บทที่ 1191 กลับบ้านแล้ว

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ประโยคที่เอ่ยทิ้งไว้นี้ ทำให้บรรดาคนรอบด้านจมอยู่กับภวังค์ ในขณะเดียวกันเส้นผมของหวังเป่าเล่อก็พริ้วสะบัด ร่างในชุดคลุมยาวสง่างามนั้นเดินจากไปไกลแสนไกล

ทุกก้าวย่างของเขาก่อเกิดคลื่นกระเพื่อม ราวกับทั้งจักรวาลกลายเป็นผิวทะเลสาบให้เขาเดินข้าม กระแสเต๋านั้นแผ่ซ่านออกจากร่างไม่หยุด ทั้งยังสามารถมองเห็นดาวเคราะห์เต๋าที่แฝงไปด้วยกฎชั้นสูงกำลังหมุนวนอยู่บนศีรษะของเขา ดาวเคราะเต๋าดวงเล็กจ้อยรอบด้านทั้งเก้านั้นหมุนไปพร้อมกันทุกย่างก้าว แล้วก็ยังมี…เงาร่างของดาวเคราะห์ทั้งหลายที่เจ็ดส่วนในบรรดาหมื่นดวงนี้กลายเป็นดาวเคราะห์นิรันดร์ไปแล้ว ยามนี้ก็คล้ายปรากฏลางเลือนเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ สะท้อนเข้าสู่สายตาของผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำ ทำให้พวกเขาพลันรู้สึกว่าตนมองพลาดไป ราวกับที่มองอยู่นี้มิใช่ผู้ฝึกตนทว่าเป็นจักรวาลอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง

ฉากนี้ ทำให้หัวใจของทุกผู้คนสั่นสะท้านรุนแรง แม้แต่กับตัวปรมาจารย์ครามทองคำเองก็เช่นกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังของกระบี่เมื่อครู่นั้นยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าเพียงใด ส่วนเงาร่างนี้ก็ราวกับหลุดพ้นจากดงธุลีไปแล้ว

ทั้งหมดนี้ทำให้ก้นบึ้งหัวใจของเขาต้องวิเคราะห์ถึงคำพูดก่อนหน้าของหวังเป่าเล่อไม่ได้ เขาต้องการมอบเรื่องยินดีใหญ่หลวงให้อารยธรรมครามทองคำสักครั้ง เท่าที่เขาเข้าใจ คำว่าเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวงนี้ แท้จริงแล้วเมื่อเทียบคำพูด เป้าหมายก็ยังเป็นสิ่งเดิม คือให้อารยธรรมครามทองคำเข้าผนวกกับระบบสุริยะ กลายเป็นอาณานิคม

แต่ไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมหรือไม่ ครั้นเมื่อระบบสุริยะยกระดับ สำหรับอารยธรรมครามทองคำแล้วแน่นอนว่าเป็นเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น อารยธรรมครามทองคำคงไม่คิดเรื่องนี้ แต่ว่าการศึกที่กำลังจะปะทุนั้น ทำให้ในใจของผู้อาวุโสครามทองคำพลันสับสนยุ่งเหยิง อีกทั้งยังมีอีกสิ่งที่ถึงขั้นทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้านราวกับถูกอัสนีฟาดเลยทีเดียว มันย่อมไม่ใช่เพราะพลังกระบี่ที่หวังเป่าเล่อแสดงมาให้ดูก่อนหน้า แต่ว่าในยามนี้…หวังเป่าเล่อที่เดินห่างออกไปแล้วนั้น พลันโบกมือคราหนึ่ง ก็ปรากฏอสูรดุร้ายตนหนึ่งอยู่ข้างกายเขา!

หรือจะกล่าวว่า นั่นมิใช่อสูรร้าย และมิใช่อสูรวิญญาณ แต่เป็นอสูรวิเศษตนหนึ่ง

อสูรนี้ กลับเป็น…ลาตัวน้อย หลังจากหวังเป่าเล่อเรียกมันมาแล้ว เขาก็นั่งลงไปบนตัวลา ระหว่างที่ยกมือขึ้นปราณเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดกระแสหนึ่งก็แผ่ซ่าน หวังเป่าเล่อใช้มันเป็นอาหารให้ลาตัวน้อย หลังจากนั้นจึงเรียกเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นออกมาอีก แล้วโยนให้อาหารให้เหมือนเดิม

ระหว่างที่ให้อาหารนี้ ท่าทางของลาน้อยดูเบิกบานอย่างมาก ร้องฮี้ฮ้าๆ พลางกระทืบกีบทั้งสี่ มันควบไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้น พาหวังเป่าเล่อจากไปไกลขึ้นทุกที

จนกระทั่งว่าหลังจากที่เขาหายไปจากครรลองสายตาของปรมาจารย์ครามทองคำแล้ว หัวใจของปรมาจารย์ครามทองคำท่านนี้ก็ราวกับมีคลื่นยักษ์ดุดันซัดโหมไม่หยุด ดวงตาเขาหรี่เล็กลง ราวกับมองเห็นผี และสงสัยว่าตนเองมองอะไรผิดไปหรือไม่

“ที่…ที่มันกิน…เป็นพลังเต๋าสวรรค์? เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น…สวรรค์ สัตว์วิเศษนั่นมันอะไร?”

