บทที่ 1186 แต่งหน้าอาจารย์

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

สำนักแห่งความมืดแม้จะยังไม่ได้โลดแล่นในโลกนี้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อวิถีเต๋าแห่งความมืดฟื้นคืน วิชาได้กลับมาใช้ใหม่ กฎนี้จึงหวนกลับมาใช้อีกครั้ง ก่อเกิดทัณฑ์แห่งความมืด นี่ทำให้ทั้งจักรพิภพไม่รู้สิ้นต้องสั่นคลอน ทว่าในยามนี้ ในอาณาเขตดาราจักรโลกันตร์นั้น ณ บริเวณก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดกลับมีวิญญาณผู้วายชนม์จำนวนนับไม่ถ้วนกระจายเต็มไปหมด สภาพช่างไม่สอดคล้องกับความวุ่นวายภายนอกดาวเคราะห์ความมืดและเหตุโกลาหลด้านนอกเลยสักนิด…

และในที่นี้ ความเจ็บปวดกำลังแผ่กระจาย เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

“จันทร์ข้างแรม!”

“จันทร์ข้างแรม!!”

“จันทร์ข้างแรม!!!”

ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ร่างของหวังเป่าเล่อคุกเข่าอยู่หน้าตำแหน่งซึ่งหมิงคุนจื่อหายตัวไป ลืมสิ้นว่าเวลาผ่านไปเท่าไร เหลือเพียงความคิดเดียว

เขาพยายามที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ย้อนเวลากลับคืน เพื่อให้วิญญาณของอาจารย์กลับมาอีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าตนเองใช้วิชาจันทร์ข้างแรมไปกี่ครั้งแล้ว สีหน้านั้นซีดขาวเต็มที่ ในขณะเดียวกันดวงตาก็เผยให้เห็นเส้นเลือดฝอยที่ใกล้จะแตกซ่าน เนิ่นนานให้หลัง ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้าน พลันกระอักเลือดกองโตออกมา ก่อนที่ร่างกายจะโงนเงนถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับว่าได้ทุ่มเทพลังไปจนสิ้นแล้ว ทว่าวิชาจันทร์ข้างแรมนั้นแม้จะบิดเบี้ยวมวลความว่างเปล่าเบื้องหน้าได้ แต่สุดท้ายเงาร่างวิญญาณของอาจารย์ก็ไม่ปรากฏ หวังเป่าเล่อจึงจมอยู่ในภวังค์อย่างโง่งม

เขาทราบดี แท้จริงแล้วคงทราบตั้งแต่ต้นว่าเรื่องพวกนี้มิใช่ตนเองจะมีกำลังย้อนคืนได้ ดวงวิญญาณของอาจารย์แตกซ่าน ผลนี้เกี่ยวข้องกับซากของจักรพรรดิแห่งความมืด ไม่ใช่สิ่งที่จันทร์ข้างแรมจะส่งผลกระทบหรือเปลี่ยนแปลงได้

“แม่นางน้อย ท่านช่วยข้าได้หรือไม่…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบาด้วยความขมขื่น

“ข้า…ทำไม่ได้หรอก หวังเป่าเล่อเจ้าอย่าเสียใจไปเลย พวกเรามาช่วยกันคิดว่ายังมีวิธีการอื่นอีกไหมดีกว่า” หวังอีอีที่ไม่ได้เอ่ยตอบหวังเป่าเล่อมานานแสนนาน ยามนี้เอ่ยเสียงแผ่วเบา นางสัมผัสได้ถึงความคิดของหวังเป่าเล่อ แต่ว่านางไร้หนทางจะทำสิ่งใดได้จริงๆ

บางทีจันทร์คล้อยอาจทำได้

แต่…นางเองก็สัมผัสได้ว่า บิดาของตนนั้น คงไม่ได้อยู่ในมิตินี้แล้ว

“ทำไม่ได้งั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ในหัวใจก่อเกิดความปวดร้าวแผ่ซ่านรุนแรงไปทั่วร่าง จนกระทั่งเนิ่นนานให้หลัง พื้นที่บิดเบี้ยวเบื้องหน้าอันเกิดจากวิชาจันทร์ข้างแรมก็ค่อยๆ หายไปช้าๆ หวังเป่าเล่อแหงนหน้าขึ้นมองไปยังข้างบน

