ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 12 สังฆราชมาเยี่ยมคนในสาขาหลัก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลัวปู้ฟังเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เรื่องที่คนใช้ใจกล้านินทาเจ้านายแบบนี้มีให้เห็นโดยทั่วไปในทุกตระกูล

หากสุนัขเห่าใส่เจ้านายดังขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจเพราะมันกลายเป็นบ้า แต่เป็นไปได้มากกว่าที่มันจะหันไปพึ่งนายใหม่

เพื่อที่จะแสดงความภักดีต่อนายใหม่ สุนัขพวกนี้อาจไม่ลังเลที่จะเห่าใจเจ้านายเดิมของมันอย่างบ้าคลั่ง ถึกกับอ้าปากกัดเป็นบางครั้ง

เขาไม่สนใจพวกพ่อบ้านที่เมาสุราอยู่มุมห้อง เขาลอยตัวเข้าลานบ้านหรูและมาที่หน้าต่างของเรือนหลัก

แม้ในยามดึกดื่น ห้องนี้ก็ยังจุดไฟสว่างบางทีอาจเป็นเพราะนายของบ้านนี้ได้นอนมานานเกินไปและดูเหมือนจะนอนหลับไปตลอด ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการจะนอน

น้ำมันหอยที่ผลิตจากเมืองจัวโจวนั้นไม่ทำให้เกิดควันหรือส่งกลิ่นระเคืองตา แสงที่เกิดก็งดงามมาก ทำให้ใบหน้าของชายวัยกลางคนเหมือนทาทับไว้ด้วยแผ่นทอง

ชายวัยกลางคนดูสง่างามมาก ดวงตาบุ๋มลึก มีชั้นแสงสีทองปกคลุมใบหน้า เขาดูไม่เหมือนกับคนมีชีวิตแต่เป็นเหมือนกับสิ่งของบูชามากกว่า

หลัวปู้ยืนนอกหน้าต่าง สำรวจชายวัยกลางคนอย่างใจเย็น นิ้วที่แตะด้ามกระบี่กระดิกเล็กน้อยด้วยความเร็วที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพพร่าเลือน

หากศิษย์สถานศึกษาหนานซีมาเห็นเข้า พวกเขาต้องนึกไปถึงการเคลื่อนไหวของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตอนที่นางคำนวณถาดดาวโชคชะตา

ใช่แล้ว เขากำลังคำนวณ โดยใช้กระบี่ของเขาแทนถาดดาวโชคชะตา

สุดท้ายเขาก็ไม่อาจพบเห็นสิ่งผิดปกติในบ้านหลังนี้ ไม่อาจคำนวณถึงปัญหาแม้แต่ข้อเดียว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การวางยาพิษจริงๆ

หากมันเป็นอาการป่วยจริงๆ และศิษย์น้องไม่อาจรักษาได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ย่อมไม่อาจทำได้

หลัวปู้ออกจากจวนไปอย่างเสียใจและขอโทษอยู่บ้าง กลับไปยังริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ย

มองไปยังจวนอีกฝั่งของแม่น้ำ เขาคิดในใจ เมื่อฝั่งนี้เป็นสาขาหลักถ้าอย่างนั้นอีกฝั่งก็คือสาขารองอย่างนั้นหรือ

……

……

ในวันแรกที่สังฆราชมาเยือนเวิ่นสุ่ย เขาก็ทำยาเม็ดจูซาขวดหนึ่ง

ในวันที่สอง ผู้ยิ่งใหญ่นิกายหลวงนักพรตไป๋สือที่มายังเวิ่นสุ่ยเพื่อพบสังฆราชหายตัวไป ประมุขรองตระกูลถังเข้าพบสังฆราช และในคืนนั้นก็มีการลอบโจมตีหมายเอาชีวิตเขา

ในวันที่สาม เขานำคนมากมายติดตามเขาออกจากอารามเต๋า นั่งรถม้าศักดิ์สิทธิ์เดินทางไปตามแม่น้ำเวิ่นสุ่ยใต้สายตาเป็นกังวลนับไม่ถ้วนที่มองออกมาจากจวน

จวนนี้เป็นของสาขาหลักตระกูลถัง เป็นเวลาครึ่งปีแล้วที่ประมุขใหญ่ตระกูลถังที่ป่วยหนักถูกย้ายจากจวนเก่ามายังที่แห่งนี้

