เช่นเดียวกับที่ตระกูลเทียนไห่ไม่อาจเป็นตัวแทนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ในมุมมองของเฉินฉางเซิง ประมุขรองตระกูลถังก็ย่อมไม่อาจเป็นตัวแทนของตระกูลถัง
หากเขาต้องการจะแน่ใจถึงจุดยืนของตระกูลถัง เขาก็ต้องไปพบกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังด้วยตัวเอง
มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยแสดงสีหน้าอึดอัดที่ยากจะพบเห็น “ว่าตามเหตุผล เขาควรจะเป็นฝ่ายมาพบองค์สังฆราช แต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่เคยพบแขกเว้นแต่เขาต้องการจะพบเอง ตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ส่งม่ออวี่มาเวิ่นสุ่ยเพื่อเชิญเขาไปจิงตู ประมุขผู้เฒ่า…ก็ไม่ยอมรับโองการ”
เฉินฉางเซิงตอบ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าบอกว่าข้าจะไปที่จวนเก่าเพื่อเยียมพบประมุขผู้เฒ่า”
มหามุขนายกตกตะลึงและคิดในใจ ท่านเป็นองค์สังฆราช ต่อให้ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้เยาว์ผ่านความสัมพันธ์กับคุณชายถัง ก็ไม่มีเหตุผลให้ท่านต้องไปจวนเก่าด้วยตัวเอง นี่ไม่เท่ากับลดตัวหรอกหรือ
ราชันแห่งหลิงไห่ก็มีสีหน้าไม่พอใจนัก ตั้งใจจะส่งเสียงคัดค้าน
เฉินฉางเซิงไม่มอบโอกาสให้พวกเขา “ส่งข้อความไป ข้าจะรอคำตอบ”
ในตอนนี้ พวกเขาก็เข้าใจในที่สุดว่าสังฆราชต้องการจะใช้เรื่องนี้ยืนยันบางอย่าง
มหามุขนายกจากไปเพื่อทำตามคำสั่ง ในเวลาอันสั้น จวนเก่าตระกูลถังก็ส่งคำตอบกลับมา
เป็นเหมือนกับที่ทุกคนคาดเดาไว้ ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ยอมรับ
สาเหตุที่จวนเก่าให้มาก็คือเขากำลังเป็นไข้
ทุกคนรู้ว่าคำสัญอย่างประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่มีทางเป็นไข้ นี่เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง
แน่นอนว่าจวนเก่ายินยอมใช้ข้ออ้างก็นับว่าเห็นแก่หน้าสังฆราชมากแล้ว
คนอื่นแม้แต่คนที่เรียกได้ว่าสำคัญอย่างอู๋ฉยงปี้หรือเซียงอ๋องมีแต่ได้รับการปฏิเสธตรงๆ จากประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ไม่มีการให้ข้ออ้างอันใด
แต่เฉินฉางเซิงไม่ได้คิดว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไว้หน้าเขา
เขายืนที่แม่น้ำในความเงียบครุ่นคิดเป็นเวลานานจากนั้นก็ยิ้ม
แสงสนธยาอาบย้อมท้องฟ้า และยังส่องต้องใบหน้าเยาว์วัยของเขา รอยยิ้มของเขาช่างสะอาดน่ารื่นรมย์
อารมณ์ของเขาในตอนนี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
ที่คอกม้าผาชัน เขาได้ตัดสินใจมายังเวิ่นสุ่ย นับจากวันนั้นเขาก็มีความกังวลในใจ
เขากังวลว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตัดสินใจไปแล้ว เขากังวลว่าการกระทำของประมุขรองตระกูลถังเป็นไปตามความประสงค์ของตระกูลถัง
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป
เพราะประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่กล้าพบเขา
……
……
ในสำนักฝึกหลวงเฉินฉางเซิงได้พูดบางอย่างกับหลินกงกง และหลังจากนั้นเขาก็พูดกับอาจารย์อาสังฆราช อาจารย์ของเขาซางสิงโจวไม่กล้าพบหน้าเขา ‘ไม่กล้า’ ที่เขาพูดถึงไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ของเขาหวาดกลัวหรือขี้ขลาดที่จะพบหน้าเขา แต่หมายถึงการที่ซางสิงโจวไม่ยินยอมพบเขาเพราะต้องพบเจอกับคำถามที่เขาไม่ต้องการที่จะตอบ
