พวกนอกรีตที่นับถือรัตติกาล… ทันทีที่ได้ยินคำพูดสโนวมัน บุคคลทั้งสามต่างพากันกระอักกระอ่วน
ทั้งไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ดล้วนมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับเทพธิดารัตติกาล คนหนึ่งอาจเป็นเพียงสาวกทั่วไป แต่อีกสองคนนั้นไม่ใช่พวกนอกรีตธรรมดา คนหนึ่งเป็นถึงสมาชิกระดับค่อนข้างสูงของลัทธิ ส่วนอีกคนยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเป็นถึงข้ารับใช้ของ ‘เทพธิดามาร’ โดยตรง
“แฮ่ม… ดูเหมือนว่าโบสถ์รัตติกาลจะมีตัวตนก่อนที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ ร่องรอยของพวกเราเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์มหาภัยพิบัติเสียอีก เพียงแต่เป็นในรูปแบบขององค์กรลับ” ไคลน์กระแอมในลำคอพลางวิเคราะห์เบื้องต้น เป็นการทำลายบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน
ออเดรย์เม้มปากและพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มชี้นำความฝันของสโนวมันต่อ พยายามทำให้อีกฝ่ายเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมของราชาเทวทูตจากจิตใต้สำนึก
แต่น่าเสียดายที่สโนวมันเป็นเพียงนักบวชลำดับ 5 ถ้าอยู่ในสมัยใหม่อาจได้เป็นสมาชิกในระดับค่อนข้างสูงซึ่งเข้าถึงข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีโอกาสได้พบกับคนใหญ่คนโต ทว่าหากเป็นยุคสมัยก่อนมหาภัยพิบัติ ลำดับ 5 ไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษมากมายขนาดนั้น แม้แต่กระทั่งจะได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งเทพ จึงมีความรู้เกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาลและราชาเทวทูตเพียงหางอึ่ง อย่างมากก็เป็นสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ของศาสนา
อย่างไรก็ตาม ไคลน์พอจะจับประเด็นบางอย่างได้จากคำอธิบายยืดยาวของสโนวมัน:
มีร่องรอยของยักษ์ที่ยังเหลือรอดบนเทือกเขาทางทิศเหนือ
ปัจจุบันเทือกเขาดังกล่าวมีชื่อว่าอันทาร์เอส ตั้งอยู่ในจักรวรรดิฟุซัค และนั่นเชื่อมต่อกับเรื่องที่ชาวฟุซัคมักอ้างว่าพวกตนคือลูกหลานของคนยักษ์ รวมถึงเรื่องที่เทพสงครามเป็นคนยักษ์
เมื่อพบว่าไม่มีความเชื่อมโยงกับราชาเทวทูตอีกต่อไป ออเดรย์เปลี่ยนไปชักนำความฝันของสโนวมันให้แสดงในสิ่งที่มีอิทธิพลกับมันที่สุด
วิหารอันโอ่โถงที่พวกมันกำลังยืนพลันสั่นสะเทือนและค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นฉากอื่นอย่างเงียบงัน
เพียงสองสามวินาที ขนาดของวิหารหดเล็กลงและด้านนอกกลายเป็นจัตุรัสที่เพิ่งสร้างใหม่
สโนวมันคุกเข่าลงบนไม้กางเขนและเทวรูปโดยที่ร่างกายกำลังอาบแสงแดดบริสุทธิ์
ร่างอันพร่ามัวของนักบวชที่แต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้าง อีกฝ่ายกล่าวเสียงดังแต่เคร่งขรึม
“เจ้าต้องการจะเดินบนเส้นทางของนักบวช ตัดขาดจากความรัก และห่างไกลจากความหลงระเริงจริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะปราศจากอำนาจทั้งปวง ชั่วชีวิตจะเหลือเพียงการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจ นั่นคือวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าได้เข้าใกล้พระองค์และได้ก้าวเข้าไปยังสรวงสวรรค์เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม”
สโนวมันจูบพื้นอย่างเปี่ยมศรัทธาและกล่าว
“ข้าเลือกแล้วที่จะเดินไปบนเส้นทางของนักบวช ละทิ้งความรักและนำพาตัวเองออกจากความหลงระเริง ข้าจะไม่ปรารถนาในพลัง ทั้งชีวิตจะมีเพียงการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจเพื่อรับใช้พระองค์… เป็นเช่นนี้จนชั่วนิรันดร์!”
