“นี่มัน……” เศษจิตสำนึกของหงเทียนที่แปรเปลี่ยนเป็นไส้เดือนม่วงเผยสีหน้าแห่งความตื่นตกใจออกมาเป็นครั้งแรก

ในเวลานี้เอง สองมือของหลัวซิวก็ผลักออกไป นำเอาตราทวยมรณะที่แปรเปลี่ยนเป็นวงล้อสีดำอัดเข้าไปในปากของมัน

“โครม!”

เกิดเสียงดังสนั่นรอบตัวเศษจิตสำนึกของหงเทียน ร่างกายระเบิดออกในทันที แตกสลายกลายเป็นปราณม่วงปกคลุมท้องฟ้า แพร่กระจายไปทั่วปริภูมิกลางตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว

ซัว! ซัว! ซัว!……

ปราณม่วงแต่ละสายเหมือนดั่งลูกธนู ไม่นานก็หลอมรวมเข้าหากันอีกครั้ง กลายเป็นรูปลักษณ์ของไส้เดือนม่วงอีกครั้ง

“วิชาเมื่อครู่เจ้าเรียนมาจากที่ใด? แล้วเจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลโบราณแห่งโลกายุทธ์ร้าง?” เศษจิตสำนึกของหงเทียนเอ่ยถาม

“เหตุใดข้าจึงต้องบอกเจ้า?” หลัวซิวเผยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกายุทธ์ร้างตระกูลโบราณที่เศษจิตสำนึกของหงเทียนเอ่ยถึงนั้น เขาไม่ได้รู้สิ่งใดเกี่ยวกับมันสักนิด

แต่ว่าเขากลับมองออก เหตุที่เศษจิตสำนึกของหงเทียนตกใจมากเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะตราทวยมรณะที่เขาสำแดงออกมานั้น มันสามารถอธิบายได้ว่าโลกายุทธ์ร้างตระกูลโบราณที่เขาเอ่ยปากพูดถึง คงจะครอบครองวรยุทธ์พลังอมตะอย่างเช่นตราทวยมรณะด้วยเช่นกัน

“เฮอะ เจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร กลืนกินยึดครองร่างและความทรงจำของเจ้า ข้าก็จะได้รู้ทุกสิ่งอย่าง” ไส้เดือนม่วงส่งเสียงประหลาดออกมา จากนั้นก็พุ่งกระโจนเข้าหาหลัวซิวอีกครั้ง

ในฐานะเศษจิตสำนึกของราชาเทพผู้แข็งแกร่ง ถึงแม้พลังจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ใช่ว่าจะมีพลังที่มากมายเสียจนไม่สามารถใช้ได้จนหมด

โดยเฉพาะเมื่อถูกหลัวซิวสำแดงตราทวยมรณะ เป็นที่น่าเกรงกลัวอย่างมาก เมื่อร่างกายถูกทำลายไปแล้วหนึ่งครั้ง ออร่าก็อ่อนแอลงไปมาก

ทันใดนั้นการต่อสู้ของทั้งสองคนท่ามกลางตัวหยั่งรู้เข้าสู่สภาวะการเผชิญหน้าอันยาวนาน ร่างของหลัวซิวราวกับขอนไม้อย่างไรอย่างนั้น ยืนตรงอยู่กลางตำหนักจื่อเซียว เวลาผ่านพ้นไปก็เข้าใกล้สองเดือนแล้ว

ตามเวลาที่เคลื่อนไหวไปเรื่อย ๆ สถานการณ์สำหรับหลัวซิวนานวันก็ยิ่งไม่สู้ดีนัก เพราะว่าการสูญเสียของเศษจิตสำนึกของหงเทียนน้อยกว่าเขามากอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จุดจบสุดท้ายของเขาจะต้องเป็นการถูกเศษจิตสำนึกของหงเทียนกลืนกินจนหมดเป็นแน่

แต่ว่าหลัวซิวนั้นไม่มีทางยินยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด หากไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้จริง ๆ เขายินยอมที่จะทำลายร่างแยกร่างนี้ทิ้งเสีย ดีกว่ายอมให้เศษจิตสำนึกของหงเทียนได้สำเร็จดั่งใจคิด

ดูเหมือนว่าไพ่ไม้ตายทั้งหมดของเขาจะถูกนำออกมาใช้จนหมดแล้ว ความคิดทุกรูปแบบแวบวาบผ่านเข้ามาในสมอง ครุ่นคิดถึงมาตรการรับมือ

ท้ายที่สุดเขากัดฟันแน่น จากนั้นเริ่มแปรภูตอัคคีร้อยแปร เริ่มการกลั่นแปรภูตอัคคีชนิดที่สาม ภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยิน!

ภูตอัคคีชนิดนี้ได้รับมาจากเหวปีศาจมรณะแห่งโลกแสงดาว ถึงแม้จะได้รับมานานแล้ว แต่ตลอดมานั้นเขาไม่มีพลังมากเพียงพอที่จะกลั่นแปรมัน

ในตอนแรกตามแผนการของหลัวซิว อย่างน้อย ๆ ต้องรอให้ตนมีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร หรือไม่ก็แดนร่างเนื้อบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เสียก่อน จึงจะฝึกตนภูตอัคคีร้อยแปรถึงขั้นที่สาม เพราะเมื่อใดที่กลั่นแปรขั้นที่สามได้สำเร็จ ภูตอัคคีก็จะแปรเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิอัคคีนภาแดง ร่างนี้ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งมากเพียงพอ เป็นการยากที่จะควบคุมได้

แต่ว่าในเวลานี้ เขากลับไม่สามารถกังวลสิ่งใดได้มากขนาดนั้น เพราะนี่คือวิธีการเดียวที่จะสามารถต่อกรกับเศษจิตสำนึกของหงเทียนได้

จากการปะมือกันเป็นเวลานาน เขาก็สามารถจะคาดเดาออกมาคร่าว ๆ ได้ เศษจิตสำนึกของหงเทียนนี้พลังที่เหลืออยู่ทั้งหมด น่าจะเทียบเท่าได้กับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป หากสามารถกลั่นจักรพรรดิอัคคีนภาแดงได้สำเร็จ ก็จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอันตรายเช่นนี้ได้

“ฮ่า ฮ่า เจ้าหนู หมดแรงแล้วหรือ?”

เศษจิตสำนึกของหงเทียนหัวเราะเย้ยหยัน เพราะเขาพบว่าเจ้าหนุ่มแดนมหายุทธ์คนนี้ไม่ได้เอาเปลวเพลิงสีทองนั้นออกมาสู้กับเขาเป็นเวลานานแล้ว

“ข้าจะหมดแรงหรือไม่ หากเจ้ามีความสามารถก็เข้ามาลองดูเอง” หลัวซิวจงใจพูดยั่วยุ มือก็เคลื่อนไหวภูตอัคคีร้อยแปรเพื่อกลั่นภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินอย่างลับ ๆ

นิ้วมือของเขาบีบตราประทับ ด้วยการอำนาจของตราทวยมรณะ ทำให้เศษจิตสำนึกของหงเทียนรู้สึกเกรงกลัวอย่างมาก ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าเข้าโจมตีโดยตรง แต่ทำได้แค่เดินไปรอบและต่อสู้กับเขา