บทที่ 1690 อย่าบีบให้ข้าทำ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พวกเขาหยุดยืนในตำหนัก แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกันโดยมีโพ่จวินและอู๋ฉวี่เป็นผู้นำ “คารวะฝ่าบาท!”

“อืม!” ประมุขชิงขานรับเสียงต่ำ แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคนข้างล่าง “มั่นคงปลอดภัยมาหลายปีขนาดนี้ มีคนเหมือนระงับอารมณ์ไม่ไหว พวกเจ้าเองก็ไม่เคยผ่านศึกใหญ่มานานแล้ว ข้าอยากจะถามพวกเจ้าสักคำ หากใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลง กองทัพองครักษ์ของข้ายังทำศึกได้หรือไม่?” เสียงที่ทุ้มต่ำเยือกเย็นดังก้องอยู่ในตำหนัก

ตุ้บ! นักรบสวมเกราะยี่สิบคนในตำหนักคุกเข่าข้างเดียวพร้อมกัน รวมทั้งโพ่จวินและอู๋ฉวี่ พวกเขากล่าวเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง “คมดาบของฝ่าบาทชี้ไปทางใด กองทัพองครักษ์มุ่งหน้ามิหวั่นเกรง!”

“ดี!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน “ตอนนี้สถานการณ์ของกำลังพลแต่ละหน่วยเป็นอย่างไร?”

โพ่จวินตอบว่า “กำลังพลหกหน่วยมาถึงแล้ว วางกำลังพลตามอาณาเขตดาวรอบๆ แล้ว กำลังพลหน่วยอื่นๆ กำลังเร่งถอนกำลัง กำลังพลที่กำลังค้นหาทางน่านฟ้าเถาะติงก็ถอนกลับมาแล้วเช่นกัน คาดว่าภายในสามวันทัพใหญ่ทั้งหมดจะเข้าประจำที่ เพื่อรับมือเหตุไม่คาดคิดต่างๆ!”

“ซ่างกวน!” ประมุขชิงเอ่ยเรียก

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงรีบหันมาโค้งตัวรับคำสั่ง

ประมุขชิงกล่าวเสียงเย็น “สั่งให้คนแต่ละตำหนักอยู่ในเขตกำแพงตำแหนักตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นใคร ห้ามถือวิสาสะออกมาเดินข้างนอก ส่งกำลังพลกองทัพองครักษ์เพิ่มหนึ่งกองเข้าไปคุมเข้มในวัง สั่งให้หน่วยองครักษ์เงาคอยดักซุ่ม ถ้ามีคนก่อกบฎ ไม่ว่าจะเป็นใคร ฆ่าไม่ละเว้น!”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่ง

“ให้สมาคมวีรชนเริ่มเคลื่อนไหว” ประมุขชิงกล่าว

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงโค้งตัวเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง

“แล้วก็เจ้าด้วย!” ประมุขชิงโบกมือชี้ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง “เจ้ามัวไปทำอะไรกิน! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะไม่ได้ยินข่าวล่วงหน้าเลยสักนิด คมดาบของอีกฝ่ายจะมาถึงคอข้าอยู่แล้ว หรือจะรอให้มีคนบุกเข้าวังสวรรค์มาตัดหัวข้าก่อน แล้วหน่วยตรวจการขวาค่อยเผากระดาษรายงานให้วิญญาณข้ารับรู้?”

“เป็นข้าน้อยที่ไร้ความสามารถ” ซือหม่าเวิ่นเทียนถูกตำหนิจนเหงื่อกาฬแตก เขาคุกเข่าเสียงดังตุ้บ “ข้าน้อยจะรีบตรวจสอบความจริงให้เร็วที่สุด”

เรื่องราวในครั้งนี้เรียกได้ว่าเขาดวงซวยที่สุด เพราะเขาคือผู้รับผิดชอบหลักด้านข่าวสาร ดังนั้นความรับผิดชอบของเขาจึงเยอะที่สุด

ประมุขชิงชี้ไปที่เขาอีกครั้ง “ให้เวลาเจ้าภายในสิบวัน ถ้าภายในสิบวันนี้ให้คำตอบข้าไม่ได้ ข้าก็จตัดหัวเจ้าซะ เปลี่ยนหัวไปรับช่วงดูแลหน่วยตรวจการซ้าย!”