“เป็นเช่นนี้จนชั่วนิรันดร์!”
ยิ่งสโนวมันสาธยาย สีหน้าของมันก็ยิ่งเปี่ยมล้นความศรัทธา มีการทวนซ้ำคำสาบานอยู่หลายหน
“…นี่คือสิ่งที่เขาประทับใจมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด” ออเดรย์กล่าวพลางหันมาจ้องเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์
เมื่อนึกทบทวนถึงการแสดงออกและท่าทีของสโนวมัน รวมทั้งเรื่องที่ไม่เคยยอมปล่อยวางความศรัทธาแม้จะติดอยู่ในโลกความฝัน ไคลน์พยักหน้าอ่อนโยนพร้อมกับถอนหายใจ
“เขาเป็นนักบวชตัวจริง”
ออเดรย์ถอนสายตากลับและชี้นำให้สโนวมันเปิดเผยในสิ่งที่เป็นความลับและสำคัญกว่าเดิม ผ่านไปสักพักก็หันมาพูดกับเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์
“ไม่น่าจะเหลืออะไรแล้ว”
ไคลน์กล่าวโดยยังคงมองไปทางสโนวมัน
“ไปจุดต่อไปกันเถอะ”
…
ภายในบ้านหลังหนึ่งของเมืองเปโซต์
โมเบธเจ้าของผมสีป่านและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเฉียบ กำลังอยู่ในชุดนอนที่หรูหราฟูฟ่องและนอนแผ่ไปบนเตียงที่ฝั่งหนึ่งสูงฝั่งหนึ่งต่ำ สายตาแหงนมองเพดานพลางพึมพำกับตัวเอง:
“ฤดูหนาวรอบนี้อากาศเย็นกว่าครั้งไหนๆ เลวร้ายถึงขั้นหิมะตก… ถึงจะเกือบเที่ยงแล้ว แต่เราก็ยังไม่อยากจะตื่น… เซียธาส ผมไม่ถือสาที่เอลฟ์อย่างคุณจะชื่นชอบการนอนหลับ แต่ทำไมต้องเอามือเท้ามาพาดบนตัวผมด้วย… คิดถึงชีวิตวัยโสดชะมัด สามารถกลิ้งทุกมุมของเตียงนอนได้อย่างอิสระไม่เหมือนกับตอนนี้… เฮ้อ…”
บนเตียงดังกล่าว ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาสกำลังนอนหลับตะแคงอย่างสบายกาย ไม่เพียงเธอจะนอนกินที่ไปกว่าครึ่งของเตียง แต่จุดที่นอนยังไม่ใช่ฝั่งของตัวเอง เหลือที่ว่างด้านหลังไว้อีกเพียบ แถมยังนำมือเท้าไปกอดก่ายบนตัวโมเบธที่อยู่อีกฝั่งจนเกือบตกเตียง
หลังจากดึงผ้าห่มขึ้นจากจุดที่โดนทับ โมเบธถอนหายใจพลางหลับตาและเตรียมนอนอีกครั้ง
เพียงไม่นานมันก็หลับไปจริงๆ
ภายในความฝัน มันนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์พลางจิบเหล้าสลับกับดื่มเบียร์ ตัดสินใจหนักแน่นว่าจะไม่กลับบ้านจนกว่าเซียธาสจะมาอ้อนวอน
“นี่คือขุนนางจากยุคสมัยที่สี่?” ณ ทางเข้าร้านเหล้า เลียวนาร์ดชำเลืองไคลน์และถาม
ไคลน์ตอบ
“ใช่”
หืม… สำเนียงการพูดของมิสเตอร์สตาร์ดูเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด… ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสนใจกับขุนนางจากยุคสมัยที่สี่เป็นพิเศษ… จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์เวิร์ล มิสเตอร์สตาร์รู้จักกับคนที่อาจเคยเห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง… วัตถุชิ้นนั้นเป็นถึงสิ่งของสำคัญทางประวัติศาสตร์… แม้ว่าในยุคสมัยที่ห้าก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะได้เห็น แต่หากเป็นคนใหญ่คนโตจากยุคสมัยที่สี่ย่อมมีโอกาสเผชิญเหตุการณ์ดังกล่าวได้มากกว่า… แปลว่ามิสเตอร์สตาร์รู้จักกับชนชั้นสูงสักคนจากยุคสมัยที่สี่? ออเดรย์จับประเด็นจากทักษะด้านการเฝ้ามองและตีความ
