ร่างของคนเหล่านั้น เปล่งประกายแสงเจิดจ้า
หลังจากร่อนลง แสงที่เปล่งประกายเหล่านั้นก็มลายหายไป
ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ รีบเดินไปข้างหน้า
คนแรกที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นคือ มู่หรงอวิ๋นไห่
ซูอวี้ประคองมู่หรงอวิ๋นไห่ขึ้น ดวงตาจับจ้องไปที่ใบหน้าซูจิ่นซี เสียงแหบเล็กน้อย เนื่องจากนอนหลับอย่างยาวนาน
“จิ่นซี……”
“อย่าเพิ่งพูดตอนนี้”
ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจับแขนของมู่หรงอวิ๋นไห่เพื่อตรวจชีพจร ตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดร้ายแรงและสารพิษในร่างได้รับการกำจัดไปหมดแล้ว ร่างกายอ่อนแอหลังจากนอนหลับเป็นเวลายาวนานเท่านั้น
“เสด็จพ่อ ท่านปลอดภัยแล้ว เพียงแค่หลังกลับไปจะต้องดูแลพักฟื้นร่างกายสักระยะเท่านั้น”
มู่หรงอวิ๋นไห่มองซูจิ่นซีน้ำตาคลอเบ้า พยักหน้าและตกลง “อืม อืม! “จากนั้น……ขณะที่กวาดสายตามองไปที่จงซีจือที่อยู่ข้างๆ ภายในใจตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
“ซีจือ……ซีจือ……”
มู่หรงอวิ๋นไห่ลุกขึ้นไปอยู่ข้างกายของจงซีจือ ส่งเสียงเรียกหลายครั้ง ทว่าจงซีจือยังไม่ฟื้นขึ้นมา
ซูจิ่นซีจับชีพจรของนางและพบว่าชีพจรของนางเป็นปกติดี
“อาจเป็นเพราะหลับไปนานมาก จึงฟื้นช้ากว่าเล็กน้อย”
ขณะกำลังพูด มู่หรงฉีค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นผู้คนรอบข้าง ใบหน้าแสดงถึงความสงสัย “ที่นี่คือที่ใด?เกิดอันใดขึ้น?”
“ก่อนหน้านี้ เจ้าได้เสียชีวิตขณะที่ต่อสู้กับเจ้าเฒ่าตงหลิงชาง และเทพธิดาอวิ๋นเสียจากวิหารเทพซีหวังหมู่ ช่วยชีวิตเจ้าให้ฟื้นขึ้นมา” อู๋จุนไม่ชอบพวกเรื่องจุกจิกกวนใจแบบนี้จึงอธิบายอย่างเสียไม่ได้ว่า “นี่คือเขาเฟิ่งหวง นั่น ที่นั่นคือวิหารเทพซีหวังหมู่”
เขาเฟิ่งหวง……
วิหารเทพซีหวังหมู่……
วิหารเทพซีหวังหมู่……
มู่หรงฉีมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้ามึนงง และสุดท้ายมองไปที่ตงหลิงหวง
ตื่นเต้นสุดจะเอ่ยจริงๆ
เมื่อครู่นี้ ดูเหมือนเขายังมีคำพูดมากมายจะพูดกับตงหลิงหวง ทว่ากำลังจะอ้าปาก กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด
ตงหลิงหวงนั่งยองๆ ตรงหน้ามู่หรงฉี “เพิ่งฟื้นขึ้นมา ไม่ต้องพูดอันใดมาก ร่างกายยังอ่อนแออยู่!”
“……” มู่หรงฉีไม่พูดสิ่งใด
ตงหลิงหวงหยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “เส้นทางกลับยังอีกยาวไกลนัก หากเจ้าเดินไม่ไหว ข้าจะนำเจ้าใส่ไว้ในแหวนเก้ามังกร” นางพูดพลางเดินไปหามู่หรงฉียกมือขึ้นพร้อมชูแหวนเก้ามังกรที่นิ้วมือ
“……”
“ถังเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ และอยู่ข้างใน ยังมีพวกคนชั่วที่พวกเราจับได้ก่อนหน้านี้ นั่นคือนักพรตจื่ออิ๋นจากสำนักกระบี่คุนหลุน”
“……”
“เจ้าอย่ากังวล เขาทำร้ายเจ้าไม่ได้แน่ เขาถูกมัดด้วยเชือกเทวะ”
“……”
“มู่หรงฉี……
ตงหลิงหวงอยากจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่าจู่ๆ มู่หรงฉีก็คว้าแขนของนางไว้ แล้วดึงสู่อ้อมกอดของตัวเอง คำพูดที่ติดอยู่ในปากเหล่านั้น ถูกกลืนลงในส่วนลึกของลำคอ จนไม่อาจพูดอันใดออกมาได้
มู่หรงฉีกอดตงหลิงหวงแน่น จนตงหลิงหวงแทบจะขาดลมหายใจ
“มู่หรงฉี……” ตงหลิงหวงพูดอย่างระมัดระวัง
“……”
“มู่หรงฉี…”
“……”
“มู่หรงฉี……
“……”
มู่หรงฉีกอดตงหลิงหวงแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย
“หวงเอ๋อร์…”
เสียงของตงหลิงหวงแหบแห้งจนตัวนางเองก็คาดไม่ถึง
“อืม……”
“ขอบคุณเจ้ามาก!”
ตงหลิงหวงตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามต่อไปว่า “ขอบคุณอันใดหรือ?”
