นี่เขาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกลุ่มคนชนิดไหนกัน?
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก เขาตัดสินใจไม่แยแสตัวประหลาดพวกนี้และหันไปพูดกับฉีหลิงเอ๋อ “หาที่พักกันเถอะ คุณมีอะไรจะแนะนำไหม?”
เขาไม่รังเกียจการค้างอ้างแรมในที่พักง่ายๆหากมาตามลำพัง แต่เมื่อมีท่านพ่อท่านแม่มาด้วย อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องหาสถานที่ที่ดีพอเพื่อให้ทั้งคู่ได้พักผ่อนอย่างสบาย
แม้ค่ายกลทะลุมิติจะพาพวกเขามาถึงที่นี่ในชั่วพริบตา และท่านพ่อท่านแม่ก็ได้รับการปกป้องจากตราสัญลักษณ์ แต่ทั้งคู่ก็ย่อมได้รับความบอบช้ำอยู่บ้างเพราะวรยุทธที่ยังอ่อนด้อย
“ฉันใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉี และเดินทางออกจากเมืองหลวงทันทีที่เป็นอิสระ” ฉีหลิงเอ๋อตอบอ้อมแอ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็หาที่เหมาะๆกันเถอะ” จางเซวียนพูด
แม้ฉีหลิงเอ๋อจะมาจากหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง แต่สถานภาพของเธอก็ไม่ได้สูงส่งพอที่จะพาคนนอกกลับไปด้วยได้
อีกอย่าง ตระกูลผู้ทรงอำนาจส่วนใหญ่มักมีกฎเกณฑ์จุกจิกมากมาย ซึ่งจะทำให้อยู่ยาก คงสะดวกสบายกว่ากันมากหากมีที่พักเป็นของตัวเอง
เมืองหลวงแห่งนี้มีนักเดินทางแวะเวียนมาบ่อยครั้ง การเสาะหาที่พักที่ปลอดภัยจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง ทั้งกลุ่มก็ได้บ้านพักที่น่าพอใจหลังหนึ่ง ติดข้อเดียวตรงที่ราคาสูงกว่าบ้านพักอาศัยในเมืองตะวันรอนมาก แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่จางเซวียนจ่ายไหว
“นี่คือยาเม็ดเพิ่มความงาม 50 เม็ด จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ คุณช่วยขายให้ผมหน่อย อีกอย่าง ผมหวังว่าคุณจะช่วยผมสืบหาข่าวเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าหลายขวดให้ฉีหลิงเอ๋อ
ระหว่างทาง เขาใช้เงินที่ได้มาก่อนหน้านี้หาซื้อยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าขั้นต่ำมาเพิ่ม
สำหรับจางเซวียน ยาเม็ดเพิ่มความงามไม่ต่างอะไรกับเงินที่ได้มาฟรีๆ สิ่งที่เขาต้องใช้มีแค่กระแสพลังปราณเท่านั้น
“ได้สิ” ฉีหลิงเอ๋อตอบขณะออกจากลานบ้านไป
จากนั้น จางเซวียนหันไปส่งโทรจิตหาซุนฉาง “ผมอยากให้คุณไปหาข่าวเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองในเมืองหลวง และเมื่อได้ข่าวแล้ว ไปตามหาลู่ชงด้วย เขาถูกจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นนำตัวไป ตอนนี้จึงน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองหลวงนี่แหละ…”
หลังจากลู่ชงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จบนภูเขาสวรรค์สร้าง เพียงไม่นาน จอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็มานำตัวเขาไป ดังนั้น ในเวลานี้ลู่ชงจึงน่าจะอยู่ในเมืองหลวง
“รับทราบ” ซุนฉางพยักหน้าก่อนจะออกจากบ้าน
เมื่อสั่งการเรียบร้อย จางเซวียนจัดห้องหับให้ท่านพ่อท่านแม่ของเขาก่อนจะกลับห้องของตัวเอง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็นำจี้สีแดงก่ำที่ห้อยอยู่รอบลำคอของเขาออกมาลูบไล้
ลั่วชิง คุณอยู่ที่ไหน*?*
ตัวตนที่แท้จริงของคุณในสรวงสวรรค์เป็นใคร*?*
จากที่จางเซวียนได้พูดคุยกับหลัวลั่วชิง เขาดูออกว่าสถานภาพของเธอในสรวงสวรรค์น่าจะสูงส่งไม่น้อย เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่อาจช่วยเหลือเขาได้ในหลายๆด้าน
บางทีเราน่าจะลองหาข้อมูลจากเลือดหยดนี้ก่อน จางเซวียนคิดขณะมองของเหลวสีแดงก่ำที่อยู่ภายในจี้
หลัวลั่วชิงมอบจี้อันนี้ให้เขา เขาไม่แน่ใจว่าเลือดที่อยู่ในนั้นเป็นของเธอหรือเปล่า แต่ต่อให้ไม่ใช่ ก็น่าจะเป็นเงื่อนงำชั้นดีที่จะพาเขาไปหาเธอได้
ต้องลองดู…
