อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1104 ต่อต้าน

มีนางกำนัลคนหนึ่งวิ่งมาอย่างเร่งรับ แล้วกระซิบพูดข้างหูขันที

ขันทีมองดูไป๋หลี่เฉิงอย่างครุ่นคิด น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นหยิ่งยโสเหมือนเดิม พร้อมพูดขึ้นว่า

“ผู้อาวุโสไป๋หลี่ ราชินีมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า”

“ราชินีให้ข้าเข้าเฝ้า?” ไป๋หลี่เฉิงมึนงง หันไปมองดูพวกซ่างกวนชิงอย่างแปลกใจ

“ใช่ เรียนเชิญ”

“กงกง พวกเราล่ะ ราชินีมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าไหม?”

“ทุกท่านรอไปก่อน”

กู้ชูหน่วนกวาดสายตามองดูทุกคน แล้วเดินจากไปพร้อมกับขันขีและไป๋หลี่เฉิง

เพราะนางแปลงโฉมเป็นหมอจิน คนพวกนั้นจึงไม่มีใครจำนางได้

“ข้าน้อยถวายความเคารพราชินี ราชินีอายุยืนยาวหมื่นปีหมื่นๆปี”

ภายในตำหนัก

ไป๋หลี่เฉิงคุกเข่าลง

กู้ชูหน่วนกลับเพียงแค่ยกมือประสานทำความเคารพ

สายตาทุกคนต่างหันไปมองกู้ชูหน่วน นึกว่านางไม่รู้กฎปฏิบัติ พวกกงกงต่างส่งสายตาบ่งบอกนาง แต่กู้ชูหน่วนกลับเหมือนมองไม่เห็น พวกกงกงร้อนใจจนอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนนาง

ราชินีเอนนอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ท่าทีเกียจคร้าน เสื้อผ้าเผยครึ่งตัวอยู่หลังม่าน

นางเลิกคิ้วเล็กน้อย มือข้างหนึ่งถือขวดทองแล้วเหลือบสายตามองอย่างเพลิดเพลิน

มือข้างหนึ่งโอบกอดชายรูปงามอยู่ข้างกาย ดวงตาดังพญาหงส์หันมามองกู้ชูหน่วนอย่างสนใจ

ตรงเท้าของนาง ยังมีชายหนุ่มอ่อนวัยหลายคนนวดขาให้กับนาง

กู้ชูหน่วนให้นางมองดูอยู่อย่างไม่หวาดกลัว

“ต่อหน้าราชินี ทำไมไม่คุกเข่า” กงกงปาดเหงื่อ พร้อมพูดขึ้น

คนมาจากนอกวังยังไงก็เป็นคนนอกวัง ไม่รู้จักมารยาทเลย

ต่อหน้าราชินียังกล้าไม่ทำความเคารพ ถือเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์แคว้นน้ำแข็ง

กู้ชูหน่วนพูดขึ้นมาว่า “ขอเพียงในใจมีราชินี เกรงขามราชินี รักและเคารพราชินี จะคุกเข่าหรือไม่แตกต่างกันยังไง? มีคนบางคนถึงแม้คุกเข่า ไม่แน่ว่าในใจไม่พอใจราชินีขนาดไหน”

ที่นี่มีเพียงกู้ชูหน่วนกับไป๋หลี่เฉิง

ไป๋หลี่เฉิงนิ่งอึ้งทันที

เห็นได้ชัดว่าหมอคนนี้ กำลังพูดด่าว่าเขาอย่างอ้อมค้อม?

หากเขาพูดตอบ งั้นแสดงว่าคนคนนั้นก็คือเขา

หากเขาไม่ตอบ ก็จะถูกนางใส่ร้าย

ไป๋หลี่เฉิงพูดขึ้นว่า “ราชินีเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด โอรสมังกรสวรรค ในใต้หล้าใครกล้าไม่เกรงขาม? ใครกล้าไม่รักและเคารพ?”

“อ้อ…งั้นเจ้าเข้าวังมาเข้าเฝ้าราชินีเพื่ออะไร? ขอร้องให้ราชินีรักใคร่ศิษย์ตระกูลไป๋หลี่ หรือขอร้องให้ราชินีปล่อยพวกเขาไป?”

“เจ้า….”