ด้วยปัจจัยข้างต้น เธอสามารถสรุปออกมาเป็นผลลัพธ์
มิสเตอร์สตาร์จะอาสาเป็นคนชี้นำความฝันในคราวนี้
“อย่างที่คิด ชาวยุคสมัยที่สี่นิยมการแต่งตัวแบบไม่สมมาตร และนั่นทำให้ผมอึดอัดพอสมควร” เลียวนาร์ดล้อเลียนเล็กน้อยก่อนจะหันไปกล่าวกับเดอะเวิร์ลและจัสติส “คราวนี้ผมขอลงมือ”
“ตกลงค่ะ” ออเดรย์รีบขานตอบด้วยรอยยิ้ม
นี่คือสิ่งที่ไคลน์อยากเห็นอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธ
“ไม่มีปัญหา”
เลียวนาร์ดจัดปกเสื้อเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปทางเคาน์เตอร์ นั่งลงข้างโมเบธและสั่งเบียร์รากมัลเบอร์รีท้องถิ่น
หลังจากจิบสองสามอึก มันกล่าว
“คุณดูเหมือนกับคนของตระกูลโซโรอาสเตอร์”
“ทุกคนที่นี่รู้เรื่องนั้น… ไม่สิ ไม่ใช่ทุกคน ทุกสิ่งมีชีวิต” โมเบธจิบเบียร์และรอฟัง
เลียวนาร์ดยิ้มพลางส่ายหน้า
“ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมคือลูกศิษย์ของพาลีส·โซโรอาสเตอร์”
มันต้องการจะใช้ตัวตนนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์และลดการต่อต้านจากโมเบธ ช่วยให้ชี้นำความฝันได้ง่ายขึ้น
อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย มิสเตอร์สตาร์รู้จักกับขุนนางในยุคสมัยที่สี่ แถมยังเป็นตระกูลโซโรอาสเตอร์… ชักอยากรู้แล้วว่าคนผู้นั้นอยู่ในลำดับไหน… สรุปได้ว่าเขาเป็นศิษย์ของคนใหญ่คนโตสินะ… ไม่สิ เขาพูดโดยไม่ได้ใส่ความมั่นใจลงไปเต็มร้อย… แอบอ้างว่าเป็นศิษย์? ออเดรย์ที่มั่นใจในการคาดเดาเริ่มเผยรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินเลียวนาร์ดแนะนำตัว โมเบธหันมาจ้องหัวจรดเท้าก่อนจะพ่นลมหายใจ
“ศิษย์? ดูเหมือนร่างโฮสต์มากกว่ากระมัง? ข้าพูดถูกไหม?”
สีหน้าเลียวนาร์ดพลันแข็งทื่อ
ร่างโฮสต์… อึก… แม้ออเดรย์จะเตรียมใจไว้บางส่วน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วชนกัน
สำหรับไคลน์ มันกำลังฝืนกลั้นขำอย่างอยากลำบาก
แน่นอนว่าไคลน์ไม่คิดว่าการแนะนำตัวในฐานะศิษย์ของเลียวนาร์ดนั้นมีปัญหา เพราะถ้าเป็นตนก็คงพูดในสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คืออีกฝ่ายสามารถระบุได้ในทันทีว่าเป็นร่างโฮสต์ของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ นั่นยิ่งทำให้การ ‘กระชับความสัมพันธ์’ ห่างเหินออกไปไกลและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการสนทนา
ปัญหาเดียวในแผนนี้ก็คือ ไม่มีใครคิดว่าโมเบธจะเดาถูกได้ตั้งแต่แรก
หลังจากหัวเราะแห้งสองหน โมเบธจ้องเลียวนาร์ดที่ทำหน้าแข็งและกล่าว
“เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลโซโรอาสเตอร์ จึงไม่มีทางเป็นศิษย์ของตาแก่ไปได้ คำตอบเดียวจึงเป็นร่างโฮสต์!”