เขาเชื่อว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่กล้าพบเขาด้วยเหตุผลคล้ายคลึงกัน ไม่ใช่เพราะประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่กล้าพบเขา แต่เป็นเพราะประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่กล้าที่จะตอบคำถามที่มาพร้อมกับเขา ไม่ยินยอมที่จะถูกชักจูง นี่ยังแสดงว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังรู้ดีว่าเขาอาจถูกเฉินฉางเซิงโน้มน้าวเอาได้
“เตรียมเดินทางไปยังจวนเก่าพร้อมกับข้าวันพรุ่งนี้”
เฉินฉางเซิงพูดกับทุกคน จากนั้นก็พูดกับกวนเฟยไป๋ “เจ้าบาดเจ็บดังนั้นอยู่ที่อารามเถอะ”
ทุกคนสับสนอย่างมาก คิดในใจ ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเจ้าแล้วหรอกหรือ ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ต้องการจะพบเจ้า หรือเจ้าคิดจะใช้กำลังบุกเข้าไป
“ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมีไข้และไม่อาจพบแขก ต่อให้ข้าเป็นสังฆราชก็ไม่อาจพบ”
เฉินฉางเซิงเสริม “แต่พอดีข้าเป็นหมอด้วย”
……
……
สังฆราชไม่อาจฝืนบุกเข้าไปในจวนเก่าตระกูลถัง แต่ด้วยฐานะหมอของเขาจะสามารถเปลี่ยนเรื่องต่างๆ ได้จริงหรือ
ต่อให้เป็นหมอที่รักษาอาการไข้ที่เก่งที่สุดแล้วจะทำไม พวกเขาก็ต้องแจ้งล่วงหน้าอยู่ดี ในคืนเดียวกันอารามเต๋าได้แจ้งต่อจวนเก่าตระกูลถังว่าสังฆราชจะเดินทางไปพบประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังในวันพรุ่งนี้ ถึงกับบอกว่าสังฆราชเป็นห่วงสุขภาพของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอย่างมาก
ในเช้าวันถัดมา พวกของเฉินฉางเซิงก็ออกจากอารามเต๋า ได้รับการคุ้มกันจากทหารม้าและนักบวช
เมื่อรถม้าศักดิ์สิทธิ์ของสังฆราชมาถึงถนนหลักของเมืองเวิ่นสุ่ย จวนเก่าก็ยังไม่ได้แสดงการยอมรับออกมา
เฉินฉางเซิงไม่ไม่เจตนาจะรอ เขาสั่งให้ราชรถมุ่งหน้าต่อไป
เมื่อวานเขาได้ไปยังจวนสาขาหลักเพื่อพบกับประมุขใหญ่ แต่วันนี้เขามายังจวนเก่าเพื่อพบประมุขผู้เฒ่า เขานำยาล้ำค่าที่นิกายหลวงจัดเตรียมเอาไว้มามากมายแสดงน้ำใจอันไร้สิ้นสุด หรือว่าตระกูลถังจะสามารถทำตัวหยาบคายปิดถนนสู่จวนเก่าเอาไว้
นี่เป็นเรื่องไร้เหตุผลที่ตระกูลซึ่งมีการสืบทอดกันมาหลายพันรุ่นจะทำได้
แม้ว่ามีคนมากมายในตระกูลถังไม่ต้องการให้เขาไปยังจวนเก่า ไม่ต้องการให้เขาได้พบกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง พวกเขาก็ได้แต่มองรถม้าศักดิ์สิทธิ์ขององค์สังฆราชเดินทางไปตามถนน มันผ่านกำแพงขาวหลังคาดำของหอบรรพชน เข้าใกล้จวนเก่ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ประตูหอบรรพชนตระกูลถังปิดสนิท เจ้าคนที่ถูกขังอยู่ในนั้นกำลังทำอะไรอยู่
เฉินฉางเซิงไม่แม้แต่จะมองไปที่ประตูของหอบรรพชน แต่เขายังคิดถึงคำถามนี้ จากนั้นก็นึกไปว่ามันยังเช้าอยู่ ด้วยความขี้เกียจของเจ้าหมอนั่น เขาคงยังหลับอยู่และไม่รู้ว่าเขากับเจ๋อซิ่วกำลังผ่านประตูไป
เมื่อพวกเขามาถึงจวนเก่าตระกูลถัง พวกเขาจะเห็นแค่ประตูที่ปิดแน่นอย่างนั้นหรือ
นี่เป็นความเป็นไปได้ที่ราชันแห่งหลิงไห่กับพวกกังวลมากที่สุด และก็เป็นไปได้อย่างมากว่ามันจะกลายเป็นความจริง
เฉินฉางเซิงไม่ได้กังวลว่าเขาจะถูกห้ามไม่ให้เข้า
ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไม แม้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจะไม่ยินยอมพบ เขาก็ยังดูเหมือนจะมีความมั่นใจ