“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนหมอบพื้นรับคำสั่ง ไม่ว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ เขาก็ต้องรับปากไว้ก่อน

ประมุขชิงชี้ไปที่เกาก้วนอีก “เริ่มเคลื่อนไหวจารชนลับของหน่วยตรวจการขวาด้วย”

“รับทราบ!” เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

พอประมุขชิงโบกแขนเสื้อ ผู้ที่คุกเข่าก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนเดินออกไป ต่างคนต่างกลับไปประจำที่ตำแหน่งตัวเอง

ออกจากตำหนักดาราจักรมาได้ไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ดูเหมือนหวั่นเกรงตอนอยู่ในตำหนักก็กลับมาทำวีหน้าปกติแล้ว คนข้างนอกมองไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้เขาตัวสั่นหวาดกลัวขนาดไหน เขาตามเกาก้วนไป ขณะที่เดินเคียงกันอยู่นั้น ก็ถ่ายทอดเสียงคุยด้วยเงียบๆ “เกาก้วน ถ้าหน่วยตรวจการขวามีอะไรเกิดขึ้น ได้โปรดบอกข้าล่วงหน้านะ”

เกาก้วนขมวดคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง เข้าใจความกดดันของเขาเช่นกัน ถ้าหน่วยตรวจการขวาสืบเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง แต่หน่วยตรวจการซ้ายที่รับผิดชอบด้านข่าวกรองโดยเฉพาะกลับตกข่าว เช่นนั้นจะยังมีทูตตรวจการซ้ายอย่างเขาไว้ทำอะไรล่ะ? เกรงว่าคงนั่งตำแหน่งทูตตรวจการซ้ายไม่ได้แล้ว คนที่นั่งตำแหน่งนี้รู้ความลับเยอะเกินไป ถ้าถูกถอดจากตำแหน่งเมื่อไร เกรงว่าคงเป็นเวลาที่ศีรษะจะร่วงลงพื้น

ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของเขา เกาก้วนพยักหน้าเงียบๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบมองไปรอบๆ จากนั้นสองมือก็แนบหน้าอก กุมหมัดคารวะเกาก้วนเงียบๆ “ไม่ว่าตอนสุดจะเป็นยังไง พี่เกาตอบตกลงได้ ข้าจะจดจำน้ำใจวันนี้ไว้”

เกาก้วนสีหน้าเย็นชา มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เพียงทิ้งเขาไว้แล้วเร่งฝีเท้าเดินจากไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนเองก็คุ้นชินกับใบหน้านิ่งของเขาแล้วเช่นกัน ไม่เป็นสาเหตุให้ไม่พอใจ แต่กลับโล่งอก ขอเพียงหน่วยตรวจการขวาไม่ชิงตัดหน้า เขาก็ลดความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่งแล้ว

เขาหันกลับมาอีกรอบ แต่ยังไม่รีบออกจากวัง เพราะยังมีอีกคนที่ต้องจัดการ

หลังจากน้อมส่งประมุขชิงออกจากตำหนักนารีสวรรค์แล้ว ซ่างกวนชิงก็รีบหันมา เขายังต้องปฏิบัติตามบัญชาของประมุขชิง เตรียมใช้กฎอัยการศึกกับวังสวรรค์

ทว่าระหว่างทางกลับเจอซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ เมื่อทั้งสองเจอกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็พูดเหมือนเดิม “ถ้าทางสมาคมวีรชนพบอะไร หวังว่าผู้การใหญ่จะบอกข้าก่อน ผู้การใหญ่คงเข้าใจความลำบากของข้า”