“หรือว่า…หรือว่า…” ในใจของปรมาจารย์ครามทองคำพลันก้องกระหึ่ม เขามีความคิดอันหาญกล้าที่ไม่อาจหยุดยั้งขึ้นมา มันระเบิดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ในสมองของเขาทันที

กระทั่งเนิ่นนานให้หลัง เขากัดฟันคราหนึ่ง ราวกับว่าการปรากฏตัวของลาน้อยทำให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุด นัยน์ตาฉายแววแน่วนิ่ง จากนั้นจึงรีบพาทุกคนกลับอารยธรรมครามทองคำ เรียกประชุมเหล่าศิษย์ระดับสูงทั้งหมดของตนในอารยธรรมครามทองคำ แล้วเปิดฉากการประชุมลับซึ่งกำหนดอนาคตของอารยธรรมครามทองคำขึ้นมา!

ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่อยู่ห่างไกลจากอารยธรรมครามทองคำแล้วนั้น ก้มหน้าลงมองลาน้อยที่เบิกบาน เขาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเก็บลาน้อยเข้าไป นี่เป็นความตั้งใจของเขานี่เอง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีกำลังหักหาญเอาอารยธรรมครามทองคำมาได้ แต่ว่าเขาไม่สนใจ อารยธรรมครามทองคำนั้นมองไปเหมือนใหญ่ แต่เมื่อเปรียบเทียบไปแล้ว ยังไม่คู่ควรให้เขาลงมือ หากว่าให้ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายมาขอสวามิภักดิ์เอง เช่นนั้นจะดีที่สุด

ดังนั้นแล้วจึงมีคำเชิญที่เอ่ยไปเรื่อยก่อนหน้านี้ อีกทั้งการแสดงอันน่าครั่นคร้าม เขาจึงตั้งใจที่จะลากเจ้าลาน้อยออกมาแสดงให้ดูด้วย

พลังที่สามารถกลืนกินเต๋าสวรรค์ได้…เท่าที่คนทั้งหมดพอทราบนั้น ก็มีเพียงเต๋าสวรรค์เช่นกัน

หวังเป่าเล่อเองก็กินแล้วแต่เพราะเขายังคงมีรูปลักษณ์เช่นเดิม จึงไม่น่าตกใจเท่าการที่เจ้าลาน้อยนั่นกินได้ พูดไปแล้วเมื่อจำเพาะเทียบรูปลักษณ์ของเต๋าสวรรค์ ก่อนหน้าที่เฉินชิงจื่อจะผนวกมันเข้าไปนั้น เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดอยู่ในลักษณ์ปลาสีดำ ส่วนของตระกูลไม่รู้สิ้นคือด้วงทองคำ

“เลี้ยงเจ้าลาน้อยให้กลายเป็นเต๋าสวรรค์ เช่นนั้นก็คงไม่เลว” หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองเจ้าลาน้อย เจ้าลาน้อยเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ มันรีบหันหน้าหลังจากมองเห็นรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อ ในใจเต้นระส่ำ

พลันสังหรณ์รวดเร็วขึ้นมาว่า เจ้านายซึ่งปล่อยตนเองออกมาในครั้งนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อน รอยยิ้มนี้ดูๆ ไปแล้วทำเอาขนในใจมันลุกพรึบ เร่งรีบส่งเสียงเอาใจคราหนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงร้องของเด็กที่ว่านอนสอนง่ายทันที

“กลับบ้านกัน” หลังจากลูบหัวเจ้าลาน้อยแล้วหวังเป่าเล่อก็ปิดตาลง เจ้าลาน้อยที่ในยามนี้ต้องกลายมาเป็นพาหนะกลับไม่กล้าแสดงอารมณ์แง่ลบสักนิด อีกทั้งยังไม่กล้าคิดเรื่องการเปลี่ยนจากสัตว์เลี้ยงมาเป็นพาหนะของตนนี้คือเลื่อนหรือลดระดับกันแน่

แต่ว่าในใจของมันจะมากน้อยก็ยังคงมึนงงอยู่บ้าง แต่หลังจากวิ่งไปหลายก้าว มันพลันคิดได้ว่าอู๋น้อยยังไม่ได้ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ สภาพจิตใจก็แปรเปลี่ยนทันที พริบตานั้นสีหน้าท่าทางเบิกบานขึ้นมาทันใด