ไป๋หลี่เฉิงโกรธจัด

ตนเองกับหมอคนนี้ไม่รู้จักกัน ไม่มีความแค้นต่อกัน แต่ทุกคำพูดของนาง ล้วนเป็นการต่อต้าน

ภายในวังอันกว้างใหญ่นี้ มีใครไม่รู้บ้างว่าเขาเข้าวังมาเพื่อขอร้องให้ปล่อยหลานชายกับศิษย์ในสำนักของตน แต่นางพูดออกมาตรงๆ ยังพูดด้วยน้ำเสียงประสงค์ร้ายแบบนี้ เขาควรจะพูดอย่างไรดี?

ต่อให้มีเรื่องพูดเต็มอก ไป๋หลี่เฉิงก็ไม่รู้จะพูดอธิบายให้ราชินีฟังยังไง

ทำได้เพียงก้มหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ราชินีผู้เที่ยงธรรม ข้าน้อยกับทุกคนในตระกูลไป๋หลี่ล้วนจงรักภักดีต่อราชินี ไม่กล้าทรยศราชินี”

“ลุกขึ้นมาเถอะ”

ราชินีจิบเหล้าในจอก ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งตัวตรง พร้อมพูดขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้ามาเข้าเฝ้าข้าด้วยเรื่องอะไร?”

“คือ….ข้าน้อย….หลานของข้าน้อยไป๋หลี่ชุนตลอดจนศิษย์ตระกูลไป๋หลี่แปดคนเข้าวังมาปรนนิบัติราชินี ไม่ทราบว่าพวกเขาปรนนิบัติราชินีได้เป็นที่พอพระทัยไหม?”

หากหมอคนนั้นไม่พูดเช่นนั้น ไป๋หลี่เฉิงยังกล้าขอร้องให้ราชินีปล่อยคน

แต่ตอนนี้…..

เขาทำได้เพียงลองหยุ่งเชิง ดูว่าหลานของตนเองยังมีชีวิตอยู่ไหม

ราชินีพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “ก็พอใช้ได้”

คำว่าก็พอใช้ได้ ทำให้สีหน้าไป๋หลี่เฉิงเปลี่ยนไปทันที ลมหายใจรุนแรงขึ้นมาหลายเท่า

“ราชินี ไป๋หลี่ชุนอายุยังน้อย การปรนนิบัติของเขา ท่านต้องไม่พอใจแน่ ให้ข้าน้อยพากลับไปอบรมสั่งสอนก่อนไหม แล้วค่อยให้เขากลับมารับใช้ราชินีอีกครั้ง”

“ไม่ต้องแล้ว”

“ราชินี…..” ไป๋หลี่เฉิงกระวนกระวาย

ลูกเมียของเขาตายหมดแล้ว เหลือเพียงหลานคนนี้คนเดียว

เขาไม่กล้าคิดเลยว่า หากหลานตนเองไม่อยู่แล้ว เขาควรจะทำอย่างไร?

เขาเคยขอร้องเจ้าบ้าน ให้เจ้าบ้านช่วยออกหน้าขอร้องให้กับไป๋หลี่ชุน

แต่เจ้าบ้าน….ปฏิเสธ….ยังห้ามไม่ให้เขาพูดเรื่องนี้อีก ยิ่งไม่อนุญาตให้เข้าเฝ้าราชินี

ชุนเอ๋อร์กับศิษย์ตระกูลไป๋หลี่ทั้งแปดคน ล้วนเป็นศิษย์ที่เก่งที่สุดของตระกูลไป๋หลี่

เขาคิดไม่ออกจริงๆว่า ทำไมเจ้าบ้านถึงยอมให้ลูกศิษย์ที่เก่งสุดถูกทำลายต่อหน้าต่อตา

“ไป๋หลี่ป้าล่ะ? ทำไมเขาไม่มา?”

“เจ้าบ้าน….ช่วงนี้เจ้าบ้านสุขภาพไม่ดี บวกกับราชินีมีงานราชการ จึงไม่กล้ามารบกวนราชินี”

“พูดถึงไป๋หลี่ป้า ช่วยข้าทำงานอย่างมากมาย บรรพบุรุษของตระกูลไป๋หลี่ก็เป็นขุนนางร่วมบุกเบิกแคว้นน้ำแข็ง หลายปีมานี้พวกเจ้าฝึกฝนคนมีความสามารถให้กับแคว้นน้ำแข็งไม่น้อย ช่างเถอะ…..เจ้าอยากเจอพวกเขาใช่ไหม ข้าให้เจ้าได้เจอ ให้เจ้าพาพวกเขากลับไป”

ไป๋หลี่เฉิงดีใจอย่างมาก

คิดไม่ถึงเลยว่าจะราบรื่นขนาดนี้

เขาพูดขอบคุณอย่างไม่หยุดว่า “ข้าน้อยขอบพระคุณราชินี”

ไม่ช้า ขันทีก็หอบโถเข้ามาเก้าอัน

ไป๋หลี่เฉิงมองดูโถอย่างแปลกใจ

ราชินีเหลือบมองดูแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “นี่ไง พวกเขาอยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ?”

