ตอนที่ 942 ถวายคืนตำแหน่ง
ข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงราวกับเชื้อโรคร้าย
หลินเป่ยเฉินชนะการประลอง
หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลินเป่ยเฉินไม่สามารถให้คำอธิบายชัยชนะของตนเองได้…
หลินเป่ยเฉินกำลังจะตาย
ทุกข่าวเหล่านี้มีหูมีตามีปีกแพร่สะพัดไปทั้งในและนอกนครหลวง
ต้องไม่ลืมว่านี่คือการประลองที่มีการถ่ายทอดสด
อาการบาดเจ็บของหลินเป่ยเฉินทำให้ผู้คนจำนวนมากสะเทือนใจ
ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยถึงกับขึ้นไปบนวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อสวดภาวนาให้เทพีกระบี่คุ้มครองวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน และเบื้องหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ในขณะนี้ ก็ถึงกับมีผู้คนมาคุกเข่าสวดภาวนาอยู่นับไม่ถ้วน
แรงกดดันเหล่านี้ทำให้ท่านนักพรตเทวะรักษาการอยู่นิ่งเฉยไม่ได้
นักบวชผู้ดำรงตำแหน่งนักพรตเทวะรักษาการประจำวิหารนครหลวงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้คน เขารับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะนำแรงศรัทธาของทุกคนไปสื่อสารกับองค์เทพีกระบี่และขอให้พระองค์ท่านช่วยชีวิตหลินเป่ยเฉิน…
ในเวลาเดียวกันนี้ ทางวิหารก็ได้ประกาศตัวผู้สืบทอดตำแหน่งนักพรตเทวะคนต่อไป
นางคือนักบวชสาวที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้ามาก่อน
บรรดาสาวกขององค์เทพีกระบี่ที่มารวมตัวกันอยู่หน้าวิหารจำนวนมาก ร่วมเป็นสักขีพยานในการเปิดตัวผู้สืบทอดตำแหน่งนักพรตเทวะและได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าเด็กสาวนางนี้มีความงดงามไม่ต่างจากเทพธิดาบนสรวงสวรรค์
บังเกิดข่าวลือว่านักบวชสาวนางนี้แอบฝึกวิชาลับอยู่ในวิหารและได้รับการประทานพรวิเศษจากองค์เทพีกระบี่ด้วยตนเอง
นี่ถือเป็นข่าวดี
ชาวเป่ยไห่พากันแซ่ซ้องสรรเสริญ
…
จวนสกุลหลิงประจำนครหลวง
“เจ้าเด็กคนนี้ ยากที่จะเยียวยาได้แล้วจริง ๆ”
นับตั้งแต่ที่กลับมาถึงนครหลวง ผู้อาวุโสหลิงไท่ซวีก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดื่มสุราเคล้านารี ซึ่งนารีแต่ละนางที่อยู่รอบกายของเขานั้น ก็ล้วนแต่เป็นนางคณิกาที่ชายชรานำตัวมาจากเมืองหยุนเมิ่งทั้งสิ้น
แน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่ใช่นางคณิกาธรรมดา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลิงไท่ซวีเอาแต่กินดื่มรับชมการเรื่องระบำของเหล่าสาวงาม รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง แม้นอกกำแพงจวนที่พักสถานการณ์บ้านเมืองจะร้อนระอุ แต่ชายชราก็ประพฤติตนคล้ายกับว่าเรื่องราวทั้งหลายนั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตนเอง
แต่ทว่า เมื่อเรื่องราวนี้มีหลินเป่ยเฉินซึ่งหลิงไท่ซวีเลือกเอาไว้ให้เป็นหลานเขยในดวงใจมาเกี่ยวข้อง สีหน้าของชายชราก็เริ่มเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาในที่สุด
สถานการณ์ของตระกูลหลิงในนครหลวงเองก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
เนื่องจากการหมั้นหมายระหว่างเว่ยหมิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางไม่ใช่ความลับอีกต่อไป การประพฤติตนที่ยโสโอหังของตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกา คือสาเหตุที่ทำให้ตระกูลหลิงพลอยถูกตระกูลอื่น ๆ ในนครหลวงเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลหลิงจึงไม่สะดวกออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูลสาขาใหญ่ หลิงไท่ซวีย่อมรู้ดีว่าผู้อาวุโสของตระกูลหลิงสาขาอื่น ๆ ล้วนดีอกดีใจที่ตระกูลหลิงจะได้เกี่ยวดองกับตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกา
แม้ไม่กี่วันก่อน หลังจากที่หลินเป่ยเฉินส่งคนไปฆ่าล้างบางจวนตระกูลหวงจะเริ่มมีสมาชิกตระกูลหลิงบางส่วนย้ายฝ่ายมาอยู่ข้างหลินเป่ยเฉินบ้างแล้ว
แต่หากนำมาเทียบกับเว่ยหมิงเฉิน สมาชิกตระกูลหลิงจำนวนมากย่อมสนับสนุนเว่ยหมิงเฉินมากกว่าหลินเป่ยเฉินอยู่ดี ดังนั้น จึงไม่ใช่คำถามเลยว่าใครสมควรได้รับตำแหน่งเขยตระกูลหลิงคนต่อไป
เว่ยหมิงเฉินมีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
เขามีทั้งชื่อเสียง เงินทอง และอำนาจ
แม้ว่าหลิงไท่ซวีจะสนับสนุนหลินเป่ยเฉินตลอดมาก็ตาม
แต่ตอนนี้เล่า?