“ขอบคุณเจ้า เพื่อข้าแล้วเจ้าต้องเดินทางข้ามน้ำและภูเขา ฝ่าฟันความลำบากจนมาถึงสถานที่ห่างไกลเช่นนี้”
ตงหลิงฮวาเม้มริมฝีปาก น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นไหลอาบสองแก้ม
ไม่ว่าฝ่าฟันสิ่งใดมาก็ตาม นางรู้สึกเพียงว่า จากคำพูดของมู่หรงฉีในขณะนี้นั้นคุ้มค่าแล้ว
ความพยายามทุ่มเททั้งหมดนั้นคุ้มค่าแล้ว ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นใด
“หวงเอ๋อร์……”
“อืม? “
“ต่อไปนี้พวกเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่แยกจากกันอีก”
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ตงหลิงหวงก็รับปากว่า “อืม! “
“ซีจือ……” จู่ๆ มู่หรงอวิ๋นไห่พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ทุกคนรีบมองไปที่จงซีจือ เป็นจริงดั่งคาดไว้ จงซีจือค่อยๆ ลืมตาขึ้น อย่างไรก็ตาม นางมองสายตาของทุกคนด้วยความสับสนเล็กน้อย
“ซีจือ……” มู่หรงอวิ๋นไห่ส่งเสียงเรียกอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
ดวงตาจงซีจือจ้องมองร่างมู่หรงอวิ๋นไห่แล้วค่อยๆ ขมวดคิ้ว” ท่านคือผู้ใด?
ทุกคนต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ
สีหน้ามู่หรงอวิ๋นไห่อึ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานก็พูดว่า “ข้าคือชิงซาน ซีจือ ข้าคือชิงซาน หรือว่าข้าแก่เกินไป เจ้าจึงจำข้าไม่ได้แล้ว?”
“ชิงซาน?” ดวงตาจงซีจือแสดงถึงความสับสนงุนงงมากยิ่งขึ้น
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
มู่หรงอวิ๋นไห่มองซูจิ่นซีเพื่อขอความช่วยเหลือ จากนั้นซูจิ่นซีจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรให้จงซีจือ
ทุกคนต่างจ้องใบหน้าของซูจิ่นซี เพียงรอผลการตรวจชีพจรของซูจิ่นซี โดยเฉพาะมู่หรงอวิ๋นไห่และมู่หรงฉี
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงปล่อยแขนจงซีจือ และส่ายศีรษะเล็กน้อยให้กับมู่หรงอวิ๋นไห่
ทันใดนั้น มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ล้มลงกับพื้นด้วยใบหน้าหมดหวัง
“เสด็จพ่อ!” มู่หรงฉีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อประคองร่างมู่หรงอวิ๋นไห่
มู่หรงอวิ๋นไห่บ่นพึมพำ “ลืมแล้ว นางลืมทุกอย่างหมดแล้ว ลืมเรื่องตอนนั้นแล้ว นางลืมทุกสิ่งไปหมดแล้ว” พูดพลาง ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงอันใดบางอย่างได้ คว้าแขนซูจิ่นซี และพูดกับจงซีจือว่า “ซีจือ นี่คือบุตรสาวของเจ้า จิ่นซีคือจิ่นซี เจ้ายังจำนางได้ไหม?จิ่นซี เจ้าน่าจะจำได้ใช่หรือไม่?”
“จิ่นซี……”
ดวงตาจงซีจือเหม่อลอยเล็กน้อย มู่หรงอวิ๋นไห่ยังคิดว่านางจำบางอย่างได้ จึงพูดอย่างตื่นเต้นทันทีว่า “ถูกต้อง คือจิ่นซี ซูจิ่นซี”
ดวงตาที่เหม่อลอยของจงซีจือมองไปที่ใบหน้าของซูจิ่นซี เนื่องจากแววตาของนางทำให้ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ เฝ้ารอการตอบสนองต่อไปของนาง อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางคาดคิดว่า ผ่านไปครู่หนึ่งนางกลับส่ายศีรษะเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ ข้าจำไม่ได้……จิ่นซี…… ซูจิ่นซีคือผู้ใด?”
มู่หรงอวิ๋นไห่รอคอยอย่างมีความหวังกลับผิดหวังอีกครั้ง สีหน้าท่าทางสิ้นหวังอย่างมาก
ซูจิ่นซีดึงมือมู่หรงอวิ๋นไห่ออกไปอย่างเงียบๆ และดึงแขนของตัวเองออกจากมือของนาง
มู่หรงฉีกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ท่านอย่าได้สิ้นหวัง พระชายาจงหลับไปนานมาก และเพิ่งตื่นขึ้นจดจำเรื่องราวมากมายไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ! บางทีเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง นางอาจจดจำทุกอย่างได้ นอกจากนี้พระชายาจงจากไปหลังให้กำเนิดจิ่นซี หลายปีนี้ จิ่นซี เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พระชายาจงไม่เคยพบนางอีกเลย จะรู้จักนางได้อย่างไร?”
ดูเหมือน……ฟังแล้วมีเหตุผล
ในที่สุด ดวงตามู่หรงอวิ๋นไห่เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง จับมือมู่หรงฉีพูดว่า “ใช่หรือไม่?เมื่อเวลาผ่านไป ซีจือจะจำทุกอย่างได้ใช่หรือไม่?”
ท่าทางจริงจังเหมือนเด็กๆ
“ใช่” มู่หรงฉีตอบอย่างแน่วแน่ “ใช่อย่างแน่นอน เสด็จพ่อ ท่านต้องเชื่อใจพระชายาจง”
“ตกลง เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
มู่หรงอวิ๋นไห่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา จับมือของจงซีจือ ดูเหมือนจงซีจือจะกลัวมู่หรงอวิ๋นไห่จึงหดตัวถอยกลับไปเล็กน้อย