“ปัง…..”

ไป๋หลี่เฉิงราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายเกือบล้มทั้งยืน

“ราชินี……”

กงกงพูดขึ้นว่า “ราชินีมีเมตตา ให้เจ้านำเถ้ากระดูกกลับไป เจ้ายังไม่รีบขอบพระทัยราชินี”

ชุนเอ๋อร์ถูกนาง…..

ไป๋หลี่เฉิงทั้งโกรธทั้งโมโหอย่างไม่อยากเชื่อ

หลายวันก่อนยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้กลับเหลือเพียงเถ้ากระดูก เขาจะยอมรับได้ยังไง

“ราชินี ในนี้ไม่ใช่เถ้ากระดูกของพวกไป๋หลี่ชุน….ใช่ไหม….”

“ทำไม? เจ้าไม่อยากได้? ในเมื่อไม่อยากได้ งั้นก็เอาไปโยนลงบ่อคืนวิญญาณ”

“ราชินี……”

นางกำนัลไป่หนิงที่รับใช้อยู่ข้างกายราชินี พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “เขาได้ปรนนิบัติราชินี ถือเป็นความรักใคร่ที่ราชินีมีให้กับเขา หรือเจ้าไม่เห็นด้วยกับราชินี?”

“ข้าน้อยไม่กล้า?”

ไป๋หลี่เฉิงโกรธจนร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว

แต่นางเป็นราชินี

เขาทำได้เพียงอดกลั้นไว้

ไม่อย่างนั้นตระกูลไป๋หลี่อาจจะต้องถูกฆ่าล้างตระกูลเพียงเพราะคำพูดของเขาเพียงประโยคเดียว

“ราชินียอมยกเถ้ากระดูกให้ เพราะตระกูลไป๋หลี่จงรักภักดีมาทุกชั่วอายุคน เจ้ายังไม่ขอบพระทัยราชินี”

“ข้าน้อย…..ขอบพระทัยราชินี”

ในใจกู้ชูหน่วนไม่รู้สึกเห็นใจเลยสักนิด

คนพวกนี้ล้วนไม่ใช่คนดีอะไร รวมทั้งไป๋หลี่ชุนคนนั้น รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอยู่ตลอด ไม่มีเรื่องชั่วอะไรที่ไม่ทำ

ราชินีพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้าว่า “ได้ยินมาว่า ตระกูลไป๋หลี่จับตัวราชางูเก้าหัวมรกตมาได้ ยังมีพยัคฆ์ดำโบราณ?”

“เรียนราชินี เมื่อก่อนเคยจับได้ เจ้าบ้านอยากจะยกให้ราชินี แต่คิดไม่ถึงว่าพวกมันหนีไปแล้ว”

ไป่หนิงพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “เหลวไหล ราชินีถามเมื่อหลายวันก่อน ไม่ใช่ช่วงก่อน”

“ราชินี ตระกูลไป๋หลี่จับพวกมันได้สองครั้ง แล้วพวกมันก็หนีไปได้ทั้งสองครั้ง หากราชินีไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปสืบได้ตลอด”

กู้ชูหน่วนหวั่นใจ

วันนั้นนางพบกับความหายนะ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กับเจ้าเสือน้อยไม่ปรากฏตัว เพราะถูกคนของตระกูลไป๋หลี่จับตัวไปหรือ?

นางคิดอยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่องกับเจ้าสองตัวนี้แน่ จึงไม่ได้มาช่วยนาง

งั้นตอนนี้ล่ะ พวกมันอยู่ที่ไหน?

“เป็นความจริงหรือ?” ราชินีถามขึ้นมา

“เป็นความจริงแน่นอน ข้าน้อยไม่กล้าโกหกราชินี” ไป๋หลี่เฉิงอดกลั้นความโกรธกับความโศกเศร้าไว้ พร้อมพูดขึ้นอย่างเกรงขาม