ราวกับรู้สึกว่าตนเองยังมีประโยชน์ ดังนั้นแล้วจึงร้องส่งเสียงอีกหลายคำ ความเร็วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสุดท้ายอาจจะเพราะกินเต๋าสวรรค์มากเกินไป ท่ามกลางความเร็วนี้ ร่างของมันราวกับว่าจะค่อยๆ หลอมรวมกับพลังของกฎเกณฑ์ รูปลักษณ์กลายเป็นเหมือนลำแสงที่บ้างปรากฏบ้างเลือนหาย มุ่งหน้าไปยัง…ระบบสุริยะ

ระยะทางของอารยธรรมครามทองคำแม้ห่างจากระบบสุริยะ แต่แท้จริงแล้วก็ยังอยู่ในเขตที่สิบเก้าของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย เมื่อเทียบพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อในปีนั้น บางทีอาจต้องใช้เวลานับหลายร้อยปีกว่าจะถึง ทว่าปัจจุบันไม่จำเป็นแล้ว

ความเร็วของเจ้าลาน้อย หลังจากกลายสภาพไปกับกฎเกณฑ์จนรูปร่างของมันหมือนเส้นด้ายแล้ว เจ้าลาน้อยใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นก็ข้ามผ่านขอบเขตทั้งหมดเข้าใกล้ชายขอบของระบบสุริยะ

เมื่อมาถึงที่นี่ หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น มองไปยังจักรวาลอันคุ้นเคยเบื้องหน้า มองไปยังดาวเคราะห์นิรันดร์ที่แผ่แสงอันแสนจะคุ้นตา อีกทั้งในพริบตาที่เขามองเห็นกระบี่สำริดโบราณเล่มนั้น กระบี่สำริดนี้ก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา

หลังจากการสั่นสะท้าน แสงเพลิงบนพระอาทิตย์ก็สว่างดับสลับกันไม่หยุด ผู้ฝึกตนในวังเต๋าไพศาลภายในกระบี่สำริดนั้น พลันตกตะลึง เหล่าผู้อาวุโสที่ปิดด่านอยู่ก็พลันเบิกตาโพลงด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ชิงหลิงจื่อที่เคยมีความสัมพันธ์ลับๆ กับทางสหพันธรัฐในปีนั้นและถูกหวังเป่าเล่อตามฆ่า จนสุดท้ายกายเนื้อแหลกสลาย จิตวิญญาณเทพกลับบาดเจ็บหนักกว่าเก่าผู้นั้น ยามนี้ก็เบิกตาขึ้นเช่นกัน ดวงตาเผยประกายแตกตื่นสงสัย

แล้วยังมีอาจารย์ ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพนามว่าซิงอี้ พลันลืมตาขึ้นมาจากสภาวะนิ่งสงบ แล้วมองไปยังกระบี่สำริดด้วยความตื่นตะลึง หลังจากนั้นจึงส่งกระแสจิตกวาดมองทั่วทั้งระบบสุริยะทันที สุดท้ายก็ลองค้นหาภายนอกดู ทว่าหลังกวาดผ่านจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้วซิงอี้กลับจับสังเกตอะไรไม่ได้

“บาดเจ็บสาหัสไป” แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ผู้สูงส่งซิงอี้ท่านนี้ซึ่งเขาต้องควักไพ่ตายหลายใบมาใช้ในยามนั้นกว่าจะประนีประนอมได้ ตอนนี้เขามองทะลุตัวตนอีกฝ่ายหมดแล้ว จากกระแสคลื่นที่ออกจากตัวอีกฝ่าย เกรงว่าก่อนหน้านั้นคนผู้นี้คงอยู่ระดับจักรพิภพขั้นปลาย แต่ตอนนี้น่าจะเป็นแค่ขั้นต้นเท่านั้น

แต่…กระบี่สำริดโบราณในวังเต๋าไพศาล กลับแสดงท่าทีผิดแปลกหนักขึ้น ยามนี้จากที่หวังเป่าเล่อลองมองและใช้จิตวิญญาณเทพสำรวจ เขาสามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่ากระบี่สำริดนี้มีระดับที่…สูงมาก!

“อาวุธโบราณระดับจักรวาล!” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ฝักกระบี่ภายในร่างสั่นสะท้าน อีกทั้งยังเผยประกายปรารถนาออกมา ในเวลาเดียวกันกระบี่สำริดทางด้านนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับว่าขอเพียงหวังเป่าเล่อเอ่ยประโยคเดียว มันจะกลับเข้าฝักทันที!

หลังเพ่งมองเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อจึงถอนสายตากลับ พลันแผ่กระแสเต๋าบนร่างออกมาขุมหนึ่ง ทำให้ผู้สูงส่งซิงอี้ที่กวาดตามองรอบกายเขาแต่เดิมนั้นพลันสัมผัสได้ แล้วรีบเพ่งมองมา หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อและพลังปราณที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน รวมถึงมองเห็นพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่ออย่างกระจ่างชัดแล้ว ในใจก็สะท้านรุนแรง

หวังเป่าเล่อยิ้มพลางก้มหน้า พร้อมประสานมือคำนับหนึ่งครา

…………………………..