บทที่ 1361 ปะทะเจ้าสำนักเมฆาม่วง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

“แกพร้อมที่จะตายหรือยัง?”

เสียงเจ้าสำนักเมฆาม่วงดังราบเรียบระหว่างสวรรค์และโลก ถ้าเป็นคนอื่นพูดประโยคดังกล่าว คงมีผู้คนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมา

นั่นเป็นเพราะในจักรวรรดิเหนือ นอกเหนือจากผู้นำอีกสอง คนที่เหลือก็ได้แต่รอความตายประทานจากเจ้าสำนักเมฆาม่วงเท่านั้น

แต่…ตอนนี้อาจมีบุคคลที่สามเพิ่มเข้ามา

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับเจ้าสำนักเมฆาม่วง เขาหันไปมองเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่คิดจะเข้ามาพร้อมกันเหรอ?”

เขารับรู้ความอยากฆ่าที่ทั้งสองมีต่อเขาโดยธรรมชาติ แต่ที่น่าแปลกคือเขากลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร แต่ยังยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย

บนที่ราบเป่ยยู่ใบหน้าของทุกคนกระตุก ตกลงมู่เฉินคนนี้มั่นใจจริงหรือบ้าบิ่นกันแน่? เขาไม่เพียงท้าทายเจ้าสำนักเมฆาม่วง แต่ยังคิดจะลากเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเข้ามาในการต่อสู้ด้วย?

พวกเขาเชื่อว่าหากผู้นำทั้งสามเคลื่อนไหวพร้อมกันละก็ งานนี้มู่เฉินตายคาที่แน่

เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็หรี่ตาลงกับการกระทำของมู่เฉินพร้อมกับแสงเย็นรวมเข้ามาในส่วนลึกของดวงตา พวกเขาจ้องไปที่มู่เฉินราวกับว่าต้องการมองอีกฝ่ายให้ทะลุ

พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงได้จองหองขนาดนี้

เผชิญหน้ากับสายตาของพวกเขา มู่เฉินก็ยิ้มออกมาโดยไม่มีความกลัวใดๆ ในดวงตา มีเพียงไฟการต่อสู้ลุกโชน

เมื่อมองไปที่เขา ดวงตาของเจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็กะพริบ สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ แสดงว่าถ้าเขาไม่ใช่คนบ้าบิ่นก็ต้องมีไพ่ตายอยู่ในเขนเสื้อ

ในฐานะผู้นำจักรวรรดิเหนือ พวกเขาระมัดระวังโดยธรรมชาติ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างหลังแน่นอน

เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม “ตอนนี้เจ้าเป็นเหยื่อของเจ้าสำนักเมฆาม่วง ไม่ดีมั้งที่พวกข้าจะเข้าไปยุ่ง”

ไม่ว่ามู่เฉินจะบ้าหรือมีความสามารถจริงๆ เจ้าสำนักเมฆาม่วงจะเป็นคนผู้ทดสอบ ขณะที่พวกเขาจะประเมินความสามารถของมู่เฉินด้วยสายตา

ตอนนี้พวกเขายังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการของฝ่ายตรงข้าม ถ้าเคลื่อนไหวอย่างไม่ระมัดระวังและมู่เฉินมีวิธีมัดรวมฆ่าพวกเขาทั้งหมดด้วยกัน นี่ก็เท่ากับติดร่างแหไปด้วยกัน

ตอนนี้พวกเขาสามารถรอดูอย่างใจเย็น เมื่อตรวจสอบกลยุทธ์ของมู่เฉินเสร็จสรรพ พวกเขาจะบอกให้มู่เฉินรู้ว่าราคาสำหรับการทำตัวเหมือนคนโง่ต่อหน้าพวกเขาแพงขนาดไหน

มู่เฉินไม่ได้ขยับ แต่มองไปที่ทั้งสองแล้วยิ้ม “ช่างน่าเสียดาย”

เจ้าสำนักเมฆาม่วงหลุบตาลงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “แกกำลังจะตาย ทำไมถึงต้องเสแสร้ง?”