“เฮ้อ!” ซ่างกวนชิงถอนหายใจ เพราะเข้าใจความลำบากของเขาจริงๆ มิหนำซ้ำจะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้อีก เพราะครั้งก่อนติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายแล้ว แสดงละครหลอกลวงประมุขชิงด้วยกันไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับอีกฝ่ายแล้วอีกฝ่ายกัดซี้ซั้ว ตัวเองก็จะซวยไปด้วยเช่นกัน จึงพยักหน้าเบาๆ “ขอเพียงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อฝ่าบาท ถ้าได้ข่าวมาไม่ว่าใครจะเป็นคนสืบก็เหมือนกัน เจ้าวางใจเถอะ ฝั่งข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากหรอก แต่ฝั่งเกาก้วนนี่สิ เจ้าต้องหาวิธียืดหยุ่นสักหน่อย ถึงแม้เจ้าหมอนั่นจะหน้านิ่ง แต่ฝีมือการทำงานของเขากลับว่าไม่ได้เลย ถ้าทำให้เขาหลีกทางให้ได้ก่อน ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดถึงผลที่ตามมาแล้ว”

“ขอบคุณมากๆ ฝั่งเกาก้วนข้าย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว” ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบกุมหมัดขอบคุณ แต่กลับไม่ได้บอกว่าเกาก้วนรับปากแล้ว

เมื่อจัดการทั้งสองฝ่ายได้ ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้ออกจากวังสวรรค์ไปอย่างวางใจ

ผ่านไปไม่นาน กองทัพองครักษ์กลุ่มใหญ่ก็บุกเข้ามาในวังสวรรค์ ไม่ว่าผู้หญิงในวังสวรรค์จะมีฐานะอะไร ก็ถูกเร่งให้กลับเข้าไปในเรือนของตัวเองทั้งหมด

“วันนี้ร่างกายของเฉิงอวี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วง ร่างกายหม่อมฉันไม่มีปัญหาเพคะ เพียงรู้สึกตึงท้องนิดหน่อย”

“เหอะๆ! เพราะท้องใหญ่แล้วไง ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยเพราะข้าแล้ว”

ในตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงดูผ่อนคลายมาก ท่าทีไม่เลวเลย คงรอยยิ้มที่สนิทสนมเอาไว้ตลอด แสดงความห่วงใยต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เต็มที่

หลังจากคุยกระหนุงกระหนิงกันสักพัก ประมุขชิงก็เอ่ยถามเหมือนไม่ตั้งใจ “ท่านปู่สวรรค์ไม่ได้เข้าวังมาเยี่ยมราชินีสวรรค์นานแล้วใช่มั้ย? เอาอย่างนี้แล้วกัน ราชินีสวรรค์ให้คนส่งข่าวสักหน่อย เชิญท่านปู่สวรรค์เข้าวังสักหน่อย ครอบครัวเราจะได้รวมตัวกัน”

“เอ่อ…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ประมุขชิงถึงมีอารมณ์สนใจทำแบบนี้ แต่ในเมื่อประมุขชิงเอ่ยปากแล้ว นางก็ยากที่จะปฏิเสธได้ ย่อมตะโกนเรียกเอ๋อเหมยให้เข้ามา แล้วกำชับให้ทำตาม เชิญให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเข้าวังมาสักรอบ

นางมีบางอย่างที่ไม่รู้ การที่จู่ๆ สี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวแบบนี้ ทำให้ประมุขชิงมิอาจไม่ระวังตัวได้ ประมุขชิงไม่ได้กลัวสี่อ๋องสวรรค์หรอก ที่เขากังวลจริงๆ คือฝั่งตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ากองทัพองครักษ์สู้กับสี่อ๋องสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็จะเสียหายอย่างหนักอยู่ดี ทำศึกใหญ่จะไม่ให้บาดเจ็บล้มตายเลยคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าก่อนทำศึกหรือหลังทำศึก ก็ล้วนต้องปลอบโยนตระกูลเซี่ยโห้วให้ดีก่อน พยายามอย่าให้ตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้