เป็นเวลาครึ่งปีแล้วที่ถังซานสือลิ่วถูกขังอยู่ในหอบรรพบุรุษ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องทั้งสองเกี่ยวข้องกันหรือไม่

หากเป็นไม่กี่วันก่อนประตูใหญ่ของจวนคงปิดสนิท พวกคนรับใช้กระจายตัวไปและซุบซิบเรื่องเจ้านาย แต่วันนี้ต่างไป เมื่อรถม้าศักดิ์สิทธิ์ของสังฆราชยังอยู่ห่างไปหลายลี้ จวนก็ได้รับข่าว หลังจากแตกตื่นในตอนแรก ทั้งหมดก็กลับคืนสู่ความสงบ

ประตูกลางถูกเปิดไว้นานแล้ว คนรับใช้คุกเข่าอยู่สองข้างทาง ทั้งหมดต่างก็นิ่งเงียบและนอบน้อมอย่างที่สุด สามารถเห็นได้ถึงมาตรฐานของตระกูลสูงศักดิ์

แต่เฉินฉางเซิงยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องนัก

ไม่ใช่เพราะผู้คนที่ซ่อนอยู่หลังหน้าต่างอีกฝั่งแม่น้ำเฝ้ามองอยู่แต่เป็นบางอย่างในอากาศที่ส่งกลิ่นออกมา

หนานเค่อยังอยู่ข้างกายเขา สูดดมราวกับสุนัขตัวน้อย “ขี้เถ้า”

ปฏิคมจากจวนเก่าตระกูลถังเพิ่งมาถึงก็รีบรุดมา แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร เขาก็ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเขาจึงอดที่จะเปลี่ยนไปไม่ได้

เฉินฉางเซิงมองไปยังทางหินอ่อนสีขาวใต้เท้า จากร่องรอยความชื้นบนพื้นผิวเขาก็เห็นได้ว่ามันเพิ่งถูกทำความสะอาด

สาเหตุที่มันเพิ่งถูกทำความสะอาดก็ย่อมเป็นเพราะเพื่อต้อนรับเขา แต่เขาสามารถบอกได้ว่ามันไม่ได้ถูกทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็งนัก

เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรยามที่เขาเดินเข้าไปในจวน

เมื่อเข้ามาในลานบ้านที่หรูหรา เขาก็เห็นผู้หญิงแต่กายเรียบง่ายแต่ก็ยังแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ จากรูปลักษณ์ของนางเขาก็เห็นว่านางน่าจะเป็นมารดาของถังซานสือลิ่ว

เห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาในลานบ้าน โดยเฉพาะชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง หญิงนางนั้นก็กล่าวด้วยเสียงสั่น “สะใภ้หลินซู่เหยียน ถวายสักการะองค์สังฆราช”

หลังจากกล่าวนางก็ก้มลงกราบไปทางเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงย่อมไม่อาจยอมรับพิธีการเช่นนี้ได้จึงกล่าว “ถังฮูหยินไม่จำเป็นต้องมากพิธีไป”

ถังฮูหยินย่อมไม่ลุกขึ้นเพราะคำพูดของเขา นางยังคงคุกเข่าต่อไป

โชคยังดีเฉินฉางเซิงคาดไว้แล้วว่านี่อาจเกิดขึ้นและวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ในเวลาอันสั้นก่อนที่จะมีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กสาวข้างกายสังฆราชก็ปรากฏตัวข้างกายถังฮูหยิน

หนานเค่อจับมือถังฮูหยินไว้ ทำให้ถังฮูหยินยากที่จะก้มลงกราบได้

เห็นเช่นนี้ปฏิคมจากจวนเก่าก็ยังไม่เคลื่อนไหว แต่ประกายความไม่สบายใจผุดขึ้นในใจของเขา

หลายคนรู้ว่าตอนที่ประมุขรองตระกูลถังเดินทางไปอารามเต๋าตามคำเรียกของสังฆราช สังฆราชได้รับการกราบกรานจากเขา

ทุกคนเข้าใจว่าสังฆราชปฏิบัติต่อสาขาหลักและสาขารองต่างกัน แต่เหตุใดต้องทำมันอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้

เฉินฉางเซิงไม่ยอมให้ถังฮูหยินก้มกราบและถึงกับทักทายนางตามมารยาทของคนรุ่นเยาว์

ตอนนี้เองที่ถังฮูหยินตระหนักว่าข่าวลือทั้งหมดนั้นเป็นจริง จดหมายที่ถูกส่งมาจากสำนักฝึกหลวงพวกนั้นต่างก็เป็นความจริงเช่นกัน

