จากเสียงร้องแปลกประหลาดของฉงฉีนั้น ทำให้สถานการณ์ของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน
ตอนที่ฉงฉีกำลังตกลงมาบนชายหาด เดิมทีหมอกบางๆ ที่เกิดจากการก่อตัวเป็นชั้นๆ ลอยกระจัดกระจายอยู่รอบชายหาด จู่ๆ ก็รวมตัวกันขึ้นมา ก่อตัวเป็นรูปกำแพงหมอกสีขาว สกัดกั้นทิศทางการตกลงมาของฉงฉี
“โกรล!”
ฉงฉีที่ถูกมีดบินของเยี่ยเทียนทำร้ายก็ยังไม่ส่งเสียงร้องโอดครวญแบบนี้ออกมา หลังจากที่มันมองเห็นกำแพงหมอกนั่น ดวงตาโตขนาดระฆังได้มีแววตาของความสิ้นหวังออกมาอย่างชัดเจน มันจึงพยายามบิดตัวอยู่กลางอากาศหลบหนี
เพียงแต่ส่วนท้องที่ถูกมีดบินเจาะเป็นรู กับการเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้น มันจึงได้แต่ทำตาปริบๆ มองดูกรงเล็บของตัวเองสัมผัสกับหมอกสีขาวนั่น จากนั้นร่างของมันจึงหายเข้าไปหมอกสีขาวทั้งตัว
“ท่านเยี่ย ช่วยผมด้วย!”
ถึงแม้จะเห็นการรวมตัวกันของปราณวิเศษที่อยู่บนชายหาด แต่เหลยหู่มองเห็นไม่ชัดเจนถึงแววตาที่หวาดกลัวของฉงฉี เขาจึงคิดว่าฉงฉีจะระเบิดนิสัยของสัตว์ป่าหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บออกมา และคิดจะฆ่าเขาให้ตายก่อน ดังนั้นจึงรีบถอยหลัง แล้วส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียน
“บ้าเอ้ย เลือดของไอ้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้มีผลกระทบต่อมีดของฉัน?”
เยี่ยเทียนเพ่งพลังจิตไปที่มีดบิน ขณะที่เขากำลังจะไปช่วยเหลยหู่อยู่นั้น จู่ๆ ก็พบว่า การควบคุมมีดบินของตัวเองไม่ราบรื่นเหมือนเคย แสงสีเงินที่ส่องประกายอยู่ที่ตัวมีด กลับมีของเหลวสีเขียวติดอยู่อีกชั้นอย่างเลือนราง ทำให้ตัวมีดมืดหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
ช่วงระยะเวลาที่เยี่ยเทียนลังเลอยู่นั้น ร่างของฉงฉีก็ตกลงไปบนหาดทราย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนกับเหลยหู่คาดไม่ถึงก็คือ ฉงฉีที่ตกลงไปบนหาดทรายนั้นไม่ได้สนใจเหลยหู่กับตัวเองที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมด้วยซ้ำ มันกลับหันหน้าทะยานตัวพยายามหนีออกไปนอกหาดทราย
ทันใดนั้น เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ก็เกิดเสียงดัง “เปรี้ยง!” สะเทือนเลื่อนลั่น ท่ามกลางท้องฟ้าที่ไร้เมฆก็เกิดสายฟ้าที่หนาเท่าแขนเด็กผ่าลงมาเหนือหัวของฉงฉีตัวนั้น
ดูเหมือนฉงฉีจะเดาสถานการณ์ออกนานแล้ว เกือบจะในเวลาเดียวกันที่ขาของมันเหยียบลงบนหาดทรายก็พยายามหลบหนีสุดชีวิต ทำให้สายฟ้านี้ผ่าไม่โดนตัวของมัน
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจกลัวก็คือ กำแพงหมอกที่ก่อตัวขึ้นจากปราณวิเศษนั้นไม่รั้งรอให้ฉงฉีหนีออกไปได้ เกิดสายฟ้าทยอยผ่าลงมาสี่ห้าสาย แต่ละสายแฝงไปด้วยพลังมหาศาล ทำให้ระยะสิบกว่าเมตรที่อยู่รอบตัวฉงฉีกลายเป็นทะเลแห่งสายฟ้า ปิดกั้นทางไม่ให้ฉงฉีหนีรอดไปได้
“บรู๊ววว!” ตอนมีสายฟ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้า ฉงฉีร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง เท้าทั้งสี่ของมันกระทืบไปบนชายหาดอย่างแรง ยอมเสี่ยงตายพุ่งตัวหนีออกจากสายฟ้า ผ่านกำแพงหมอกออกมาถึงรอบนอกของหาดทราย
การถล่มของสายฟ้าทำให้ตัวของฉงฉีสั่นเทิ้ม ดวงตาเหยียดตรง ร่างกายเริ่มยืนไม่มั่นคง บนท้องฟ้ายังมีสายฟ้าผ่าลงมาอีกสองสามครั้ง เสียงฟ้าร้องพร้อมกับฟ้าผ่าทำให้ฉงฉีจมอยู่ในนั้น เสียงคำรามของมันก็เริ่มลดลงไปทีละน้อย
ตอนที่เสียงคำรามของฉงฉีหายไปจนหมดสิ้น ภายในป่าที่อยู่ไกลๆ ก็เกิดเสียงร้องคำรามสั่นสะเทือนขึ้นมา ป่าเขาและต้นไม้เงียบสงัดขึ้นมาในพริบตาเดียวมีแค่เสียงลมพัดเบาๆ กับเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนดังสะท้อนไปมาอยู่อย่างนั้น
“นี่ถึงจะเรียกว่าเสียงที่ทรงพลัง เกรงว่าแม้แต่มังกรดำก็ยังสู้ไม่ได้?”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามนั้นแล้ว เยี่ยเทียนอดมองไปที่แนวป่าไม่ได้ ฉงฉีในตำนานก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกแล้ว เขาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าในป่านั่น ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอะไรแอบซ่อนอยู่อีก?