ไม่ทราบเลยว่า ณ ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินมีสภาพเป็นหรือตาย ต่อให้รอดชีวิตมาได้ ระดับพลังก็คงไม่แข็งแกร่งดังเดิมอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสที่จะรอดชีวิตจากการโจมตีของธนูเทพเจ้าร่ำไห้นั้นมีน้อยมาก
เซียนกระบี่ขี้เมาเกาเฉิงฮั่นคือบทเรียนที่ดีจากในอดีต
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือพวกของหลินเป่ยเฉินกลับมีความบาดหมางต่อคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง และเป็นเป้าหมายในการแก้แค้นของจักรวรรดิจี้กวง
เรื่องนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
เมื่อเด็กหนุ่มกลายเป็นศัตรูของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง แม้แต่ราชวงศ์เป่ยไห่ก็คงไม่มีอำนาจคุ้มครองเขาได้อีกต่อไป
เนื่องจากการที่องค์ชายเจ็ดหักหน้าเซียนทะเลทรายชาซานถงต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เกรงว่าขณะนี้ทางราชสำนักก็คงถูกกดดันไม่ใช่น้อยแล้ว
ปฏิกิริยาห่วงโซ่ที่เกิดขึ้นจากหลินเป่ยเฉินเพียงผู้เดียว กำลังทำให้สถานการณ์บานปลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วยังจะมีใครกล้ายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก
บัดนี้ ยังจะมีขุนนางใหญ่สักกี่คนที่ยืนอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉินต่อไป?
หลิงไท่ซวียกจอกสุราขึ้นจิบและถอนหายใจออกมา
เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้สามารถรอดพ้นจากวิกฤตมาได้ทุกครั้ง
เหตุไฉนครั้งนี้ถึงพลาดท่าได้เล่า?
ในที่สุด ชายชราก็ตบก้นหญิงสาวนามเหม่ยจีที่นั่งอยู่บนตักและกล่าวว่า “เจ้าไปหาลูกเต่าน้อยตัวนั้นหน่อย นำยาของข้าไปฝากเขาด้วย”
หญิงสาวมีท่าทีลังเลเล็กน้อย “นายท่านเจ้าคะ แต่ยาเหลือไม่มากแล้วนะเจ้าคะ”
หลิงไท่ซวีตอบว่า “ข้าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
เหม่ยจีไม่พูดคำใดอีก
เนื่องจากนางรู้จักนิสัยของหลิงไท่ซวีดี
เมื่อเขาได้ตัดสินใจกระทำสิ่งใดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนใจชายชราได้อีก
หลิงไท่ซวีกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “จริงด้วยสิ เจ้าไปบอกให้เฉินเอ๋อร์มาหาข้าด้วย เจ้าเด็กคนนี้กลับมาถึงนครหลวงตั้งนาน ไม่คิดจะมาเยี่ยมปู่บ้างเลยหรืออย่างไร? ข้ายังไม่เคยพบหน้านางเลยสักครั้ง”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
เหม่ยจีสวมใส่เสื้อผ้าก่อนเดินนวยนาดออกไปจากห้องโถงใหญ่
…
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป?” องค์หญิงน้อยเงยหน้ามองบิดา นางไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวว่าเหตุการณ์ในวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อตอนกลางวัน บิดายังมีสีหน้ามีความสุข ถึงกับจับตัวนางโยนขึ้นไปในอากาศด้วยความสนุกสนาน
แต่เหตุไฉนบัดนี้ บิดาถึงได้มีสีหน้าซึมเศร้า
องค์หญิงน้อยมีอายุไม่ถึงสิบขวบ แต่ก็สามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของบิดาได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่นางหวาดกลัวมากที่สุดก็คือยามที่บิดาคอเอียงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
เพราะมันทำให้บรรยากาศน่าขนลุก
เด็กหญิงยื่นมือนุ่มนวลของตนเองออกไปพยายามลูบหัวคิ้วของบิดาให้คลายออกจากกัน
องค์ชายเจ็ดรู้สึกรำคาญใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดุบุตรสาว
เขาเพียงยิ้มฝืดฝืน โอบกอดเด็กหญิงอยู่ในอ้อมแขน หอมแก้มนางด้วยความอ่อนโยนและกระซิบว่า “องครักษ์”
“ขอรับท่านอ๋อง”
องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านนอกรีบเดินเข้ามาทันที
“เตรียมเสื้อคลุมประจำตำแหน่งของข้าให้พร้อม ข้าต้องการเข้าตำหนักในเพื่อเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
องค์ชายเจ็ดพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าน้อยรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ประสานมือคำนับและหมุนตัวเดินกลับออกไป
องค์หญิงน้อยถามด้วยความสงสัยใจว่า “ท่านพ่อ เหตุไฉนท่านถึงต้องเข้าเฝ้าเสด็จปู่?”
องค์ชายเจ็ดหอมแก้มบุตรสาวอีกครั้งและตอบว่า “บิดากำลังจะไปถวายคืนตำแหน่งอ๋องผู้สืบทอดบัลลังก์ บิดาไม่อยากเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปแล้ว หลังจากนี้ บิดาจะมีเวลาอยู่บ้านกับเจ้าและมารดาตลอดไป ดีหรือไม่?”
“ดีมาก ดีมาก”
องค์หญิงหลี่รั่วซูร้องออกมาอย่างมีความสุข
แต่หลังจากนั้น นางก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดท่านพ่อถึงไม่อยากเป็นองค์จักรพรรดิแล้วเจ้าคะ?”
องค์ชายเจ็ดนิ่งเงียบไม่ตอบคำ