ตอนที่ 731 ในเมื่อสามีบอกว่าใช่ ก็ต้องใช่

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เมื่อครู่ได้ยินว่าเขาจะแต่งกับจีฉุนแต่ไกล หัวใจของหยวนเมิ่งก็เหมือนถูกแทงไปรอบหนึ่ง 

 

 

พอนางเดินมาถึง ก็พยายามไม่หันไปมองตู๋กูจุนอีก 

 

 

จงใจเดินมาถึงเบื้อหน้าตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียน ถวายคำนับให้พวกเขา 

 

 

“รีบลุกขึ้นเถอะ คนในครอบครัวเดียวกันย่อมไม่จำเป็นต้องมากมารยาท” ตู๋กูซิงหลันสงสารนางจับใจ 

 

 

เรื่องที่พูดกันในครอบครัวเมื่อครู่ คาดว่าหยวนเมิ่งคงจะได้ยินหมดแล้ว 

 

 

หากว่าเปลี่ยนเป็นนาง ได้ยินว่าจีเฉวียนจะไปแต่งงานกับผู้อื่น ในใจคงถึงกับหลั่งเลือดออกมา 

 

 

แต่ว่าเรื่องของความรู้สึกก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะบังคับกันได้ 

 

 

ในใต้หล้า ต่างคนต่างชอบนั้นมีมาก แต่ว่าที่คนทั้งสองจะใจตรงกันนั้นกลับมีน้อยกว่าน้อย 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็อดไม่ได้ที่จะโอบคอจีเฉวียนให้แน่นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย กว่าที่พวกนางจะมาถึงตรงนี้ ก็มิใช่เรื่องง่ายๆ 

 

 

จีเฉวียนเองก็กอดนางแน่นกว่าเดิม ความรู้สึกของนางเขาเองก็รู้เช่นกัน 

 

 

เขามิได้กล่าวอะไร เพียงเหลือบตาไปมองหยวนเมิ่งเล็กน้อย 

 

 

หยวนเมิ่งก็มองไปทางจีเฉวียนพอดี 

 

 

นางตัดสินใจถอยหลังไปก้าวหนึ่งในทันที พูดไปแล้ว นางก็เกรงกลัวจีเฉวียนอยู่เหมือนกัน 

 

 

จนกระทั่งถึงงานอภิเษกที่ผ่านมา ได้เห็นเจ็ดยมราช นางถึงได้เข้าใจว่า จีเฉวียนที่อยู่ตรงหน้านี้ มิใช่จีเฉวียนที่นางเคยรู้จักอีกแล้ว 

 

 

เพียงแค่เขาขยับปลายนิ้วเบาๆ ตนเองก็สามารถตายอย่างไรที่กลบฝังได้เลย 

 

 

“ที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพราะจะมาทูลลาไทเฮา….ฝ่าบาทเพื่อออกเดินทาง” หยวนเมิ่งเก็บสายตากลับไป มองไปที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น 

 

 

เดิมทีหลังจากวันอภิเษก หยวนเมิ่งก็คิดจะไปลานางออกเดินทางแล้ว เพียงแต่ว่าตำหนักตี้หัวกลับปิดประตูแน่นตลอดสามวัน….นางก็ไม่กล้ามารบกวน 

 

 

วันนี้พอสบโอกาส จึงได้มา 

 

 

ใครจะไปคิดว่า พอมาถึงก็จะได้ยินเรื่องตู๋กูจุนจะแต่งจีฉุนเป็นภรรยา 

 

 

พอได้ยินว่านางคิดจะจากไป ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้พูดอะไร ตู๋กูจุนกลับตกใจมากกว่า 

 

 

“เจ้าจะไปที่ไหน?” แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่า น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นร้อนลนถึงเพียงไหน 

 

 

หยวนเมิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็รีบไต่ถามเช่นกัน “ใช่แล้ว เสี่ยวหยวนหยวน เจ้าเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆผู้หนึ่ง จะไปอยู่ที่ไหนกัน?” 

 

 

หยวนเมิ่งก้มหน้าลงไป ขนตากระพริบสั่นน้อยๆ นางพยายามเก็บความหวั่นไหวในใจกลับลงไป จากนั้นก็ค่อยเงยหน้าขึ้นมา “แม้ข้าจะเกิดที่หนานเจียง แต่ตั้งแต่เล็กก็เติบโตขึ้นมาในวังของแคว้นต้าโจว อยู่ที่นี่มานานหลายปี ยังไม่เคยได้เห็นโลกกว้างภายนอกเลย ข้าอายุไม่น้อยแล้ว จึงคิดจะออกไปชมดู” 

 

 

ความหมายก็คือแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ข้าคิดจะไปชมดูให้ทั่วอย่างนั้นนะหรือ? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเหตุผลที่นางบอกออกมานั้นช่างไม่ได้เรื่อง เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น 

 

 

แต่ว่าตนเองก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ไม่ให้นางจากไป 

 

 

เพราะว่าผู้ที่หัวใจของพี่ใหญ่ถวิลหาก็คือองค์หญิงใหญ่ 

 

 

หากปล่อยให้หยวนเมิ่งเฝ้าดูพี่ใหญ่เช่นนี้ต่อไป มิเท่ากับว่าทำร้ายจิตใจของนางหรอกหรือ? 