ถ้าก่อนทำศึกตระกูลเซี่ยโห้วปลุกปั่นอำนาจแต่ละฝ่ายให้มาช่วยสี่อ๋องสวรรค์ เช่นนั้นเขาก็จะลำบากแล้ว เกรงว่าแม้แต่แดนพุทธะก็จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วย ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเขาที่นำกองทัพองครักษ์ต้านทานใต้กล้าฝ่ายเดียว หลังจากเสร็จศึกแล้วต่อให้เขาจะชนะ แต่เมื่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เสียหายอย่างหนักแล้วยังถูกตระกูลเซี่ยโห้วโจมตีอีก เช่นนั้นเขาก็ยากที่จะรับผลที่ตามมาไหว ถึงตอนนั้นต่อให้เขาจะรอดชีวิตได้ แต่กำลังพลในมือก็ถูกำจัดหมดแล้ว เบื้องล่างไม่มีคน ต่อให้เขาคนเดียวจะต่อสู้เก่ง แต่แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? ตัวคนเดียวจะปกครองใต้หล้าได้เหรอ เกรงว่าเรื่องแรกที่ประมุขพุทธะจะทำก็คือสั่งให้กำลังพลกำจัดเขา เพราะเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมงานกับประมุขพุทธะแล้ว ประมุขพุทธะยังจำเป็นต้องเสพสุขใต้หล้าด้วยกันกับเขาอีกหรือ? แบบนั้นแปลว่าสมองมีปัญหาแล้ว

ถ้าเดินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เขายังคิดจะลืมตาอ้าปากอีกครั้ง ให้ใต้หล้าส่งมอบผลประโยชน์ให้เขาอีกเหรอ นั่นช่างเป็นเรื่องเพ้อฝัน

ดังนั้นเขาจำเป็นต้องยืนยันท่าทีของตระกูลเซี่ยโห้ว หรือไม่ก็ทดสอบสักหน่อยว่าตระกูลเซี่ยโห้วเข้าร่วมกับสี่อ๋องสวรรค์หรือไม่ ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่ยอมเข้าวัง เช่นนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว นี่คือสิ่งที่เขากังวลที่สุด ไม่อย่างนั้นจู่ๆ จะมาเอาใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำไม

พอเซี่ยโห้วท่ามาแล้ว ไม่ว่าเซี่ยโห้วท่าจะมองออกหรือไม่ว่าเขากำลังเสแสร้ง แต่เขาก็ต้องแสดงความรักใคร่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อหน้าเซี่ยโห้วท่าอยู่ดี

ถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางจริงๆ เขาคงถอดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วแต่งตั้งจ้านหรูอี้ที่ตัวเองชอบเป็นราชินีไปนานแล้ว ทว่าถ้าอยากนั่งครองใต้หล้าอย่างมั่นคง ก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของคนคนเดียวจะตัดสินใจได้ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ มีพระปีศาจหนานโปคนเดียวก็พอแล้ว คนรุ่นหลังยังจะเกี่ยวข้องอีกเหรอ

“พี่ใหญ่มาแล้ว!”

ในแม่ทัพภาคตลาดผี โค่วเจิงนำคนมาด้วยตัวเองสิบกว่าคน ตั้งแต่ออกเดินทางจนมาถึงที่นี่ ใช้เวลารวดเร็วมาก มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คุ้มกันส่ง จะไม่ให้มาเร็วก็คงยาก

เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้โผล่หน้ามาอย่างเปิดเผย ปิดบังใบหน้าแล้ว หลังจากเข้าจวนแม่ทัพภาคก็ถอดหน้ากากออก เหมียวอี้ออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

พอเจอหน้ากัน โค่วเจิงก็จ้องหน้าเหมียวอี้เงียบๆ

“พี่ใหญ่ เป็นอะไรไป?” เหมียวอี้มองตัวเอง แต่โค่วเจิงไม่ได้พูดอะไร เดินเฉียดร่างกายเขาไป