แม้ว่าแม่น้ำแห่งความมืดจะกลบทับทุกสิ่งไปแล้ว ปิดบังแนวสายตา แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นเงาร่างของอดีตศิษย์พี่ของตนนอกกระแสน้ำนั้นได้ เขามองอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานแสนนาน ก่อนจะเบนสายตากลับมา

เขาเข้าใจทางเลือกของอาจารย์ดี และเข้าใจหนทางเลือกของศิษย์พี่ เรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้เกรงว่าจะไม่มีฝ่ายใดผิด เพียงแค่ว่าหนทางเดินแตกต่างกัน จุดนี้ตัวเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้

เพราะว่า…เฉินชิงจื่อยังสามารถไปแสวงหาเส้นทางเต๋าของตนเส้นทางอื่นได้ สามารถเดินบนเส้นทางสำนักแห่งความมืดอันรุ่งโรจน์ได้ แต่สิ่งตอบแทนของเส้นทางนั้นไม่ควรจะเป็นการทำให้ดวงวิญญาณของท่านอาจารย์แหลกสลาย จุดนี้…หวังเป่าเล่อเข้าใจดียิ่ง ว่าศิษย์พี่ทำผิดแล้ว

อาจารย์เองก็ทำผิดเช่นกัน ที่ผิดคือความใจอ่อน สิ่งที่อาจารย์ทำผิดพลาดก็คือการทนดูศิษย์ทั้งสองของตนเป็นปรปักษ์กันไม่ได้ และที่ผิดพลาดอีกอย่างก็เพราะอาจารย์ต้องการใช้ความตายของตนมาทำให้ความปรารถนาของศิษย์ทั้งสองเป็นจริง

“ข้าเองก็ผิด ข้าไม่ควรมาที่แม่น้ำแห่งความมืดเลย” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ด้านหนึ่งอย่างอ่อนล้า พลางมองดูจุดที่อาจารย์สลายตัวไป เขานิ่งงัน แต่ในชั่วพริบตาก็แหงนหน้า แววตานั้นกลับมาทอประกายอีกครั้ง

“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น ในพริบตานั้นกลางฝ่ามือก็ปรากฏขวดเล็กๆ ใบหนึ่ง

นี่คือขวดปรารถนา

หวังเป่าเล่อที่ถือขวดปรารถนาพลันมีสายตาลุกโชนด้วยความหวัง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ใช้พลังทั้งหมดที่ตนมีเองกำมันแน่น ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา

“ข้าอธิษฐาน…ให้อาจารย์ฟื้นคืนชีพ!”

ขวดปรารถนายังคงเย็นเยียบเหมือนเก่าไม่มีปฏิกิริยาใด หวังเป่าเล่อนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง เนิ่นนานจึงเอ่ยปาก

“ข้าขออธิษฐาน…ขอให้เวลาย้อนไปถึงก่อนที่ท่านอาจารย์จะดวงวิญญาณแตกซ่าน!”

ขวดปรารถนาไร้การเปลี่ยนแปลง หวังเป่าเล่อก้มหน้าลง เขาหลับตา ครั้งนี้เขานิ่งเงียบไปนานกว่าเก่า กระทั่งในครึ่งก้านธูปให้หลัง จึงค่อยลืมตามองขวดปรารถนาในมือตนเองด้วยความสับสน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“ผู้อาวุโส หากไม่สามารถคืนชีพให้อาจารย์ได้แน่แล้ว เช่นนั้นให้โอกาสข้า…ได้แต่งหน้าศพหน่อยเถิด”

ขวดปรารถนานิ่งเงียบดุจเดิม ไม่มีกระแสความร้อนที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคยแผ่ออกมา กระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน ในใจหวังเป่าเล่อจึงค่อยรู้สึกเย็นเยียบ คิดจะลองเปลี่ยนคำอธิษฐานดูอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ขวดปรารถนาในมือของเขาก็สั่นไหวเบาๆ ราวกับว่ามีเจตจำนงบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากภายใน จากนั้นกระแสหนึ่งจากสถานที่ห่างไกลซึ่งไม่มีใครรู้จักพลันดังเข้ามาสะท้อนก้องในหัวใจของหวังเป่าเล่อ