มู่เฉินยิ้ม “ถ้างั้นก็ให้ข้าได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าจอมยุทธ์ที่แตะระดับเทียนจื้อจุนมีอำนาจมากแค่ไหน”

เมื่อเขาพูดจบเจดีย์พุทธะก็เผยขึ้นในดวงตา คลื่นหลิงในร่างกายเขากวาดเข้าไปในเจดีย์เปลี่ยนรูปและขยายขนาดก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่าง

ตู้ม!

ผลึกแสงระเบิดออกมาจากร่างกาย ทำให้เสื้อคลุมโบกสะบัด ระดับคลื่นพลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจความผันผวนของคลื่นหลิงที่ระเบิดจากร่างมู่เฉินก็เกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดธรรมดาแล้ว

ทั้งบริเวณโกลาหล มู่เฉินเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่คลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายทรงพลังยิ่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดอีก

นอกจากนี้ผลึกคลื่นหลิงของเขาก็ไม่ธรรมดา

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเปล่งประกายอยู่ภายในร่างกาย มู่เฉินค่อยๆ กำมือแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป

ปัง!

หมัดผลึกขนาดใหญ่พุ่งออก พลังที่บรรจุอยู่ภายในทำให้มิติระเบิด ราวกับดาวหางเมื่อยิงไปหาเจ้าสำนักเมฆาม่วง

เผชิญหน้ากับหมัดดุร้ายของมู่เฉิน เจ้าสำนักเมฆาม่วงกลับหัวเราะเยาะ ก่อนที่จะกอดอกปล่อยให้การโจมตีของมู่เฉินซัดมาโดยไม่มีการป้องกันใดๆ

ตู้ม!

เมื่อหมัดกระแทกเข้ากับร่างเจ้าสำนักเมฆาม่วง มิติก็สั่นสะท้านเหมือนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

กำปั้นจางลง ทุกคนก็หดตาเนื่องจากเห็นว่าเจ้าสำนักเมฆาม่วงไม่แม้แต่ขยับจากจุดที่ยืน

กำปั้นของมู่เฉินราวกับไม่สามารถขยับเขาได้

มู่เฉินซึ่งอยู่ยงคงกระพันในที่สุดก็ถูกหยุดลง

“เหมือนมดกัดเลย” เจ้าตำหนักเมฆสีม่วงยิ้มเย็น

เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็ดวงตาวูบไหว ‘หรือว่าเจ้านี่ขี้โม้เรอะ? เขาไม่สามารถแม้แต่จะเขย่าการป้องกันของเจ้าสำนักเมฆาม่วงได้เลย

ภายใต้สายตาผู้คน มู่เฉินก็มองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงด้วยความตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้ม “สมกับเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับความลึกซึ้งของระดับเทียนจื้อจุนแท้จริง”

ว่ากันว่าระดับเทียนจื้อจุนสามารถรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลกเพื่อสร้างการป้องกันที่ทรงพลังรอบตัว ฟ้าดินจะช่วยกระจายพลังส่วนใหญ่ในการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

นั่นคือความหมายที่นิยามว่า ‘เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน’

เมื่อสักครู่เจ้าสำนักเมฆาม่วงกระจายการโจมตีของมู่เฉินไปยังสวรรค์และโลกอย่างชัดเจน มีเพียงบางส่วนของการโจมตีเท่านั้นที่เจาะเข้าไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะทนต่อการโจมตีนั้นได้

มู่เฉินไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนมาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องการตรวจสอบให้แน่ชัด

“ถือว่ามีสายตาดี แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป” ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงมืดครึ้มด้วยจิตสังหารรวมอยู่ในดวงตา

มู่เฉินส่ายหัวพลางยิ้ม “ค่อยโม้หลังจากแกสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลกได้อย่างแท้จริงเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก่อนเถอะ ตอนนี้…แกน่ะของปลอมไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ตัวเองคิดหรอก”

“ไอ้โง่บ้าบิ่น ตอนนี้แกยังกล้าพูดหยิ่งผยองอยู่อีกเรอะ!” เจ้าสำนักเมฆาม่วงกล่าวเสียงน่าขนลุก

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจกลับวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงสีม่วงทองระเบิดออกมา ก่อตัวเป็นเงาขนาดใหญ่

นี่ก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์!