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
หลังจากผ่านไปห้าหกนาที สายฟ้าก็ค่อยๆ สลายไป เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็ยังคงเป็นท้องฟ้าสีครามสดใสไร้ซึ่งก้อนเมฆเหมือนเดิม เหลยหู่เอามือซ้ายลูบไปที่ไหล่ขวาราวกับอยู่ในความฝัน ความเจ็บปวดรวดร้าวนั่น ทำให้เหลยหู่ตื่นได้สติขึ้นมา
“กลางวันแสกๆ ก็ฟ้าผ่า ฉันคงเห็นผีแล้วสินะ?”
เหลยหู่แยกเขี้ยวยิงฟันเอามือคลำไปบนกำแพงหมอกที่กำลังค่อยๆ สลายตัวไปอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง แต่พบว่ากลางฝ่ามือกลับมีความหนาวเย็นเพิ่มเข้ามาเล็กน้อย แล้วก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ อีก
“เหลยหู่ แกอย่าเพิ่งออกมา”
เมื่อเห็นเหลยหู่กำลังจะออกมาจากหาดทราย เยี่ยเทียนจึงรีบยกมือห้ามเขาไว้ ตอนนี้ดูเหมือนนอกจากบนชายหาดแล้ว บนเกาะที่ไม่รู้ชื่อแห่งนี้ ล้วนแต่มีพลังอาฆาตแอบซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง
“ครับ ท่านเยี่ย!”
เหลยหู่ตกตะลึงเล็กน้อย พอเขาจึงนึกถึงเสียงคำรามที่ดังขึ้นเมื่อครู่ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปรีบหยุดชะงักฝีเท้าทันที ถ้าไอ้ตัวที่เคลื่อนไหวว่องไวนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็คงได้แต่ปล่อยให้มันฆ่าได้ตามอำเภอใจ
“นี่…นี่มันคือไอ้ตัวนั้น?”
หลังจากสายฟ้ากระจายหายไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดเบิกตาโตไม่ได้ ฉงฉีนอนขดตัวไหม้เกรียมอยู่บนพื้น พร้อมกับส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจออกมาอีกด้วย ทำให้นึกไม่ถึงว่าเจ้าตัวนี้เคยดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก่อน
“บ้าเอ้ย ยังมีกระแสไฟอยู่!” เยี่ยเทียนเดินเข้าไปข้างหน้า ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะไปที่ตัวของฉงฉี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความรู้สึกเหน็บชาปวดแสบปวดร้อนจะส่งผ่านมาจากฝ่าเท้า ช็อตเยี่ยเทียนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
“น่าเสียดาย ถ้าหากเจ้าตัวนี้ถูกพาไปอยู่ในโลกภายนอก คงจะมีคุณค่ามากกว่าหมีแพนด้าเสียอีก เกรงว่าทั่วทั้งโลกน่าจะมีเพียงแค่ตัวเดียว?”
ขณะที่มองดูฉงฉีที่ตายสนิทแล้ว เยี่ยเทียนส่ายหน้าติดต่อกัน เขาพอจะตัดสินได้แล้วว่า เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้น่าจะเป็นฉงฉีที่ถูกอธิบายไว้ในคัมภีร์ “ซานห่ายจิง” และก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ที่เล่าขานสืบมาในสมัยโบราณของประเทศจีนนั้น ใช่ว่าคนโบราณจะปั้นแต่งขึ้นมาโดยไม่มีเค้าโครง
“ท่านเยี่ยครับ ใครเป็นคนจัดการเจ้าตัวนี้กันแน่?”