“เจ้า ติดค้างน้ำใจข้าผู้สูงศักดิ์คราหนึ่ง”

เสียงนั้นเบาบางยากจับต้องได้ ราวกับว่าขวดปรารถนาได้กลายเป็นภาชนะสื่อสารไปในห้วงยามนั้น เสียงดังกล่าว ตกเข้าสู่สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดดังก้องภายในโลกแห่งศิลา มันดังสะท้อนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นขวดปรารถนาในมือของหวังเป่าเล่อก็พลันมีกระแสความร้อนไหล

กระแสความร้อนในครานี้ พลันระเบิดออกมาแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเข้าสู่มือของหวังเป่าเล่อ และในยามที่หัวใจของหวังเป่าเล่อกำลังสะท้าน ขวดปรารถนาก็พลันส่องแสงเจิดจ้าออกมา แสงนี้ครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ กระทบเข้ากับกฎที่นี่ เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ซึ่งบังคับใช้ จากนั้นจึงค่อยๆ ก่อเกิดกระแสวิญญาณหลอมรวมกันในอากาศว่างเปล่า

กระแสวิญญาณเหล่านี้ แท้จริงแล้วสลายไปหมดแล้ว แต่ในยามนี้ ท่ามกลางความตกตะลึงรุนแรงของหวังเป่าเล่อ พลังขุมนี้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลับมามีได้ สุดท้ายจึงก่อเกิดเส้นใยวิญญาณ หลอมรวมกันเบื้องหน้าของเขา จนกระทั่งกลายเป็น…ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง!

ก้อนวิญญาณนั้นคล้ายไม่อาจคงรูปได้นาน และไม่อาจคงอยู่ได้นาน

นี่คือวิญญาณขาดแหว่งของท่านอาจารย์!

กล่าวให้กระจ่างชัดหากเรียกให้เหมาะสมน่าจะเป็นแหล่งพลังงานของวิญญาณมากกว่า เพราะว่าในก้อนวิญญาณนี้ ไม่มีรูปลักษณ์ของอาจารย์อีกแล้ว เป็นเพียงดวงวิญญาณที่จดจำคุณลักษณ์ของอาจารย์เอาไว้

ดวงจิตประเภทนี้ ในวิธีที่สำนักแห่งความมืดทราบ จำเป็นต้องใช้เต๋าสวรรค์ชี้นำ เพื่อวาดหน้าศพ กำหนดชะตาชีวิต ชักนำเหตุผลต้นกรรม แล้วสุดท้ายจึงส่งเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง

แต่วิญญาณขาดวิ่นของอาจารย์ดวงนี้ มีบางสิ่งไม่เหมือนกัน มัน…กำลังจะสลายไป ถึงแม้ว่าพลังของขวดปรารถนาจะทำให้การแตกสลายนี้ช้าลงบางส่วน แต่ก็ไม่อาจคงรูปได้นานนัก

หากลองคำนวณความไวของการแตกสลายแล้ว คล้ายกับว่าอย่างมากก็รั้งไว้ได้เพียงหนึ่งก้านธูป

ระหว่างที่เพ่งมองก้อนวิญญาณ ดวงตาของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ชุ่มชื่น เขารั้งเอาก้อนวิญญาณเข้ามาเบื้องหน้าตนอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยเสียงเบา

“ท่านอาจารย์…”

ระหว่างที่พึมพำ หวังเป่าเล่อหลับตาแล้วเบิกตาโพลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาเขาแฝงไปด้วยความทรงจำ ก่อนจะยกมือที่สั่นสะท้านนั้น วาดร่างใบหน้าอดีตชาติ

วาดคิ้ว วาดตา วาดจมูก และริมฝีปาก

ทุกฝีแปรงนั้น ล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ของเขา ทุกครั้งที่วาดล้วนเปี่ยมไปด้วยความทรงจำ เขาลงมืออย่างตั้งใจ

สิ่งที่เขาวาดมิใช่ชาติอดีต

แต่เขาวาด ชาติปัจจุบัน

เป็นภาพของท่านอาจารย์ในยามก่อนจะแตกดับ ท่านอาจารย์ผู้หวังให้เขาได้มีอนาคตที่ไม่ถูกรังควาน ให้เขาได้สิทธิ์ในการจากไปจากที่นี่