สังฆราชกับบุตรชายนางนั้นสนิทสนมกับอย่างแท้จริง ราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน

“ข้าต้องการไปพบกับท่านลุง” เฉินฉางเซิงกล่าว

ถังฮูหยินไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธและเตรียมที่จะนำทางเขาไป

เสียงกระแอมไอดังขึ้นขัดพวกเขา

ปฏิคมจากจวนเก่ากระแอมไอสองครั้ง จากนั้นก็มองไปที่ถังฮูหยิน จากนั้นก็หันไปทางเฉินฉางเซิงและกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “อาการป่วยของประมุขใหญ่รุนแรงมาก ร่างกายอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์สังฆราชมีความสำคัญยิ่งนัก หากมีอะไรเกิดขึ้นมันคงเป็นบาปของตระกูลถังเรา ขอร้ององค์สังฆราช…”

ไม่ต้องฟังจนจบก็เข้าใจได้ว่ามันมีความหมายเช่นใด ตระกูลถังไม่ต้องการให้เฉินฉางเซิงพบประมุขของสาขาหลัก

เฉินฉางเซิงเคยเห็นปฏิคมคนนี้มาก่อน หลายปีก่อนเป็นปฏิคมคนนี้เองที่นำร่มกระดาษทองมาให้เขา

พวกเขาพบกันใหม่ในวันนี้ ปฏิคมมีท่าทางให้ความเคารพมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต แต่ก็มีความระแวดระวังอยู่ด้วย

เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร มีแค่มองดูเขาอย่างใจเย็นเท่านั้น

ปฏิคมพลันรู้สึกว่าแรงกดดันบนตัวเขาเพิ่มสูงขึ้น แต่เขายังบีบให้ตัวเองพูดต่อไป “อาจารย์จากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเคยมาแล้วและแม้แต่…คนผู้นั้นจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็มาด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ ดังนั้นทำไมองค์สังฆราชต้องทำให้เหล่าผู้ศรัทธาโศกเศร้าด้วย”

ถังฮูหยินมองไปที่ปฏิคมโดยไม่พูดขัด แต่แขนเสื้อของนางสั่นเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงพลันถามขึ้น “ปรมาจารย์เต๋าเคยมาเยี่ยมหรือไม่”

ปฏิคมจากจวนเก่าคิดว่าเขาได้ยินผิดไป ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ด้วยฐานะของปรมาจารย์เต๋า เขาจะออกจากจิงตูมาเวิ่นสุ่ยเพื่อรักษาประมุขใหญ่ได้อย่างไร

เฉินฉางเซิงถาม “แล้วองค์จักรพรรดิเคยเสด็จมาเยี่ยมหรือไม่”

ปฏิคมยิ่งสับสนไปใหญ่คิดในใจ ใต้ฝ่าพระบาทมีงานมากมายในแต่ละวัน แล้วจะเสด็จมาได้อย่างไร

“ในโลกนี้มีแค่พวกเขาที่มีความสามารถทางการแพทย์สูงกว่าข้า เมื่อพวกเขาทั้งสองคนไม่เคยมา แล้วใครจะมีสิทธิ์มากไปกว่าข้าที่จะบอกว่าโรคนี้รักษาได้หรือไม่”

หลังจากกล่าวเขาก็เดินตามถังฮูหยินเข้าไปในลานบ้าน ไม่สนใจปฏิคมผู้นั้นแต่อย่างใด

ราชันแห่งหลิงไห่และนักบวชหลายสิบคนยังคงอยู่ที่เดิม กันคนของตระกูลถังไว้ด้านนอก

ปฏิคมจากจวนเก่าต้องการจะใช้ฐานะของเขาติดตามเข้าไป แต่ก็ทำไม่สำเร็จ

ราชันแห่งหลิงไห่จ้องมองเขาอย่างเฉยชาและกล่าว “เจ้าชอบไอไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ไอต่อไป”

ปฏิคมผู้นี้มีฐานะสูงส่งในเมืองเวิ่นสุ่ย แต่เขาจะทำอะไรผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวงได้

เมื่อเขามองเฉินฉางเซิงหายไปตามระเบียงบ้าน เขาก็ทั้งกังวลทั้งโมโห ดังนั้นเขาจึงเริ่มไอจริงๆ