บทที่ 1692 เจ้าทำอย่างนี้จะไม่มีเพื่อนคบนะ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

จะไม่ให้กดดันทางจิตใจก็คงยาก อย่างไรเสียโค่วเหวินไป๋ก็เป็นลูกชายของเขา อีกทั้งเขายังมีลูดชายเพียงคนเดียว เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกชายของเขาคนนี้นับว่ามีความสามารถโดดเด่นในตระกูลโค่ เมื่อกล่าวคำพูดที่สื่อความหมายว่าจะทิ้งลูกชายออกมา เขาเองก็รู้สึกเศร้าโศกเช่นกันกัน

ถ้าจะถามว่าแค้นหรือไม่แค้นเหมียวอี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเหมียวอี้ จะมีเหตุผลให้ไม่แค้นได้อย่างไร ต่อให้ตระกูลโค่วหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่ในด้านความรู้สึกก็ต้องหาตัวการสักคน แต่คนที่เดินมาอยู่ในระดับอย่างเขา ล้วนต้องใช้สติปัญญาข่มอารมณ์เอาไว้ จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น

เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พอใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนแล้ว ก็ทำให้โค่วเจิงพูดจาแบบนี้ออกมา

โค่วเจิงเหมือนจะไม่อยากอยู่ที่นี่นานแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากสั่งไว้ชัดเจนแล้วก็หันตัวจากไป

ทว่าชั่วพริบตาที่ออกมาจากห้อง ก็เห็นบนเสาขื่อของห้องระเบียงโดนขุดจนน่าหวาดเสียว ที่จริงเขากได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่าที่นี่มีสภาพอย่างนี้ ตระกูลโค่วก็กำลังกลุ้มใจเรื่องนี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร ตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะสืบถาม “โหย่วเต๋อ เจ้าทำให้จวนแม่ทัพภาคกลายสภาพเป็นอย่างนี้หมายความว่าอะไร?”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วปวดประสาท แผนการเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สงสัยจะใช้งานสิ่งที่เตรียมไว้ไม่ได้แล้ว เขายิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “เอาไว้หลีกภัย”

“หลีกภัยเหรอ?” โค่วเจิงมองไปรอบๆ อีกครั้งอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ทำจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะหลีกภัยได้อีกเหรอ? ไม่อยากให้ความลับรั่วไหลเหรอ?”

“มีอะไรที่รั่วไหลไม่ได้ล่ะ” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเย้ยตัวเองนิดหน่อย “มีคนต้องการจะเล่นงานข้าให้ถึงตายไม่ใช่เหรอ ข้ากังวลว่าจะมีคนใช้วิธีการที่แข็งกร้าวกับข้า อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย เตรียมจะถล่มจวนแม่ทัพภาค จากนั้นก็ไปอยู่ที่วัดพระกษิติครรภ์ชั่วคราว คาดว่าพวกตำหนักสวรรค์คงไม่ถึงขั้นบุกมาฆ่าข้าในวัดพระกษิติครรภ์หรอก”

นี่มันหลักการอะไรกัน? โค่วเจิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมวัดพระกษิติครรภ์ต้องให้เจ้าพักอยู่ชั่วคราวด้วยล่ะ?”

“แค่กๆ พระอรหันต์ตัวลี่จะมาล้างแค้นข้าไง ถ้าไม่ระวังถล่มจวนแม่ทัพภาคข้าพังล่ะ” เหมียวอี้ไอนิดหน่อยๆ แล้วเตือนให้รู้เล็กน้อย ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ ก็คงเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร

ตอนแรกโค่วเจิงงงนิดหน่อย จากนั้นก็เริ่มทำสีหน้าแปลกๆ เขาเข้าใจแล้ว ว่าพระอรหันต์ตัวลี่ย่อมไม่ถ่อมาโจมตีจวนแม่ทัพภาคหรอก ทำแบบนี้เพราะต้องการจะยัดหลักฐานปลอมให้พระอรหันต์ตัวลี่ คนฝั่งแดนพุทธะก่อความวุ่นวาย แล้วแดนพุทธะก็จับตัวคนไม่ได้ แดนพุทธะเล่นงานจนหนิวโหย่วเต๋อไม่มีที่อยู่ในตลาดผี การจะไปพักที่วัดพระกษิติครรภ์ชั่วคราวก็นับว่าสมเหตุสมผล ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ ที่ฝั่งแดนพุทธะจะไล่หนิวโหย่วเต๋อออกจากวัดพระกษิติครรภ์

ก่อนหน้านี้คนของตระกูลโค่วครุ่นคิดไม่หยุดว่าหนิวโหย่วเต๋อขุดจวนแม่ทัพภาคหมายความว่าอะไร ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ สงสัยจะเป็นเพราะเหตุผลพิลึกนี้

โค่วเจิงมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า นับว่ายอมแพ้เขาแล้ว เพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง ก็ทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเลยจริงๆ เริ่มตั้งแต่ที่ตลาดสวรรค์แล้ว ก่อเรื่องตั้งมากมายแต่รอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

