บทที่ 944 วารีบำบัด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 944 วารีบำบัด

แพตช์อัปเดตแอปพลิเคชัน?

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย

เขาเรียกหาเสี่ยวจี้ ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะประจำโทรศัพท์มือถือ เพื่อขอดูข้อมูลว่าแอปพลิเคชันใดจะได้รับการอัปเดต?

หน้าจอแสดงผลการค้นหาอย่างรวดเร็ว

ปรากฏว่าเป็นแอปวงแหวนวารี

มีสัญลักษณ์แจ้งเตือนการอัปเดตอย่างชัดเจน

ความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นในสมองของหลินเป่ยเฉิน

เขาสังหรณ์ว่านี่ต้องเป็นเรื่องดีแน่ ๆ

เด็กหนุ่มกดปุ่ม ‘อัปเดตตอนนี้’ โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

การอัปเดตครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานเยอะเท่าไหร่ ด้วยระดับพลังที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของหลินเป่ยเฉินขณะนี้จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

ในไม่ช้า การอัปเดตก็เสร็จสิ้น

หลินเป่ยเฉินกดเริ่มต้นการทำงานของแอปวงแหวนวารี

หน้าต่างการใช้งานที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

เมื่ออ่านวิธีการใช้งานเบื้องต้นจบลง หลินเป่ยเฉินก็พบว่าเมื่อแอปพลิเคชันได้รับการอัปเดต แม้แต่ชื่อแอปก็เปลี่ยนไป

จากเดิมที่ชื่อว่าแอปวงแหวนวารี

บัดนี้ มันเปลี่ยนเป็นแอปวารีบำบัด

เหอเหอเหอ

ชื่ออย่างกับพวกร้านสปารักษาความงามอย่างนั้นแหละ

ตัวแอปพลิเคชันเริ่มต้นการทำงาน

หลินเป่ยเฉินทิ้งตัวนอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนล้า ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นในสมอง

แอปวารีบำบัดคือแอปวงแหวนวารีที่ได้รับการอัปเดต

“งั้นประสิทธิภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บ ก็ต้องเพิ่มมากขึ้นด้วยน่ะสิ?”

หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น

เขายกมือขึ้นมาโบกสะบัด

แล้วม่านละอองน้ำก็แผ่ปกคลุมร่างกายของเขาทันที

ก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและเย็นซ่านในเวลาเดียวกัน

“อ๊า…”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงครางออกมาจากในลำคอ

เมื่อหมอกละอองน้ำแห่งการรักษาแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย เด็กหนุ่มก็เกิดความรู้สึกคึกคักแจ่มใสขึ้นมาในพริบตา ร่างกายที่อ่อนล้าหมดแรงกลับมาแข็งแกร่งมากกว่าเดิมถึงสองเท่า

อาการบาดเจ็บได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

ผลข้างเคียงจากการถูกโจมตีด้วยคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ได้รับการเยียวยา

ความรู้สึกอ่อนแอและป่วยไข้สลายหายไปในพริบตาเดียว

เลือดลมและพลังลมปราณไหลเวียนเต็มอัตราอีกครั้ง

“สุดยอดเลยแฮะ”

หลินเป่ยเฉินกระโดดลงจากเตียง

โทรศัพท์เครื่องนี้คือผู้ช่วยชีวิตเขาจริง ๆ

ทุกครั้งที่พบกับความยากลำบาก มันจะต้องช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้เสมอ

ไม่มีอะไรวิเศษไปมากกว่านี้อีกแล้ว

การอัปเดตแอปวงแหวนวารีในครั้งนี้เกิดขึ้นถูกเวลาเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินรู้สึกสบายตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

โครก!

นั่นคือเสียงอุทธรณ์จากกระเพาะอาหารของเขา

เริ่มหิวแล้วสิเรา

เอ๊ะ?

นี่เราสลบไปนานแค่ไหนกันนะ?

นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจหลินเป่ยเฉิน

คงไม่เหมือนกับตอนที่สลบไปครั้งที่แล้วในเมืองหยุนเมิ่งหรอกใช่ไหม ตอนนั้นฟื้นขึ้นมาอีกที หลินเป่ยเฉินก็พบว่าตนเองสลบไปถึงสามเดือนเต็มๆ

หากเป็นเช่นนั้นก็แย่แล้ว

“เฉียนเหมย เฉียนเจิน… เร็วเข้า ข้าอยากรับประทานนม”

หลินเป่ยเฉินตะโกนเสียงดัง

นับตั้งแต่เป็นเด็กน้อย มารดาสั่งสอนเสมอว่าเวลาที่หิวโหย ยังไม่ควรรีบรับประทานอาหารหนักท้องเด็ดขาด แต่ให้รับประทานของเหลวเพื่อเป็นการรองท้อง ให้กระเพาะอาหารได้ปรับตัวเสียก่อน

การดื่มนมคือตัวเลือกที่ดี

โครม!

ประตูห้องเปิดผาง

เฉียนเหมย เฉียนเจิน เซียวปิง อากวงและหวังจงวิ่งเข้ามาด้วยความแตกตื่น

“นายท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?”

เฉียนเจินร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ที่ขอบเตียง สาวรับใช้ผู้อ่อนหวานก็วิ่งเข้ามาโถมตัวใส่อ้อมแขนของเด็กหนุ่ม และแนบใบหน้าของนางซุกเข้ากับหน้าอกของเขา ทำให้ชุดนอนของหลินเป่ยเฉินเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำตาของนาง

กลิ่นน้ำยาบำรุงเส้นผมที่หอมฟุ้งโชยขึ้นมาเตะจมูกหลินเป่ยเฉิน

เฉียนเจินก็ผมหอมเหมือนกันนะเนี่ย

เอ๋?

ว่าแต่ทุกคนจะตกใจอะไรกันขนาดนี้?

หรือว่าทุกคนคิดว่าเขาต้องตายเสียแล้ว?

“นายท่านไม่เป็นอะไรแน่นะเจ้าคะ?”

เฉียนเหมยที่ยืนอยู่ด้านหลังขยับออกมาข้างหน้า เมื่อเห็นว่าไม่มีที่ว่างสำหรับตนเองในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน สาวรับใช้ผู้ร้อนแรงก็นึกอะไรได้บางอย่าง นางจึงเดินเข้ามาโอบแขนรอบศีรษะของหลินเป่ยเฉินแนบแน่น “ข้าน้อยเป็นห่วงนายท่านแทบแย่”

จมูกของหลินเป่ยเฉินฝังลงไปในร่องเขาลึกขาวเนียน

เด็กหนุ่มพยายามดิ้นรนดึงใบหน้าขึ้นมาจากภูเขาไฟคู่นั้น

“ข้าบอกว่าอยากรับประทานนม”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกคล้ายกับจะหายใจไม่ออก รีบละล่ำละลักว่า “แต่ไม่ใช่นมเช่นนี้”

ทุกคนยังคงจ้องมองเขาด้วยความตื่นเต้น

เมื่อสองสาวรับใช้จัดหานมสดมาให้หลินเป่ยเฉินเรียบร้อย หวังจงและคนอื่น ๆ ก็นั่งจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความพินิจพิเคราะห์อยู่นานสองนาน และเมื่อแน่ใจแล้วว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่ตายไปกับตาจริง ๆ พวกเขาถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“ข้าสลบไปนานเพียงใด?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาเสียงเครียด

หวังจงรีบตอบอย่างประจบประแจงทันที “กราบเรียนนายน้อย แม้ท่านจะสลบไปเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่สำหรับพวกเรานั้น มันไม่ต่างไปจากร้อยเดือนร้อยปี นายน้อย ทุกคนห่วงว่าท่านกำลังจะตาย”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคออย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน “จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าหรือที่จะเป็นห่วงข้า? เฮอะ เจ้าคงกลัวว่าข้าจะไม่ตายมากกว่ากระมัง เพราะหากข้าตายไปสักคน เจ้าก็จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ข้ามีไม่ใช่หรือ?”