เป็นไปได้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็คงสงสัยอย่างมากที่ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน
……
……
จวนเก่าตระกูลถังอยู่ทางใต้สุดของเมืองเวิ่นสุ่ย ห่างจากอารามเต๋าอย่างมากและจำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางยาวนาน
ประตูเมืองถูกปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว หากพูดให้เจาะจงก็คือนับจากประตูเมืองปิดไปเมื่อคืนนี้ มันก็ไม่เคยถูกเปิดขึ้นอีกเลย แม้ว่าจะเลยกำหนดเปิดประตูเมืองมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
นอกจากรถม้ากับทหารม้านิกายหลวง ไม่มีใครอีกที่อยู่บนถนน ตระกูลถังไม่ได้ส่งปฏิคมหรือแม้แต่คนรับใช้มานำทาง
ถนนยาวเงียบสงบ เสียงที่ยังดังอยู่ก็คือเสียงย่ำเท้าของม้าศึกและเสียงล้อรถที่บดหินปูพื้น
สายลมพัดมาจากแม่น้ำ พัดกระดาษเก่าแผ่นหนึ่งมาด้วย กระดาษนี้เปื้อนไปด้วยน้ำมัน คาดว่ามันน่าจะเคยถูกใช้ห่อเนื้อมาก่อน
สุนัขดำวิ่งออกมาจากตรอกและสูดดมกระดาษแผ่นนั้น เมื่อเห็นว่ากระดาษไม่น่าสนใจ มันก็หันหลังจากไป
เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่าสุนัขดำนั้นค่อนข้างแก่แล้ว แต่ขนก็ยังอ่อนนุ่ม ดูเหมือนจะมีสุขภาพดีมากแล้วยังมีปลอกคอสวมอยู่รอบคอ เห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง
“ข้าไม่เคยเห็นสุนัขจรจัดในเมืองเวิ่นสุ่ยมาก่อนเลย”
เขาคิดถึงจุดนี้และรู้สึกว่ามันแปลกทีเดียว
ว่าตามเหตุผล เมืองที่รุ่งเรืองอย่างเวิ่นสุ่ยน่าจะเป็นสถานที่ซึ่งสุนัขจรจัดสามารถอยู่ได้อย่างสบาย
หรือว่าเมืองเวิ่นสุ่ยขับไล่สุนัขจรจัดทั้งหมดออกไปเพราะว่าเขามาเยือน
ราชันแห่งหลิงไห่ก็มีคำถามแบบเดียวกันนี้เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขามาเมืองเวิ่นสุ่ยครั้งแรกและตอบคำถามนี้ “ที่นี่ไม่มีสุนัขจรจัด”
เฉินฉางเซิงถาม “ทำไม”
ราชันแห่งหลิงไห่อธิบาย “พวกมันมีคนรับไปเลี้ยง ถูกฆ่าไม่ก็ถูกกิน สรุปแล้วไม่มีสุนัขจรจัด”
คำอธิบายนี้พูดอย่างเรียบง่าย แต่กลับบรรจุไว้ด้วยความหมายล้ำลึกที่ทำให้คนฟังรู้สึกเย็นอย่างไม่อาจบรรยายได้
เฉินฉางเซิงคิด ในบางแง่มุมประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับอาจารย์ข้าซางสิงโจวเป็นคนที่เหมือนกันอย่างมากจริงๆ
……
……
คนรุ่นนั้นมีนิสัยเหมือนกันหมด
สามปีก่อนผู้เฒ่าความลับสวรรค์ตายไปและสังฆราชก็สิ้นพระชนม์ ปีนี้ราชามารก็ล่วงลับในที่สุด
นอกจากหวังจื่อเช่อที่เดินทางไปในเส้นทางที่ไม่มีใครรู้แล้ว สมาชิกที่เหลืออยู่ของคนรุ่นนั้นก็คือประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับซางสิงโจวเท่านั้น
คนรุ่นนั้นคือรุ่นใด
เป็นรุ่นที่ประสบพบเจอกับแผ่นดินกว้างใหญ่ลุกเป็นไฟ ผู้คนถูกล้อมโจมตี เผ่ามารรุกราน บุกยึดลั่วหยาง เป็นช่วงเวลาที่ช่วงชีวิตและความตายห่างกันแค่ไม่กี่วัน
เป็นเพราะพวกเขาพบเจอกับความเจ็บปวดและโศกนาฏกรรมมามาก ทนแรงกดดันที่มนุษย์ทุกวันนี้ไม่อาจจะคาดคิดได้ คนพวกนี้จึงมีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงหาใดเปรียบ เหมือนกับหินบนยอดเขาโดดเดี่ยวหรือต้นสนที่เติบโตกลางลานหิน ไม่ว่าจะตกอยู่ในความอนาถเช่นใดหรือสถานการณ์สิ้นหวังเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ พวกเขาจะเผชิญหน้าอย่างสุขุมและยึดความฝันเอาไว้เสมอ
