เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1410
มหาเสนาบดีหลินยิ้มและพูดว่า: “เขาไม่รู้หรอกว่าโลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่มากแค่ไหน และก็ไม่รู้ว่าประเทศเป่ยเสินหมายถึงอะไร แล้วเขาจะไปกลัวได้อย่างไรล่ะ สำหรับเขาแล้ว ศูนย์กลางของโลกก็คือประเทศหลิง ส่วนเขานั้นก็คือชินอ๋องที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศหลิง แม้แต่ฝ่าบาทเขาก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย แน่นอนว่าในใต้หล้านี้เขายิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว”
ลู่ฝานส่งเสียงฮึเบา ๆ และพูดว่า: “ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก นั่นก็หมายความว่า พวกนักบู๊ปีกทอง นักบู๊ปีกเงินเหล่านั้นที่ต่อสู้กับพวกเราเมื่อครู่นี้ ล้วนเป็นคนของเขาทั้งหมดเลย? ”
มหาเสนาบดีหลินพูดขึ้นว่า: “พวกนั้นล้วนเป็นผู้พิทักษ์คุ้มกันเมืองหลวง ส่วนหลินมู่กงที่เป็นหัวหน้าของผู้พิทักษ์คุ้มกันนั้น ก็เป็นลูกน้องของเขาเช่นกัน”
คราวนี้หลิงเหยาฟังไม่เข้าใจแล้ว จึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า: “ผู้พิทักษ์คุ้มกันเมืองมาลงมือก่อเหตุร้ายภายในพระราชวัง? ซึ่งยังลอบสังหารขุนนางผู้แทนของประเทศอื่นด้วย? นี่มันช่างเหลือเชื่อมากเกินไปแล้วไหมล่ะ”
มหาเสนาบดีหลินกำหมัดแน่น และพูดว่า: “ฟังดูแล้วมันก็น่าเหลือเชื่ออย่างมาก แต่ความจริงมันก็เป็นเช่นนี้ ทุกท่านอย่าได้ถามอะไรอีกเลย รอให้มีข่าวคราวของธิดาเทพแล้ว ฉันก็จะไปรีบช่วยหล่อนในทันที จากนั้นก็จะพาพวกคุณออกไปจากประเทศหลิง ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ คงจะรับรองพวกคุณต่อไปอีกไม่ได้แล้ว พวกคุณควรกลับออกไปโดยเร็วจะดีที่สุด! ”
ลู่ฝานกับหลิงเหยาจ้องมองสบตากัน แล้วหลิงเหยาก็พูดขึ้นว่า: “ลู่ฝานอ่า ดูเหมือนว่าฝ่าบาทประเทศหลิงจะถูกควบคุมโดยราชาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น! ”
ลู่ฝานพยักหน้า
เวลานี้ ฝ่าบาทประเทศหลิงได้พูดขึ้นว่า: “เมื่อครู่พวกคุณต่อสู้เอาชนะพวกผู้พิทักษ์คุ้มครองเมืองได้อย่างไร ทหารปีกทองคนนั้น เป็นถึงนักบู๊แดนปราณดินเลยนะ นั่นคือยอดฝีมือที่เก่งกาจในจำนวนยอดฝีมือของพวกเราประเทศหลิงเลย”
สาวน้อยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ มหาเสนาบดีเองก็มองไปยังลู่ฝานกับพวกพ้องด้วยสายตาที่สงสัย
ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “ก็แค่แดนปราณดิน ถือว่าเป็นยอดฝีมือด้วยเหรอ? ”
มหาเสนาบดีหลินส่งเสียงฮึอย่างเย็นชาและพูดว่า: “พูดจาโอ้อวดนัก ท่านป๋อลู่ เป็นไปได้ที่เมื่อครู่นายอาศัยสัตว์อสูรยักษ์ตัวนี้ จึงโชคดีเอาตัวรอดมาได้ แต่ฉันจะบอกกับนายว่า ทหารปีกทองแดนปราณดินนั้น มาอย่างไร้ตัวตน ไปอย่างไร้ตัวตน เมื่อเกิดสายลมพัดโหมกระหน่ำ ชีวิตก็จะดับสิ้นลง ต่อไปคราวหน้าหากนายพบเจออีก ก็ควรจะหลบหนีเป็นดีที่สุด เพราะอาจจะไม่มีองครักษ์เกราะเถาวัลย์ ไปช่วยชีวิตนายแล้ว”