 

 

“เจ้าพึ่งจะอายุเท่าไหร่กัน ถึงได้บอกว่าตนเองมิใช่เด็กแล้ว?” คราวนี้ คนที่ตื่นตระหนกขึ้นมาก็ยังเป็นตู๋กูจุน 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะปฏิเสธหยวนเมิ่ง แต่ไม่ได้ต้องการจะขับไล่นางไปจากต้าโจว 

 

 

หลายปีมานี้ เขาออกสู้รบในสงครามมาหลายต่อหลายครั้ง รู้ดีว่าโลกภายนอกอันตรายเพียงไร 

 

 

หยวนเมิ่งเก่งกาจในที่ใด? 

 

 

ก็แค่รู้จักเลี้ยงหนอนพิษไม่กี่อย่างเท่านั้น….วรยุทธ์ก็ใช่ว่าจะดีล้ำ ทั้งยังไม่เคยฝึกฝนวิชาอาคม หากออกไปท่องเที่ยวมิใช่ว่าจะถูกคนรังแกได้ง่ายๆหรอกหรือ? 

 

 

ตู๋กูจุนไม่วางใจจริงๆ 

 

 

“ข้าอายุยี่สิบสองแล้ว….” หยวนเมิ่งตอบเขากลับไปอย่างทันควัน 

 

 

ยี่สิบสอง ในแผ่นดินโบราณนี้ หากพูดถึงอายุที่สมควรแก่การวิวาห์ ก็ต้องบอกว่าเป็นสาวใหญ่แล้ว 

 

 

“นั่นยังเล็กอยู่เลยมิใช่หรือ?” ตู๋กูจุนไม่เห็นด้วย “ข้าแม่ทัพยังเกือบจะสามสิบแล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันงอมือนับนิ้วดู พี่ใหญ่ปีนี้ยังไม่ทันจะยี่สิบเจ็ดเลย ทำไมถึงได้บอกว่าใกล้จะสามสิบแล้วเล่า….. 

 

 

สายตาของนางมองไปที่พี่ใหญ่ด้วยแววประหลาดใจอยู่บ้าง ชักจะรู้สึกว่าพี่ใหญ่เป็นบุรุษเจ้าชู้ขึ้นมาตะหงิดๆแล้ว 

 

 

ปฏิเสธผู้อื่นไปแล้ว แต่กลับไม่ยอมให้ผู้อื่นจากไป นี่คิดจะเอาอย่างไรกันแน่? 

 

 

หยวนเมิ่งได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็ทำเอาเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออก ต้องนิ่งอึ้งไปอีกพักใหญ่ 

 

 

ที่นางยังสามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้ ก็ต้องขอบคุณในความใจกว้างของจีเฉวียนแล้ว ที่ยินยอมให้นางรั้งอยู่จนถึงหลังงานอภิเษกของไทเฮาน้อย นางอยู่เลยมาอีกสามวัน ก็นับว่าลากยาวมากแล้ว 

 

 

ตอนนี้งานอภิเษกของไทเฮาน้อยก็เสร็จสิ้นไปแล้ว นางย่อมไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่อีกต่อไป 

 

 

“หากอยากจะออกไปท่องเที่ยวชมทัศนียภาพนอก ก็รอให้แผ่นดินทั้งหมดสงบเรียบร้อยค่อยไปก็ยังไม่สายนะ” ยังคงเป็นตู๋กูเจวี๋ยที่ช่วยคลายบรรยากาศที่น่าเก้อเขินออกไป 

 

 

เขาขยับออกมา ถึงตรงหน้าหยวนเมิ่ง เอ่ยเสียงเบากับนางว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่า ตอนนี้ที่ดินแดนภายนอก ปรากฏพวกมารจำนวนมาก มารนะ เจ้าเคยได้ยินมาบ้างไหม? พวกมันคือปีศาจ คือตัวประหลาดที่ไร้จิตใจ ไร้เมตตา น่ากลัวที่สุด! พวกมันชอบกินสาวน้อยที่งดงามอย่างเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ!” 

 

 

หยวนเมิ่ง “….” ต้องขอโทษด้วยนะ พอดีว่านางก็คือองค์หญิงของเผ่ามาร 

 

 

คำพูดของตู๋กูเจวี๋ย ทำเอานางยิ่งรู้สึกเก้อเขินกว่าเดิม 

 

 

หากว่าทุกคนได้รู้ฐานะที่แท้จริงของนางขึ้นมา เกรงว่าคงจะต้องจับนางไปเผาให้ตายกระมัง เพราะว่า นางเองก็เป็นคนเผ่ามาร 

 

 

ขณะที่เงียบกันไปอีกครู่นั้น จีเฉวียนก็เอ่ยปากขึ้นมา “แผ่นดินแห่งนี้ยังนับว่าสงบสุข เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจากไป” 

 

 

หยวนเมิ่ง “อ๋า?” 