พักดื่มชาอะไรก็ไม่ต้องทำแล้ว โค่วเจิงเดินตรงไปที่ห้องขอเหมียวอี้ด้วยความชำนาญ

หลังจากในห้องเหลือสองคน โค่วเจิงก็ไม่เปลืองคำพูด ถามตรงๆ เลยว่า “โหย่วเต๋อ คาดว่าเจ้าคงรู้ว่าข้ามาทำไม”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เพราะเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงไม่ใช่เหรอ? พี่ใหญ่ ท่านก็เห็นสถานการณ์ที่ตลาดผีแล้ว ข้ารู้สึกรางๆ ว่าเหมือนข้าจะก่อเรื่องใหญ่แล้ว ก็อย่างที่ข้าบอก เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเองคนเดียว ไม่ทำให้ตระกูลโค่วลำบากหรอก ส่วนอวิ๋นจือชิว หวังว่าตระกูลโค่วจะดูแลแทนในฐานะลูกสาว บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้หนิวจะตอบแทนชาติหน้า!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โค่วเจิงก็อยากพ่นไฟใส่ ลูกชายข้าเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ แต่เจ้าดันฝากฝังเรื่องหลังความตายแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะตายก็บอกเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนสิ เขาถามด้วยสีหน้าเครียดขรึม “อะไรที่เรียกว่าเจ้าก่อเรื่องใหญ่แล้ว มีเรื่องอะไรกันแน่?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “พี่ใหญ่ ข้าบอกไปแล้วไง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแดนพุทธะ ดังนั้นตระกูลโค่วแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งพี่ใหย่ออกไปทางลับ ทางที่ดีอย่าให้คนรู้ว่าพี่ใหญ่มาที่นี่”

โค่วเจิงเกกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะแทงเขาสักสองสามที แสยะยิ้มบอกว่า  “ทำเป็นไม่รู้งั้นเหรอ? เหวินไป๋ไปเข้าร่วมออกล่า ตอนนี้เป็นตายยังไม่รู้ เจ้าจะให้ข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ยังไง?”

“เหวินไป๋เป็นตายยังไงก็ยังไม่รู้เหรอ?” เหมียวอี้ทำหน้างง แล้วกล่าวเหมือนแปลกใจ  “ไม่น่าจะใช่นะ ข้าพุ่งเป้าไปที่ตระกูลอิ๋ง เหวินไป๋เข้าไปเกี่ยวข้องได้ยังไง ว่ากันว่าตระกูลพวกนั้นมีความสัมพันธ์แบบแข่งขันกัน คงไม่ร่วมมือกันออกล่าหรอกมั้ง?”

จะให้โค่วเจิงอธิบายอย่างไรล่ะ? เรื่องนี้เดิมทีตระกูลโค่วก็เสียเปรียบด้านเหตุผลอยู่แล้ว

“ครั้งนี้ท่านพ่อสั่งให้ข้ามา ท่านพ่อบอกไว้ก่อนแล้ว ว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า แต่เจ้าก็เป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว จะให้ตระกูลโค่วนิ่งดูดายไม่ได้ ที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับตระกูลโค่ว เป็นคำพูดเหลวไหลทั้งเพ! มีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ตระกูลโค่วจะพ้นความเกี่ยวข้องเหรอ? ดังนั้นท่านพ่อจึงพูดไว้ชัดเจนแล้ว ถ้าพูดดีๆ แล้วไม่ได้ผล ก็ทำได้เพียงใช้วิธีบีบถามบีบถาม เจ้าไตร่ตรองเอาเอง อย่าบีบให้ข้าทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นข้าก็กลับไปอธิบายกับท่านพ่อไม่ได้!” โค่วเจิงกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย

เหมียวอี้ก้าวถอยหลังอย่างห่อเหี่ยว ถอยไปหย่อนก้นนั่งลงบนโต๊ะ แล้วก้มหน้าตอบอย่างหดหู่ “ก่อนที่พี่ใหญ่จะมา คนของตึกศาลาสัตยพรตก็ให้ข้าไปหา ถามข้าเรื่องออกล่าเหมือนกัน ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่เฉาหม่านกลับเปิดเผยต่อข้านิดหน่อย ข้าเลยพอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงลุกลามใหญ่โต ข้าเองก็เคยติดต่อแดนพุทธะเช่นกัน อยากถามว่าเหวินไป๋ตกอยู่ในมือพวกเขาหรือแปล่า บางทีอาจจะขอตัวเหวินไป๋กลับมาได้ แต่ที่แปลกก็คือติดต่อทางนั้นไม่ได้เหมือนกัน”

…………………………