ลู่ฝานทำหน้าประหลาด อยากที่จะหัวเราะออกมา
เขาอยากที่จะบอกกับมหาเสนาบดีหลินว่า ก็แค่นักบู๊แดนปราณดินเท่านั้น ต่อให้เป็นนักบู๊แดนปราณฟ้า เขาก็เคยสังหารมาแล้วสองคน
หลิงเหยาส่งกระแสจิตพูดว่า: “ลู่ฝานอ่า ดูเหมือนว่านักบู๊ของประเทศหลิงจะมีระดับฝีมือที่ไม่สูงนัก! ”
ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขนาดมหาเสนาบดีของประเทศที่ยิ่งใหญ่ ยังนึกว่านักบู๊แดนปราณดินเก่งกาจยิ่งกว่าอะไร เพียงแค่คิดก็รับรู้ได้แล้วว่า ประเทศแห่งนี้ มียอดฝีมือจำนวนเท่าไร
ลู่ฝานครุ่นคิด และถามขึ้นว่า: “ฉันขอถามหน่อยว่า ราชาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีวิทยายุทธที่เก่งกาจแค่ไหน? ในจำนวนลูกน้องของเขามียอดฝีมือที่เหนือกว่าแดนปราณดินอยู่จำนวนเท่าไร”
มหาเสนาบดีหลินพูดว่า: “ที่จริงแล้วนายก็แค่อยากจะถามว่าธิดาเทพของพวกนายยังมีโอกาสที่จะรอดชีวิตมากแค่ไหนใช่ไหมล่ะ? ฉันบอกกับนายแบบนี้แล้วกันว่า ลูกน้องในสังกัดของราชาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นทหารคุ้มครองประเทศเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ มีนักบู๊แดนปราณนอกนับหมื่นคน นักบู๊แดนปราณชีวิตนับพันคน นักบู๊แดนปราณดินก็มีจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคน แม้แต่นักบู๊แดนปราณฟ้า ก็ยังมีอยู่สามคนที่ติดตามเขา ซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแลทั้งสามทิศของประเทศหลิง สำหรับเขานั้นเกือบจะเป็นนักบู๊แดนปราณฟ้าแล้ว มีพลังความสามารถที่แข็งแกร่ง มีอิทธิพลอำนาจที่ยิ่งใหญ่ พวกนายไม่สามารถที่จะจินตนาการได้หรอก ฉะนั้นธิดาเทพตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้ว! ”
ลู่ฝานพยักหน้า ยิ้มและพูดว่า: “มีอิทธิพลอำนาจไม่เบาเลย แต่สำหรับฉันแล้ว ธิดาเทพคงจะปลอดภัยไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน! ”
ลู่ฝานเอนหลังพิงไปบนเก้าอี้ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
มหาเสนาบดีหลินขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า: “ที่นายพูดนี้หมายความว่าอย่างไร? ”
ลู่ฝานอมยิ้มโดยที่ไม่พูดอะไร
และในเวลานี้ ก็มีเสียงขององครักษ์เกราะเถาวัลย์เขียวคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านนอก
“กราบทูลฝ่าบาท ธิดาเทพกลับไปยังห้องพักอย่างปลอดภัย และไม่มีอะไรที่ผิดแปลกไปด้วย”
มหาเสนาบดีหลินมองไปที่ลู่ฝานด้วยความตกตะลึง
เวลานี้ลู่ฝานจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ก็หมายความแบบนี้ยังไงล่ะ”