เมื่อเห็นรอบตัวไม่มีอันตรายแล้ว เหลยหู่จึงเดินออกมาเช่นกัน เพียงแต่ระยะห่างของเขาอยู่ใกล้กับหาดทรายสีขาวเม็ดละเอียดเป็นอย่างมาก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเขาจะได้ถอยกลับไปได้ทัน
“จะว่าไปก็พูดถูกนะ อย่าว่าแต่จับตัวเลย แค่จะฆ่ามันก็ยังยาก!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ก่อนหน้านั้นเขาวางกับดักเอาไว้ ก็ทำได้เพียงให้มันบาดเจ็บหนักเท่านั้นเอง ถ้าหากมันอยู่ในสังคมของมนุษย์ ด้วยความเร็วปานลมกรดกับพลังตั้งรับที่น่าตกใจเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้มีกองทัพนับแสนก็ไม่สามารถจัดการมันได้ อันตรายของมันยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ
“เอ๊ะ หนามแหลมสองสามอันนี้ไม่ได้เสียหายไปด้วย?”
เยี่ยเทียนขยับตัวของฉงฉีสองสามที กลับพบว่ามีหนามแหลมความยาวเท่าตะเกียบและมีความหนาเท่านิ้วก้อยอยู่ห้าอัน ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าจนเสียหาย กระพริบแสงเป็นมันวาวไปทั่วทั้งแท่ง เขาจึงอดหยิบมันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านเยี่ย นี่คืออะไรครับ?”
เหลยหู่เขยิบมาใกล้ๆ ลูบไปที่หนามแหลมเหล่านั้น ลื่นมือเป็นมันขลับ พูดไม่ถูกว่าเป็นวัสดุอะไร แต่ดูเหมือนจะไม่หนักมาก
“หล่นมาจากตัวของเจ้าประหลาดนี้”
เยี่ยเทียนตอบไปเรื่อย หงายฝ่ามือหยิบมีดบินคู่กายของตัวเองออกมา แล้วตัดไปที่หนามแหลมสองสามแท่งนี้
“ติงตัง!” หลังจากมีดสั้นอู๋เหินกระทบกับหนามแหลมแล้ว เกิดเสียงดังกังวาน จากนั้นก็มีประกายไฟพวยพุ่งออกมา แต่ว่าหนามแหลมสีดำสนิทที่ดูไม่สะดุดตาพวกนั้น กลับไม่ได้รับความเสียหายเลยสักนิด
“ของดี!” เยี่ยเทียนตาเป็นประกาย หลังจากอู๋เหินถูกหล่อเลี้ยงจนกลายเป็นสีเงินแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่เคยเห็นมันตัดอะไรไม่ขาด แสดงว่าความแข็งแกร่งของหนามแหลมพวกนี้ กับแสงเย็นที่แวบผ่านตรงหนามแหลมที่อยู่ตรงหน้า พลังโจมตีคงมีไม่น้อยทีเดียว
“ท่านเยี่ยครับ เมื่อครู่ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเก็บหนามแหลมสองสามแท่งนั้นไป ถึงแม้เหลยหู่จะรู้สึกอิจฉา แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ถ้าหากก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนไม่ได้ช่วยโจมตีเจ้าสัตว์ประหลาดให้ล่าถอยออกไป ชีวิตน้อยๆ ของเขาคงจบสิ้นไปนานแล้ว ไหนเลยจะกล้าขอสิ่งของจากเยี่ยเทียนอีก?
เยี่ยเทียนหันกลับไปมองปราณวิเศษที่กระจัดกระจายไปทั่วหาดทราย แล้วพูดว่า
“หมอกสีขาวพวกนั้น ก่อตัวมาจากพลังแห่งฟ้าดิน ฉันสงสัยว่า ในสถานที่แห่งนี้ จะมีค่ายกลอย่างหนึ่ง ที่คอยขัดขวางสัตว์ร้ายที่อยู่บนเกาะเหล่านี้ไม่ให้ออกไปสู่โลกภายนอก!”