หารู้ไม่ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของเหมียวอี้ แต่เป็นความคิดของหยางชิ่งต่างหาก ตอนแรกที่หยางชิ่งเดาออกว่าตระกูลโค่วกำลังจะทิ้งเหมียวอี้ ก็เริ่มกังวลความปลอดภัยของเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งจึงเตือนเขาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าตลาดผียังมีวัดพระกษิติครรภ์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ อย่าให้วัดพระกษิติครรภ์พ้นความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ จึงวางแผนนิดหน่อย ให้เหมียวอี้ไปหลีกภัยที่วัดพระกษิติครรภ์

ส่วนเหมียวอี้พอได้รับคำเตือนจากหยางชิ่ง เวลาว่างๆ ก็ไปที่วัดพระกษิติครรภ์ทันที ไปถามทุกสามวันสองวันว่าจับพระอรหันต์ตัวลี่ได้หรือยัง เตรียมจะเข้าไปพักในวัดพระกษิติครรภ์แล้ว ส่วนตอนหลังที่มีสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเหมียวอี้เช่นกัน เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอก ฝ่ายที่ไม่น่ากลัวที่สุดก็คือสำนักหลัวช่า

ตอนนี้หลังจากอธิบายให้โค่วเจิงฟัง กลับทำให้เหมียวอี้ปวดประสาท ถ้าตระกูลโค่วสามารถเปลี่ยนความคิดของพวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ได้จริงๆ เช่นนั้นการที่เขาขุดจวนแม่ทัพภาคจนกลายเป็นแบบนี้ก็เท่ากับทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง อยู่ดีๆ ใครจะอยากไปอาศัยอยู่ใต้ชายตาคนอื่นให้วัดพระกษิติครรภ์จับตาดูล่ะ

สรุปก็คือโค่วเจิงแอบทอดถอนใจ มิน่าล่ะท่านพ่อถึงโปรดปรานและให้ความสำคัญกับเจ้าเวรนี่มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะหมดทางเลือกก็คงทำใจทอดทิ้งไม่ลง นึกไม่ถึงว่าจะคิดหาวิธีการประหลาดในการปกป้องตัวเองอย่างเช่นรื้อจวนแม่ทัพภาคแล้วไปอยู่วัดพระกษิติครรภ์ได้ ลูกหลานตระกูลโค่วเน้นทฤษฎีแต่ไม่ปฏิบัติจริง มีบางจุดที่สู้เขาไม่ได้

“เจ้าจัดการให้ดีแล้วกัน” โค่วเจิงถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินออกไป

ทางนี้เหมียวอี้เพิ่งจะส่งโค่วเจิงไป แล้วเรียกหยางเจาชิงเข้ามาปรึกษางาน เมื่อครู่นี้เพิ่งคุยกับโค่วเจิงเรื่องวัดพระกษิติครรภ์อยู่เลย ตอนนี้วัดพระกษิติครรภ์ส่งข่าวมาแล้ว

พระอาจารย์จี้คงจากวัดพระกษิติครรภ์ส่งข่าวนี้มา บอกว่าได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่แล้ว จึงเชิญเหมียวอี้ให้ไปที่วัดสักหน่อย หรือจะให้เขามาหาก็ได้

เมื่อเห็นเหมียวอี้ถือระฆังดาราขมวดคิ้ว หยางเจาชิงจึงถามหยั่งเชิง “นายท่านเป็นอะไรไปขอรับ?”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม ได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่งั้นเหรอ? เขาเดาว่าไม่มีเบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่หรอก แต่คนของสำนักหลัวช่าจะคิดบัญชีกับเขามากกว่า ถ้าเขาไม่ไป จี้คงก็ต้องมา แต่ใครจะไปรู้ว่าจี้คงจะแอบพกใครมาด้วย

เหมียวอี้ใช้ระฆังดาราตอบกลับ : พระอาจารย์รอสักครู่ กำลังจะถึงแล้ว

พอเก็บระฆังดารา เขาก็กำชับหยางเจาชิงอีก “ข้าไปวัดพระกษิติครรภ์ครั้งนี้ ถ้าไม่ได้กลับมาภายในครึ่งวัน เจ้าก็ติดต่อฮูหยินทันที ให้ฮูหยินติดต่อตระกูลโค่ว พร้อมทั้งบอกตึกศาลาสัตยพรตด้วย แล้วกระพือข่าวที่ตลาดผีด้วย บอกว่าคนของสำนักหลัวช่าจับตัวข้าไป”

หยางเจาชิงตกใจมาก “นายท่านจะกระโจนเข้าไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ไม่ได้ขอรับ พวกเราเพิ่งจะฆ่าคนของสำนักหลัวช่าไป ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับนายท่าน”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “อาศัยพลังของอีกฝ่าย ถ้าคิดจะมาหาข้า ข้าก็หลบไม่พ้นหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่ตายหรอก”