พวกเขาพบกันท่ามกลางความฝันฉากใหญ่ ได้กราบท่านเป็นอาจารย์ในช่วงเวลาดังฝัน ทว่ายามที่พบนั้นเป็นร่างวิญญาณไปเสียแล้ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นอดีต…

เนิ่นนาน ยามที่หวังเป่าเล่อตวัดฝีแปรงครั้งสุดท้าย ใบหน้าของเขาก็เปื้อนไปด้วยน้ำตา มองดูเงาร่างที่มีเค้าโครงของอาจารย์คืนกลับมา เขาก็ลุกขึ้นยืนไปด้านหลัง ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าดวงวิญญาณที่หลับตานี้

คำนับลงหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…จนครบเก้าครั้ง

แทนพระคุณอาจารย์!

ร่างวิญญาณค่อยๆ เบิกตาขึ้นช้าๆ สายตาอบอุ่นมองดูหวังเป่าเล่อก่อนจะค่อยๆ…เผยรอยยิ้ม

“ประเสริฐ”

พริบตาถัดมา ร่างวิญญาณพลันรางเลือนราวกับไม่เคยคงอยู่มาก่อน มันหายไปในยามที่หวังเป่าเล่อแหงนหน้าขึ้น เขามองดูเงาร่างของอาจารย์ค่อยๆ สลายหายไป น้ำตาอาบดวงหน้าหนักกว่าเก่า ห้วงเวลานั้นสมองราวกับมีภาพความฝันเมื่อปีนั้นปรากฏขึ้น คำพูดของท่านอาจารย์

“ทั้งหมด ทำตามใจปรารถนาก็ดีแล้ว…”

“ทำตามใจปรารถนาย่อมดี…” หวังเป่าเล่อพำพำเสียงเบา เขานั่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลออกมาทีละหยด

เงาร่างของแม่นางน้อยค่อยๆ ลอยอยู่ข้างตัวเขา นางมองหวังเป่าเล่อเงียบๆ ดวงตาฉายแววปวดใจ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้แล้วนั่งลงข้างกาย ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบหัวหวังเป่าเล่ออย่างอ่อนโยน สัมผัสมันอย่างแผ่วเบา

“ชีวิตมนุษย์ ย่อมต้องมีเรื่องเสียใจพวกนี้บ้าง ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปเปลี่ยนแปลงได้”

“ข้าทำดีที่สุดแล้วหรือไม่…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ความรู้สึกอ่อนล้าของเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

“อื้ม เจ้าพยายามเต็มที่แล้ว หลับสักหน่อยเถอะ พักผ่อนนะ” แม่นางน้อยเอ่ย จากนั้นก็ประคองศีรษะของหวังเป่าเล่อให้หนุนตักของนาง ลูบไล้เบาๆ มุมปากพึมพำขับร้องท่วงทำนองอันอ่อนหวานออกมา

บทเพลงนี้อบอุ่นปลอบประโลม ทำให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น ทำให้ในใจของผู้คนสงบลงได้ อีกทั้งหวังเป่าเล่อในยามนี้ ราวกับว่าอยู่ในท้องฟ้ามืดสนิทอันเหน็บหนาว เขาเหมือนคนธรรมดาที่สวมเสื้อเพียงหนึ่งตัวออกเดินทาง ในระหว่างที่ร่างกายสั่นสะท้าน ก็พลันได้พบกับกองไฟซึ่งค่อยๆ ส่องสว่างให้ความอบอุ่นแก่จิตใจของเขา

รอบด้านล้วนเงียบสนิท มีเพียงท่วงทำนองของแม่นางน้อยที่ดังสะท้อนอย่างอ่อนโยน

“เจ้าลมน้อยค่อยโบกพัด นกน้อยส่งเสียงแผ่วเบา เด็กน้อยอย่าเสียใจ รีบๆ เข้านอนเถิด…”

“เกล็ดหิมะปลิวไสว น้ำตาเจ้าค่อยหลั่งไหล เด็กน้อยอย่าเจ็บปวดไป ขอให้เจ้าตื่นมาพบรอยยิ้มสุขสม”

………………….