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ลวดลายสีม่วงทองนับไม่ถ้วนปรากฏบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จากนั้นก็ราวกับมังกรที่แยกตัวออกจากร่างมหึมา ขดตัวอยู่รอบร่างเขา

“รหัสเทพอมตะ ธนูทองคำอมตะ!”

มู่เฉินยื่นมือออกและลวดลายนับร้อยก็ส่งเสียงหวีดหวิวแล้วรวมตัวในฝ่ามือของเขา ก่อนที่จะสร้างคันธนูสีทองขนาดใหญ่

มือจับคันธนู สายตาไม่แยแสก็มองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงขณะขึ้นสาย แสงสีม่วงทองควบแน่นบนคันธนู ก่อนที่ลูกศรสีทองจะก่อตัวโดยมีลวดลายที่ลึกซึ้งปกคลุมไว้

เวลาเดียวกันเสื้อคลุมของมู่เฉินก็กระพือขึ้นลง ของเหลวสีทองลอยออกมาห่อหุ้มลูกศรสีทอง

ของเหลวสีทองแข็งตัวทันทีและแสงสีทองบนลูกศรก็หรี่ลง ไม่ได้มีความสุกสกราวอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังดูธรรมดาลงมาก

นี่ก็คือของเหลววัชระทำลายวิญญาณที่มู่เฉินแลกมาด้วยคะแนนสังหารปีศาจ

หัวลูกศรชี้ไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “คราวนี้แกลองยืนรับดูอีกทีสิ?”

ฮึ่ม!

เขาปล่อยลูกธนู รังสีสีทองจางๆ พุ่งออกมา

สายตานับไม่ถ้วนก็มองตามไป

ทันทีที่รังสีสีทองเข้ามาหา เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็หดดวงตา เขาสัมผัสได้ถึงความคมชัดที่อธิบายไม่ได้พุ่งมาในทิศทางของตนเอง ซึ่งทำให้ผิวของเขาเจ็บแปลบเลยทีเดียว

ความตกใจหวาดกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา พลังของลูกธนูน่ากลัวมาก ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้ด้วยการเป็นหนึ่งกับฟ้าดินในตอนนี้

“เจ้าบ้านี่มีความสามารถจริงๆ”

ใบหน้าของเจ้าสำนักเมฆาม่วงเข้มขึ้น เขามองแสงสีทองสะท้อนในดวงตาก็ไม่กล้าที่จะช้า หายใจเข้าลึกกระทืบเท้า แสงสีม่วงก็กระจายออกมา ภาพเงาสีม่วงมหึมาก่อตัวขึ้นข้างหลัง

นี่ก็คือร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกฝนนั่นเอง

“ดัชนีจักรพรรดิคว้าดาว!”

เจ้าสำนักเมฆาม่วงตะโกน ขณะที่ตราประทับเปลี่ยนแปลงวูบไหว นิ้วทั้งสองของเขายื่นออกไปในอากาศ

ร่างเงาสีม่วงก็ยื่นสองนิ้วที่ห่อหุ้มด้วยแสงเปล่งปลั่งสีม่วงออกมา ก่อตัวเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วง ราวกับว่ามันพยายามดึงดวงดาวด้วยปลายนิ้ว

กระบวนท่านี้ของเจ้าสำนักเมฆาม่วงทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในทันที ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นหนึ่งในกระบวนท่าไม้ตาย ซึ่งเขาเอาออกมาใช้ตั้งแต่ตอนนี้

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีจากมู่เฉินทำให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงรู้สึกถึงการคุกคามแล้ว

ฟิ้ว!

ภายใต้ความสนใจ รังสีสีทองบางจางก็พาดผ่านขอบฟ้าปะทะกับดัชนีสีม่วงในไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกคนเพ่งสายตาไปที่จุดประสานงานั่น…