมาก ไม่ให้ร้อนใจไม่ได้หรอก อาจจะเกิดเรื่องกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาแล้วก็ได้

ผลปรากฏว่าตอนที่โค่วเจิงกำลังติดต่อ สีหน้าก็แปลกประหลาดมาก เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวงุนงง เด๋วเหม่อลอย แสดงปฏิกิริยาต่างๆ ออกมาทีละอย่าง

โค่วหลิวซวีกับถังเฮ่อเหนียนจ้องปฏิกิริยาของเขาไม่ละสายตา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาถามได้คำตอบอะไร อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสีหน้าที่ซับซ้อนมาก

ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้โค่วเจิงติดต่อเสร็จ ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของทั้งสอง โค่วเจิงตอบด้วยสีหน้าทบทวน “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเขาก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าเรื่องเป็นยังไง”

“อะไรที่เรียกว่าไม่เข้าใจชัดเจน? เป็นเขาที่เลอะเลือนหรือเป็นเจ้าที่เลอะเลือน?” โค่วหลิงซวีโมโหแล้ว

“เขาบอกว่าไม่รู้ว่าที่น้ำพุวังเวงชั้นห้ามีการเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ข้าถามเขาว่ารู้ที่อยู่ของพวกเหวินไป๋หรือเปล่า เขากลับถามข้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” โค่วเจิงตอบ

โค่วหลิงซวีรู้สึกบันเทิงแล้ว โมโหจนหัวเราะประชด “เขาคิดว่าคนของตระกูลโค่วที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีโง่กันหมดหรือไง เขากล้าพูดมั้ยว่าเขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวง?”

โค่วเจิงตอบว่า “เขาบอกว่าเขาไปแล้ว แต่ไม่ได้เข้าน้ำพุวังเวง แค่รออยู่นอกน้ำพุวังเวงเท่านั้น หลังจากจับอิ๋งหยางได้แล้ว ก็กลับทันที ตอนนี้อยู่ระหว่างทางกลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี”

“ช่างน่าขัน! เขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวงชั้นห้า แล้วจับตัวอิ๋งหยางได้ยังไง?” ถังเฮ่อเหนียนถาม

โค่วเจิงตอบว่า “เขาบอกว่าเจ้าไม่ได้จับเอง เขาทำข้อตกลงกับคนไว้นิดหน่อย มีคนช่วยจับให้เขา เขาแค่รออยู่นอกน้ำพุวังเวง หลังจากมีคนส่งอิ๋งหยางมาให้เขาแล้ว เขาก็กลับตลาดผีทันที ส่วนเรื่องที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าอะไรนั่น เขาก็ไม่รู้เรื่องเลย กลับถามข้าด้วยซ้ำว่าทำไมข้าถึงถามที่อยู่ของพวกเหวินไป๋”

โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนสบตากันแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสีหน้าเหมือนจับเบาะแสได้แล้ว ถังเฮ่อเหนียนซักไซ้ “เป็นใครกันที่จับอิ๋งหยางมาให้เขา?”

โค่วเจิงตอบว่า “เขาอิดออดไม่ยอมบอก ข้ากดดันถามเขาซ้ำๆ เขาถึงได้ยอมคายออกมาว่าร่วมมือกับคนฝั่งแดนพุทธ เป็นคนฝั่งแดนพุทธที่ช่วยจับให้เขา พอข้าถามว่าเป็นใครของฝั่งแดนพุทธ เขาก็บอกว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรก็จะรับไว้คนเดียว ไม่ทำให้ตระกูลโค่วลำบากไปด้วยแน่นอน จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมบอก ไม่น่าเชื่อว่าจะตัดสายข้าไปแล้ว”

หลังจากถามอยู่นานจนได้คำตอบพวกนี้ โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็แทบประสาทเสีย ถึงแม้เกือบจะเดาออกแล้วว่าคนที่เหมียวอี้ร่วมงานด้วยคือสำนักหลัวช่า แต่ถ้าจะบอกว่าสำนักหลัวช่าสามารถโผล่มาตอนสุดท้ายแล้วตัดขาดการติดต่อของสถานที่เกิดเหตุได้ในรวดเดียว รายละเอียดบางอย่างก็ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าแน่ใจได้

“หึหึ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “เฒ่าถัง เจ้าคิดว่าคำพูดของเจ้าเด็กนั่นเชื่อถือได้กี่ส่วน?”

ถังเฮ่อเหนียนไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เกรงว่าอาจจะจริง ก่อนหน้านี้พวกเราเดากันว่าเขามีที่พึ่งอะไรถึงกล้าลงมือกับกำลังพลของตระกูลอิ๋ง กังวลว่าเขาจะยืมมือคนอื่นมาช่วยให้บรรลุเป้าหมาย มีความเป็นไปได้สูงว่าหลบอยู่นอกน้ำพุวังเวง อีกทั้งในที่เกิดเหตุก็ต่อสู้กันดุเดือดขนาดนั้น ด้วยวรยุทธ์อย่างเขาไม่น่าจะลงสนามเองได้ ถ้าไม่ได้ดูอยู่ข้างๆ ก็อาจจะไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวง เมื่อดูจากเบาะแสต่างๆ เขาเองก็แอบสมคบกับคนของสำนักพุทธจริง ลองคิดในทางกลับกัน ในเมื่อมียอดฝีมือออกหน้าแก้ไขปัญหาให้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสี่ยงในน้ำพุวังเวง โดยเฉพาะการโผล่หน้าพร้อมกับคนสำนักพุทธ ก็ยังต้องกังวลผลกระทบอยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาไม่ได้เข้าน้ำพุวังเวงขอรับ!”

………………………