 

 

นางไม่ค่อยเข้าในความหมายของจีเฉวียนเท่าไรนัก 

 

 

คนที่ไม่ต้องการให้นางเข้าใกล้ตู๋กูซิงหลันมากที่สุดสมควรเป็นจีเฉวียนนี่หน่า 

 

 

ทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนความคิดไปได้? 

 

 

“ซิงซิงพึ่งจะฟื้นฟูความทรงจำ ต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับนาง นางให้ความสำคัญกับเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่เป็นเพื่อนนางอีกสักระยะเถอะ” 

 

 

คำพูดเหล่านี้ยังคงมากจากจีเฉวียน จึงยิ่งทำให้ตอนนี้หยวนเมิ่งยิ่งไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขาเข้าไปใหญ่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบเอ่ยสนับสนุนว่า “ใช่แล้ว ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้า เจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนนะ” 

 

 

สองสามีภรรยาคู่ใหม่ต่างก็เอ่ยปากออกมาถึงเพียงนี้แล้ว หากว่าหยวนเมิ่งยังคงยืนกรานปฏิเสธ ก็ดูจะไม่รู้กาลเทศะมากไป 

 

 

นางจึงได้แต่รั้งอยู่ต่อ 

 

 

ตู๋กูจุนเห็นนางยอมอยู่ ไม่จากไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไม ในใจถึงได้รู้สึกโล่งอกขึ้นมา 

 

 

นี่น่าจะเป็นเพราะเขากับหยวนเมิ่งใกล้ชิดกันมาช่วงหนึ่ง จะมากจะน้อยก็มีความผูกพันฉันมิตรสหายอยู่บ้าง เขาจึงไม่ยินดีที่จะต้องเห็นสาวน้อยอย่างนางออกไปเร่ร่อนแต่เพียงลำพัง 

 

 

พอเรื่องของหยวนเมิ่งได้ข้อสรุป ทั้งหมดก็ล่าถอยออกไป จีเฉวียนถึงได้อุ้มตู๋กูซิงหลันกลับเข้าไปในห้องบรรทม 

 

 

แต่ครั้งนี้เขาอุ้มนางตรงไปยังสระน้ำอุ่นที่อยู่ด้านข้างห้องบรรทม 

 

 

“สามีออกไปข้างนอกเพียงครู่เดียว เจ้าก็ดื้อดึงแอบวิ่งหนีออกมาแล้ว” เขาอุ้มตู๋กูซิงหลันลงไปในสระน้ำด้วยกัน 

 

 

ไอน้ำร้อนโอบล้อมรอบกาย 

 

 

บนผิวน้ำยังมีกลีบดอกไม้สดลอยอยู่ด้านบน รอบด้านมีผ้าโปร่งสีแดงกางอยู่ทั้งสี่ด้าน ไอน้ำม้วนตัวอยู่ในอากาศ ทำให้ภาพของคนทั้งสองดูเลือนรางกว่าเดิม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็ถูกจีเฉวียนจูบหนักๆทีหนึ่ง ปิดปากของนางเอาไว้จนแนบแน่น 

 

 

พอปล่อยนาง เขาถึงได้ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อสามารถหนีออกมาได้ด้วยตนเอง ก็แสดงว่าสามีไม่ขยันขันแข็งเพียงพอ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ไม่ใช่นะ….” 

 

 

ขาของนางปวดเมื่อยจนแทบจะหลุดแล้วนะพี่ชาย! 

 

 

“ไม่อนุญาตให้แก้ตัว ในเมื่อสามีบอกว่าใช่ ก็แปลว่าใช่”  

 

 

เมื่อมีบรรยกาศที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ จีเฉวียนไม่ให้โอกาสนางแม้แต่น้อย เขารังแกนางอีกครั้ง  

 

 

จนกระทั่งพระจันทร์ลอยขึ้นไปถึงกลางฟ้า จึงค่อยพาคนที่อาบน้ำจนสะอาดสะอ้านแล้ว กลับเข้าไปในห้องบรรทม 

 

 

เขากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองอิงแอบกันอยู่บนฟูก เสพสุขกับช่วงเวลาที่งดงาม 

 

 

พอได้โอบกอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น สูดดมกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายจากกายของนาง จีเฉวียนถึงได้อิ่มเอมจนพอใจ 

 

 

แม้จะเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝันหรือไม่ 

 

 

ส่วนตู๋กูซิงหลัน ก็คิดเช่นเดียวกัน 

 

 

กลัวว่าจะเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาแล้ว ค่อยพบว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง  

 

 

ช่างดีเหลือเกิน 

 

 

…………………..