กล่าวจบ มันลดความเร็วในการพูดลง
“แต่ไม่ต้องกังวลไป ตาแก่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก ท่านจะไม่ยึดครองร่างโดยสมบูรณ์ และหลังจากเสร็จสิ้นสถานะกาฝาก ท่านก็แค่ขโมยอายุขัยของคุณสักสองสามปีเป็นอย่างมาก ในเมื่อเจ้ายังหนุ่มยังแน่น การพัฒนาลำดับพลังจะช่วยชดเชยในเรื่องนั้น… หึหึ… และเหนือสิ่งใด ผู้วิเศษส่วนใหญ่มักไม่ได้มีชีวิตจนครบอายุขัยอยู่แล้ว”
“ทำไมต้องขโมยอายุขัยไปสองสามปี?” เลียวนาร์ดถามตามความเคยชิน
โมเบธยกแก้วและกระดกคำใหญ่ จากนั้นก็ตอบด้วยเสียงล่องลอย
“ในเมื่อเจ้ากลายเป็นเหยื่อของปรสิต ก็ต้องมีสักสิ่งสองสิ่งที่ถูกขโมยไปไม่ใช่หรือ”
“…” เลียวนาร์ดดึงสติออกจากภวังค์พร้อมกับถาม “คุณก็เรียกท่านว่าตาแก่เหมือนกัน?”
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราทุกคนเรียกท่านว่าตาแก่ทั้งนั้น และดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร” โมเบธถอนหายใจ “ท่านเป็นปู่ทวดของข้า ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าพันปีแล้วที่ไม่ได้เจอหน้ากัน… ไม่สิ สักสองพันปีเห็นจะได้”
ตาแก่ยอมให้เราเรียกว่าตาแก่ก็เพราะนั่นทำให้เขานึกถึงความทรงจำอันงดงามในอดีต… ชักอยากรู้แล้วว่าปัจจุบันยังมีทายาทสายตรงของเขาหลงเหลืออยู่บ้างไหม… เลียวนาร์ดถอนหายใจด้วยอารมณ์เข้มข้น
สำหรับจัสติส เธอรู้สึกขบขันกับคำว่า ‘ต้องมีสักสิ่งสองสิ่งถูกขโมย’ และรู้สึกทึ่งกับคำว่า ‘ท่าน’
เพราะนั่นหมายความว่าตาแก่ที่ชื่อพาลีส·โซโรอาสเตอร์เป็นเทวทูต!
นึกแล้วเชียว… ออเดรย์อุทานหลังจากเป็นไปตามที่คาดหวัง
ทันใดนั้น โมเบธจับประเด็นได้อย่างชาญฉลาด
“เหมือนกัน? เจ้าเองก็เรียกท่านว่าตาแก่เหมือนกัน?”
เลียวนาร์ดพยักหน้าขรึม
โมเบธผงะเล็กน้อย ตามด้วยการมองหัวจรดเท้า
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเองก็มีสายเลือดของตระกูลโซโรอาสเตอร์?”
“ผมไม่ทราบ…” เลียวนาร์ดตอบไปตามความจริง
โมเบธส่ายหน้า
“คงไม่กระมัง… อาจเป็นเพราะว่าตาแก่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเอง”
ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน… เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าว
“ท่านเกือบถูกผู้เย้ยเทพอามุนด์ฆ่าตาย ปัจจุบันยังฟื้นฟูตัวไม่สมบูรณ์”
ปัจจุบัน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ถูกวางอยู่บนมิติเหนือสายหมอก การเอ่ยชื่อของเทพตรงๆ จะไม่ทำให้ถูกตระหนักถึง ส่งผลให้ไคลน์ ออเดรย์ และเลียวนาร์ดกล้าที่จะเอ่ยชื่อของอาดัมและอามุนด์ตรงๆ
“บรรพบุรุษที่ทรงพลังและน่าขนลุกของตระกูลอามุนด์…” โมเบธลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุดเลียวนาร์ดก็มีช่องให้ถาม
“ตามปรกติแล้วขุนนางจากจักรวรรดิโซโลมอนมักจะเย็นชาและชั่วร้ายไม่ใช่หรือ เหตุใดตระกูลโซโรอาสเตอร์ถึงต่างออกไป?”
…………………….