“นายน้อย นายน้อยเข้าใจผิดแล้ว อันว่านามของหวังจง คำว่าจงมาจากจงรักภักดี หวังจงเอ็นดูนายน้อยไม่ต่างจากบุตรชายของตนเอง หากนายน้อยไม่เชื่อ ลองถามทุกคนดูก็ได้ขอรับ”

หวังจงพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจ

หลินเป่ยเฉินกระโดดถีบพ่อบ้านชรากระเด็นออกไป “เจ้าสุนัขเฒ่า ใครเป็นบุตรชายของเจ้าไม่ทราบ”

บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความสุขสันต์

“หมอยาเหล่านั้นล้วนแต่ลงความเห็นว่านายท่านไร้หนทางเยียวยา พวกเขาบอกให้เราเตรียมจัดงานศพ พ่อบ้านหวังถึงกับไปหาซินแสเพื่อมาเลือกทำเลที่ตั้งสุสานให้นายท่านแล้วเจ้าค่ะ…”

เฉียนเจินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นใจ

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“เจ้าตัวบัดซบนี่ เจ้าอยากให้ข้าตายจริง ๆ นี่นา”

เด็กหนุ่มจ้องมองหวังจงด้วยความโกรธแค้น

“เข้าใจผิดแล้ว นายน้อยกำลังเข้าใจผิด”

หวังจงรีบพูดด้วยความเลิ่กลั่ก

“แต่ว่านายน้อยขอรับ บัดนี้ เกิดข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมืองแล้ว”

เมื่อเห็นสถานการณ์ของตนเองเริ่มคับขัน พ่อบ้านหวังจงก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูด “กราบเรียนนายน้อย บัดนี้มีข่าวลือว่านายน้อยปราศจากหนทางรักษา สถานการณ์ไม่สู้ดี ภายในนครหลวงเกิดคลื่นใต้น้ำเป็นจำนวนมาก…”

หลินเป่ยเฉินถามขณะดื่มนมอย่างมีความสุข “หืม? เป็นเช่นนั้นก็ดีน่ะสิ ข้าจะอาศัยโอกาสนี้แหละพิสูจน์ว่าใครบ้างที่มีความจริงใจและใครบ้างที่เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก”

เด็กหนุ่มวางแผนการอยู่ในใจไว้เรียบร้อยแล้ว

“ช่วงระหว่างที่ข้าสลบไปมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”

หลินเป่ยเฉินยังคงถามระหว่างดื่มนมต่อไป

หวังจงบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมด

รวมถึงเรื่องที่ทางราชสำนักส่งคนและตัวยามาทำการรักษาหลินเป่ยเฉินหลายครั้ง รวมไปถึงหลิงไท่ซวีประมุขตระกูลหลิงก็ได้ส่งโอสถวิเศษมาเช่นกัน และยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ทางอัครเสนาบดีจั่วเซียงกับผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนก็ได้นำทหารรักษาความปลอดภัยจำนวนมากมาคอยอารักขาหลินเป่ยเฉินอยู่ที่ด้านนอกจวนซางจั้วหยวนอีกด้วย

แน่นอนว่าพ่อบ้านชราย่อมไม่ลืมบอกเรื่องที่เยว่เว่ยหยางแอบมาทำการรักษาเงียบ ๆ เช่นกัน

“หมายความว่าเยว่เว่ยหยางเป็นผู้รักษาอาการบาดเจ็บของข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย

อันที่จริงนั้น ผู้ที่รักษาเขาคือเทพีกระบี่ต่างหาก

คันธนูเทพเจ้าร่ำไห้มีสถานะเป็นอาวุธประจำชาติ บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บจากมันไม่สามารถรักษาได้ง่าย ๆ เกรงว่านางคงช่วยดึงลูกศรผลึกน้ำแข็งออกไปจากหน้าอกของหลินเป่ยเฉิน หลังจากนั้น เทพีกระบี่ก็สั่งให้โทรศัพท์มือถืออัปเดตแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยเขาเยียวยาอาการบาดเจ็บเพิ่มเติม

อุ๊บ๊ะ!

ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เทพีกระบี่เจอหน้าเขาทีไรเป็นอยากฆ่าทิ้งทุกที

แต่มาบัดนี้ นางกลับเป็นคนที่ช่วยชีวิตหลินเป่ยเฉินเสียแล้ว

นี่คือสายสัมพันธ์ของคู่นอนใช่หรือไม่?