ความจริงตอนที่เห็นซากกระดูกของสัตว์ขนาดมหึมานับไม่ถ้วนอยู่บนหาดทรายนั้น เยี่ยเทียนก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง ยิ่งเมื่อสักครู่ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับฉงฉี จึงยิ่งเป็นการยืนยันความคิดของเยี่ยเทียน ว่ารอบนอกของเกาะที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนี้ น่าจะมีค่ายกลขนาดยักษ์ ปกคลุมทั้งเกาะเอาไว้
“ค่ายกล? ท่านเยี่ย ท่านกำลังพูดถึงพวกของเล่นอย่างค่ายกลเก้าตำหนักแปดทิศของจูเก๋อเลี่ยงที่เคยเล่าไว้ในหนังสือโบราณหรือครับ?”
เหลยหู่เน้นฝึกวิชายุทธมากกว่าเล่าเรียนหนังสือ แต่พวกค่ายกลเก้าตำหนักแปดทิศอะไรนั่นเขาเคยได้ยินมาจากนักเล่านิทานที่อยู่ในไชนาทาวน์มาก่อนเท่านั้นเอง
“ค่ายกลเก้าตำหนักแปดทิศ? น่าจะใช่มั้ง”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เพราะไม่อยากพูดอะไรมากกับเหลยหู่ ค่ายกลของที่นี่ แม้แต่เขาก็ยังมองเบาะแสใดๆ ไม่ออก ดังนั้นจะสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับค่ายกลที่เป็นเป็นตำนานเล่าขานอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างไร? ต่อให้ในหัวของเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาค่ายกลพิฆาตก็ตาม ก็ยังสู้ค่ายกลที่นี่ไม่ได้เลย ถือว่ามีความลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
เยี่ยเทียนสร้างค่ายกลชุมนุมพลังในฮ่องกง ยังถูกพลังสะท้อนกลับทำให้ร่างกายบาดเจ็บหนัก เขาจึงไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ ว่าใครที่สามารถใช้ค่ายกลปกคลุมทั่วทั้งเกาะที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ได้ เกรงว่าคงมีแต่พวกเทพเซียนเท่านั้นถึงจะทำได้?
“ท่านเยี่ยครับ ทำไมค่ายกลนี้ถึงไม่มีผลกับพวกเราล่ะ?”
เหลยหู่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของค่ายกลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สิ่งที่เขาคิดนั้นคือจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร แล้วเสียงคำรามที่ดังมาจากป่าลึกนั่น ยังแฝงไปด้วยพลังบีบรัดบางอย่างที่พูดไม่ถูก ทำให้เขารู้สึกกลัวจนถึงก้นบึ้งหัวใจ ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว
“ไม่รู้ บางทีพวกเราอาจจะมาจากโลกภายนอกก็เป็นได้?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเข้ามาอยู่ที่นี่นั้นเขาสลบอยู่ จึงไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่พอจะจำได้คร่าวๆ ว่า เหมือนบนท้องฟ้าจะปรากฏรอยแยก แล้วตัวเองกับเหลยหู่ก็ตกลงไป
พอครุ่นคิดดูพักหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงมองไปที่เหลยหู่ แล้วพูดว่า
“อาการบาดเจ็บของแกไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ท่านเยี่ย ท่านมีอะไรจะสั่งบอกได้เลยครับ”
เหลยหู่ส่ายหน้า ถึงแม้จะเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากที่เข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนแล้ว จึงสามารถโคจรเลือดลมทั้งหมดของร่างกายได้ อย่างน้อยในช่วงสองสามวันนี้ แขนที่ขาดไปก็ไม่มีผลกระทบมากมายต่อเขา
“อย่างนั้นก็ดี พวกเราลองไปสำรวจทะเลนี้ดูสักหน่อย ว่าพอจะออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้หรือไม่!”
พูดตามจริง เกาะที่อยู่ด้านหลังตัวเองนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้าง จากเสียงคำรามของสัตว์ประ หลาดพวกนั้นเขาก็สามารถฟังออกถึงพลังอันมหาศาล แม้แต่เยี่ยเทียนก็ไม่มั่นใจว่าจะถอยออกมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ หนำซ้ำยังมีเหลยหู่ เป็นตัวภาระเพิ่มเข้ามาอีก?
“ครับ ท่านเยี่ย พวกเรารีบออกไปจากที่นี่เร็วๆ จะดีกว่าครับ!”
สำหรับข้อเสนอของเยี่ยเทียนนั้น เหลยหู่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก จึงเอามืออีกข้างหนึ่งลากแพชูชีพลงไปในน้ำทะเล
“แกเพิ่งบาดเจ็บ ให้ฉันทำเองดีกว่า”
เยี่ยเทียนผลักแพชูชีพไปในทะเลระยะสิบกว่าเมตร เมื่อน้ำทะเลท่วมถึงขอบเอวของเขาแล้วจึงพลิกตัวกระโดดขึ้นไปข้างบน
……………………………