ที่ผ่านมา จางเซวียนไม่สามารถถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่หยดเลือดเพราะพละกำลังของเขายังอ่อนด้อย แต่ในเวลานี้ ด้วยกายเนื้อ จิตวิญญาณ และพลังปราณที่เข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้ว เขาก็น่าจะทำได้
จางเซวียนรีบติดตั้งค่ายกลอันหนึ่งในห้องของเขาก่อนจะปล่อยจี้ให้ลอยอยู่บริเวณใจกลางค่ายกล
จากนั้นก็เริ่มถ่ายทอดจิตใต้สำนึกของเขาเข้าสู่จี้
เมื่อดูจากภายนอก จี้อันนี้น่าจะทำจากคริสตัลบางชนิดที่มีความแข็งแกร่งทนทานอย่างเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่พละกำลังของเขาในเวลานี้ก็ทำลายมันไม่ได้ แต่โชคดีที่จิตใต้สำนึกของเขาสามารถซึมซาบเข้าไปในนั้น แม้จะยากลำบากอยู่สักหน่อย
ไม่ช้า จิตใต้สำนึกของจางเซวียนก็เข้าถึงหยดเลือด
หยดเลือดนั้นนอนนิ่งอยู่ภายในจี้ ไม่บ่งบอกถึงพละกำลังแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะมันเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง จางเซวียนคงมองข้ามไปเพราะหน้าตาที่แสนจะธรรมดาของมัน
จางเซวียนตัดสินใจจะค้นหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ เขาผลักดันจิตใต้สำนึกเข้าสู่หยดเลือด
ทันทีที่จิตใต้สำนึกของเขาสัมผัสกับมัน ทั้งร่างก็สั่นสะท้านด้วยความอัศจรรย์ใจ รังสีที่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา และคำพูดที่เขาเคยได้ยินตอนที่เพิ่งทะลุมิติมายังทวีปแห่งปรมาจารย์ใหม่ๆก็ดังก้องอยู่ในหัว
สรวงสวรรค์โหดร้าย ให้ค่าทุกสิ่งมีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่เป็นหุ่นฟาง
อาทิตย์อัสดง จันทร์ข้างแรม สรวงสวรรค์แหว่งวิ่น*…*
“สรวงสวรรค์ผู้โอหัง บงการทุกกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ มีอำนาจเหนือทุกชีวิต…”
“สรวงสวรรค์นำพาชีวิตทั้งปวงไปสู่เส้นทางของการรู้แจ้ง…”
ขณะที่ถ้อยคำเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหัวของจางเซวียน หอสมุดเทียบฟ้าก็กระตุก โลกรอบตัวเขาหมุนติ้วก่อนทุกอย่างจะมืดมิด
พลั่ก!
จางเซวียนร่วงลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เขาสลบไป
จางเซวียนมึนงง เขาเห็นตัวเองยืนอยู่เหนือหมู่เมฆ รอบกายว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรเลย
หมู่เมฆลอยละล่องไปตามสายลมอย่างอิสระเสรี เป็นการเดินทางที่ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ
แต่เมื่อมองอีกที ก็รู้ว่าเข้าใจผิด
มีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่บนหมู่เมฆเช่นกัน
ร่างนั้นกำลังลดสายตาลงมองโลกอันกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง โลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้าและตึกรามบ้านช่องโอ่อ่า
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นแค่โลกที่หยุดนิ่งใบหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวหรือหายใจ ราวกับโลกทั้งโลกหยุดหายใจไปชั่วขณะเพื่อต้อนรับการมาถึงของอะไรบางอย่าง
“ผู้อาวุโส…” จางเซวียนเดินไปหาร่างนั้นด้วยความงุนงง
นักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกับเขาแทบจะไม่มีความฝัน จางเซวียนเคยฝันเพียงครั้งเดียวนับตั้งแต่เดินทางทะลุมิติมายังโลกใบนี้ จึงรู้สึกว่าจะต้องมีเหตุผลล้ำลึกบางอย่างที่ทำให้เขาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
ร่างนั้นไม่มองและไม่พูดกับเขา แต่น้ำเสียงกลับดังก้องอยู่ในหัว “คุณไม่ทำให้ผมผิดหวัง คุณเสาะแสวงหาหนทางของตัวเองได้โดยใช้พละกำลังและความแข็งแกร่งที่มี…เดินตามเส้นทางที่คุณตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองเถอะ แล้วคุณจะปีนป่ายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ควรเร่งรีบกว่านี้สักหน่อย ผมรอนานนักไม่ได้ อีกอย่าง สร้างการยอมรับจากสวรรค์ให้ได้มากกว่านี้ แล้วคุณจะได้รับบางสิ่งที่ช่วยเหลือคุณได้ในระหว่างการเดินทาง…”
ฟึ่บ!