ก็หลินเป่ยเฉินหล่อเหลาถึงขนาดนี้ เขาย่อมได้ทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว

แม้แต่เทพเจ้าก็ยังหนีเสน่ห์ของเขาไม่รอด

หลินเป่ยเฉินยิ้มอย่างมีความสุข

“เอาละ พวกเราไปหาพี่ใหญ่เกากันดีกว่า”

เด็กหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินไปยังห้องพักรักษาตัวของเกาเฉิงฮั่น

“นับจากนี้ไป ปิดประตูไม่รับแขก ห้ามใครเข้ามาที่นี่เด็ดขาด และอย่าให้ใครรู้เชียวว่าข้าฟื้นขึ้นมาแล้ว ปล่อยให้สถานการณ์ในนครหลวงปั่นป่วนเช่นนี้ไปก่อน ข้าอยากรู้นักว่ายังจะมีใครอีกที่แสดงธาตุแท้ออกมา”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

ในจวนซางจั้วหยวนแห่งนี้ มีแต่คนของเขาเท่านั้น

เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล

แอปวารีบำบัดมีความมหัศจรรย์มาก

หลินเป่ยเฉินสามารถรักษาเกาเฉิงฮั่นได้อย่างง่ายดาย

นี่คือเรื่องที่ถูกเก็บเป็นความลับสูงสุด

นอกจากเกาเฉิงฮั่นจะฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว ระดับพลังทั้งหมดยังฟื้นฟูขึ้นมาอีกด้วย แต่เขาก็ยังคงพำนักอยู่ในจวนซางจั้วหยวนเพื่อแกล้งตายต่อไป

และข่าวเรื่องที่จวนซางจั้วหยวนปิดประตูไม่รับแขก ก็แพร่กระจายไปทั่วนครหลวงอย่างรวดเร็ว

กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง

“ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินคงจะเสียชีวิตแล้วสิ”

“นั่นสิ ขนาดหมอยาวิเศษเหล่านั้นยังลงความเห็นตรงกันว่าไม่มีทางรักษาเขาได้อีกแล้ว นับว่าครั้งนี้หลินเป่ยเฉินคงจากพวกเราไปแล้วจริง ๆ”

“แต่นี่อาจจะเป็นแผนซ้อนแผนก็ได้นะ รอบตัวหลินเป่ยเฉินมีแต่คนเก่ง ๆ อยู่ทั้งนั้น พวกเขาอาจจะแกล้งปิดประตูไม่รับแขก เพื่อหลอกให้ทุกคนเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินตายแล้วก็ได้”

“น่าสงสารจริง ๆ แต่ในเมื่อตายแล้วก็คือตายแล้ว หลังจากนี้ ก็คงเป็นการจัดเตรียมงานศพของหลินเป่ยเฉิน สำหรับลูกสมุนรอบตัวเขา หากใครสามารถนำมาเป็นพวกได้สำเร็จ หลังจากนี้ก็คงมีอำนาจล้นฟ้าแล้ว”

“แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะที่จะโน้มน้าวใจยอดฝีมือเหล่านั้น ดีไม่ดีอาจจะยากกว่าการพูดคุยกับพวกที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียนด้วยซ้ำ!”

“ข้าได้ยินข่าวว่าจีหวูชวงออกประกาศชัดเจน ต่อให้หลินเป่ยเฉินตาย เขาก็ยังคงต้องสืบสวนเรื่องราวในการประลองเดิมพันชีวิตวันนั้นต่อไป…”

บรรดาประมุขสำนักใหญ่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างวุ่นวาย

ในเวลาเดียวกันนี้

ณ จวนตระกูลเสี่ยว

มีการเรียกประชุมสมาชิกตระกูลระดับสูงเป็นการเร่งด่วน

“ท่านผู้เฒ่า ข้าขอคัดค้านการส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปให้แก่เสี่ยวเย่”

“ใช่แล้ว สิ่งที่พวกเราสมควรทำบัดนี้ คือการตัดขาดพวกของหลินเป่ยเฉินต่างหาก… สถานการณ์ในขณะนี้ ไม่เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว”

สมาชิกตระกูลเสี่ยวหลายคนอดทนรอไม่ไหวและเปิดฉากพูดขึ้นมา