เพราะพวกเขามีประสบการณ์มากเกินไป ได้รับรู้ความโหดเหี้ยมและความมืดมิดของประวัติศาสตร์มามากเกินไป จึงไม่น่าประหลาดใจที่พวกเขายึดติดกับความเป็นจริง เป็นจอมวางแผนที่ใจดำที่สุด แผนชั่วร้าย ท่าทีใจกว้างและเป้าหมายยิ่งใหญ่ผสานรวมอยู่ในร่างกายแก่ชราของพวกเขาโดยไม่มีความขัดแย้งแม้แต่น้อย
ในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นผู้อาวุโสในโลกนี้ที่ควรแก่การเคารพที่สุด เรียกร้องความเคารพและสร้างความหวาดกลัวให้กับสรรพชีวิต
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังที่เฉินฉางเซิงต้องการพบในวันนี้ก็เป็นคนแบบนี้เอง
……
……
จวนเก่าตระกูลถังอยู่ตอนใต้ของเมือง ตรงกันข้ามกับที่คนทั่วไปคาดคิดไว้ จวนเก่าเล็กกว่าจวนสาขาหลักและสาขารองมาก มีพื้นที่ไม่มากสักเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ได้อยู่ริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ย แต่สร้างอยู่ติดกับเนินเขาเตี้ยๆ ดูไปค่อนข้างธรรมดา ไร้ซึ่งจุดเด่นอันใด
พวกของเฉินฉางเซิงไม่ได้พบกับคนแม้แต่คนเดียวระหว่างเดินทางจากอารามเต๋ามาถึงที่นี่ ตอนนี้พวกเขาก็พบเจอคนในที่สุด
ปฏิคมจากจวนเก่าที่เขาพบเมื่อวานที่จวนสาขาหลักยืนอยู่ริมถนน มีสีหน้าอ่อนน้อม ด้านหลังมีผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่
ผู้อาวุโสนี้มีสีหน้าเย็นชาเหมือนตะวันฤดูใบไม้ร่วง ไม่แยแสสิ่งใด และสะกดปราณของตนเอาไว้
ภาพของผู้อาวุโสนี้ทำให้เกิดประกายสีแดงขึ้นบนดวงตาเจ๋อซิ่วอย่างฉับพลัน และหนานเค่อก็คลายมือออกจากแขนเสื้อของเฉินฉางเซิง
ในฐานะสองคนที่ไวต่ออันตรายมากที่สุดในที่แห่งนี้ เจ๋อซิ่วกับหนานเค่อสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวของผู้อาวุโสคนนี้ได้ในทันที
สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมผิดปกติในทันที “อยู่ห่างจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าว!”
หากไม่ใช่เพราะรูปเหมือนในลานตะไคร้ เขาคงคิดไปว่าผู้อาวุโสคนนี้คือประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังที่สังฆราชต้องการพบ
การบำเพ็ญตนของผู้อาวุโสคนนี้ช่างล้ำลึกยากหยั่งถึงอย่างแท้จริง
พวกของเฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าผู้อาวุโสคนนี้เป็นหนึ่งในสามผู้พิทักษ์อาวุโสตระกูลถัง ในการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ในช่วงเวลาคับขัน ผู้พิทักษ์ชรานี้ได้อยู่ข้างกายประมุขรองตระกูลถัง จากเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ถึงฐานะและอำนาจของผู้อาวุโสคนนี้ในตระกูลถัง
และผู้พิทักษ์ชราที่อยู่ห่างจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แค่ครึ่งก้าวกลับเป็นผู้นำทางสู่จวนเก่าในวันนี้
พลังที่ตระกูลถังซ่อนเอาไว้ลึกล้ำถึงเพียงไหน
ณ จุดนี้ราชันแห่งหลิงไห่ตระหนักได้ในที่สุดว่าไม่ว่าคนทั่วไปจะวาดภาพตระกูลถังไว้อย่างเหลวไหลเพียงใด ความจริงก็ยังน่าตกใจอยู่ดี
เขากลายเป็นกังวลในความปลอดภัยของเฉินฉางเซิงขึ้นมา
แต่ไม่ว่าเขา เจ๋อซิ่วและหนานเค่อก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามเฉินฉางเซิงเข้าสู่จวนเก่าตระกูลถัง
เพราะผู้พิทักษ์ชราได้ส่งสายตาเย็นชาให้กับเขา
จากนั้นเฉินฉางเซิงก็ส่ายหน้า