ยังไม่ทันที่ร่างนั้นจะพูดจบ ร่างของจางเซวียนก็พุ่งออกไป ทัศนียภาพรอบตัวเขาหายวับ
เขาลืมตา และพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องเดิม ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพหลอน
“มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ช่วงเวลาสั้นนิดเดียว แต่ทุกอย่างดูสมจริงมาก ตอนนี้จางเซวียนแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นความจริงหรือความฝัน
แม้ระดับวรยุทธของจางเซวียนจะไม่สูงนัก แต่ก็มีหอสมุดเทียบฟ้าคอยปกป้อง แถมเจตจำนงกับจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งกว่านักรบทั่วไป ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่เดือดร้อนกับปีศาจใต้สำนึกและภาพลวงตาส่วนใหญ่
แต่คราวนี้ ทั้งประสาทสัมผัสและหัวสมองของเขาเริ่มสับสนกับสิ่งที่เห็น
อีกอย่าง ร่างนั้นควรจะเป็นใคร?
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องหน้าหนังสือสีทองด้วย
“หรือเขาคือปรมาจารย์ขง?”
เท่าที่จางเซวียนรู้ ผู้ที่รู้เรื่องหน้าหนังสือสีทองกับหอสมุดเทียบฟ้ามีแต่หลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงเท่านั้น เขาไม่อาจระบุหน้าตาและรูปร่างของร่างที่เห็นได้ แต่ก็ดูออกรางๆว่าอีกฝ่ายเป็นชาย
ในเมื่อเป็นแบบนั้น ร่างที่เห็นก็น่าจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก!
“เขาบอกไว้ว่าเขารอนานนักไม่ได้…นั่นหมายถึงการต่อสู้ระหว่างตัวเขากับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีหรือเปล่า?”
หลังจากที่จางเซวียนมาถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน ก็ได้ข่าวว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกำลังจะเปิดศึกครั้งใหญ่ ทั้งคู่คือผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของสรวงสวรรค์ จึงไม่มีใครคาดเดาผลของการดวลได้
“ไม่ว่าเราจะคิดถูกหรือไม่ เรื่องจริงก็คือตอนนี้เรายังอ่อนแอเกินไป ไกลเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น…”
ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง ลำพังจะรับมือกับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นกลางก็ยากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงราชันย์เทพเจ้าและจอมราชันย์
ต่อให้เขาตามหาปรมาจารย์ขงจนเจอ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะถ่วงอีกฝ่ายให้ลำบากกว่าเดิม
สิ่งที่เขาควรให้ความสำคัญในเวลานี้คือการยกระดับวรยุทธและตามหาหลัวลั่วชิง
จางเซวียนสลัดความคิดต่างๆออกจากหัว เขาหันมาเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า
การกระตุกของหอสมุดเทียบฟ้าเมื่อครู่ก่อนทำให้เขาสลบไป จางเซวียนจึงอยากสำรวจดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆหรือไม่
แต่หลังจากสำรวจไปได้สักครู่ ก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลย ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทุกอย่างดูเหมือนเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาจดจำได้อย่างแม่นยำจากการเปลี่ยนแปลงครั้งก่อน นั่นคือหน้าหนังสือสีทอง
หน้าหนังสือสีทองคืออาวุธที่บรรจุอำนาจสวรรค์เอาไว้ หลังจากที่เขาเข้าสู่สรวงสวรรค์ หอสมุดเทียบฟ้าน่าจะฉกฉวยเศษเสี้ยวหนึ่งของอำนาจจากสรวงสวรรค์มา ทำให้หน้าหนังสือสีทองมีพละกำลังเพิ่มขึ้น
ด้วยสิ่งนี้ บางทีอาจจะยกเว้นจอมราชันย์ เขาน่าจะรับมือได้แม้แต่กับราชันย์เทพเจ้าและราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ
ถ้าเขารวบรวมหน้าหนังสือสีทองได้จำนวนหนึ่ง ก็คงจะกลายเป็นนักรบที่ทรงพลังที่สุดในสรวงสวรรค์ รองลงมาจากจอมราชันย์
เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนดึงจี้ออกมาแล้วลุกขึ้นยืน
ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอจะสืบหาต้นกำเนิดของจี้สีแดงก่ำอันนี้ จึงตัดสินใจทิ้งเรื่องนั้นไปก่อน
จางเซวียนผลักประตูที่นำไปสู่ลานบ้านและเดินออกไป เพิ่งตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าสลบไปถึง 4 ชั่วโมง ซุนฉางเสร็จสิ้นการสืบข่าวแล้วและกำลังยืนรอเพื่อจะรายงาน
“นายน้อย!”
ทันทีที่เห็นจางเซวียน ซุนฉางรีบยื่นตราหยกอันหนึ่งให้
จางเซวียนรับตราหยกมาและใช้สมาธิตรวจสอบรายละเอียดที่อยู่ภายใน
ข้อมูลที่อัดแน่นอยู่ในนั้นบอกถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันและการจัดสรรปันส่วนอำนาจระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน ดูเหมือนจะเป็นข้อมูลลับสุดยอด
แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้คือจอมราชันย์เฉียนคุ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 9 จอมราชันย์