“หากนายท่านดึงดันจะไป ก็พาคนไปด้วยสักหน่อยก็ได้” หยางเจาชิงกล่าว

“ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ซื่อจริงๆ เกรงว่าต่อให้เอาคนทั้งจวนแม่ทัพภาคไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไปคนเดียวก็พอ” เหมียวอี้บอก

ห้ามไม่ไหวแล้ว หลังจากตามไปส่งเขาตรงปากทางลับ หยางเจาชิงก็ว้าวุ่นใจมาก เขาพบว่าช่วงนี้นายท่านเปลี่ยนไปนิดหน่อย เวลาจะทำอะไรไม่ควบคุมตัวเองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดูอาจหาญขึ้นมาก ลักษณะตอนอยู่ที่พิภพเล็กปีแรกๆ กลับมาแล้ว แต่ก็ไม่หัดดูเสียบ้างว่ากำลังสู้อยู่กับใคร

หลังจากลังเลอยู่หลายครั้ง เขาก็ใช้ระฆังดาราติดต่อไปหาหยางชิ่ง หวังว่าหยางชิ่งจะเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ได้

ทว่าหบังจากหยางชิ่งถามอะไรเล็กน้อย ก็ตอบว่า : วางใจเถอะ อาศัยความสามารถของนายท่าน รับมือไหวอยู่แล้ว ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก ทำตามที่นายท่านั่งก็พอ

หยางเจาชิงได้ยินแล้วอึ้งมาก แม้แต่คนที่ระมัดระวังตัวมาตลอดอย่างหยางชิ่งยังบอกว่าไม่เป็นอะไร เขาจึงวางใจแล้วไม่น้อย

มาถึงวัดพระกษิติครรภ์ผ่านเส้นทางน้ำ ตอนที่เหมียวอี้มาโผล่ตรงประตู พระอาจารย์จี้คงก็โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังประตูแล้วเช่นกัน ทั้งสองพบหน้ากันแล้วดีใจเหมือนได้พบสหาย พอเห็นเหมียวอี้ต่างจากปกติ ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้ผู้ติดตาม พระอาจารย์จี้คงก็แอบแปลกใจนิดหน่อย

ทั้งสองเดินเข้ามาข้างใน แล้วเหมียวอี้ก็ถามตรงๆ เลยว่า “ได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่แล้วจริงเหรอ?”

พระอาจารย์จี้คงนำเขาขึ้นไปชั้นบนอีก แล้วยื่นมือเชิญ “มีคนสามารถให้คำตอบนายท่านได้”

“เล่นลูกไม้นี้กับข้าอีกแล้ว” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวไปทันที แต่ข้างหลังกลับมีคนชุดดำโผล่มาสองคน ปิดบังใบหน้าและศีรษะ มาข้างตรงหน้าเขาเอาไว้

“สงสัยข้าจะไม่ขึ้นไปคงไม่ได้แล้ว” เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าที่แสดงอาการลำบากใจของพระอาจารย์จี้คง “พระอาจารย์ ท่านทำกับข้าอย่างนี้บ่อยๆ ไม่รู้สึกผิดต่อข้าบ้างเหรอ? ข้าคบกับท่านด้วยความจริงใจ แต่ท่านกลับทำแต่เรื่องไร้ยางอายเหมือนสุนัขกับแมลงวัน ท่านทำแบบนี้จะไม่มีเพื่อนคบนะ”

“อามิตาพุทธ” พระอาจารย์จี้คงสีหน้าขมขื่น “เหตุใดนายท่านต้องทำให้ข้าลำบากใจ คนข้างบนบอกว่าในเมื่อนายท่านตอบตกลงแล้ว ก็แสดงว่ารู้ว่าพระอรหันต์ตัวลี่เป็นเพียงข้ออ้าง จะรู้ว่ามีอักคนอยากพบท่าน”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ถ้าจะให้ข้าขึ้นไปก็ได้ ถ้าท่านไม่อยากทำลายมิตรภาพ ก็รับปากข้าเงื่อนไหขหนึ่งสิ ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่งข้าจะมารื้อวัดพระกษิติครรภ์ของท่าน อย่าคิดว่าข้าล้อเล่นเชียวนะ ข้าพูดจริงทำจริง”

พระอาจารย์จี้คงอึ้งทันที แล้วถามหยั่งเชิงว่า “อาตมามีความสามารถจำกัด ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร?”

เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา “ข้าอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคจนเบื่อแล้ว รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าวัดพระกษิติครรภ์กับจวนแม่ทัพภาคแลกอาณาเขตกันดีมั้ย? จวนแม่ทัพภาคย้ายมาที่วัดพระกษิติครรภ์ แล้วพวกท่านก็ย้ายไปจวนแม่ทัพภาค ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ใหญ่พอๆ กัน เป็นยังไง?”

“หา!” จี้คงตกตะลึงอ้าปากค้าง ยังนึกว่าเงื่อนไขอะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องนี้? จากนั้นก็ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่ยอมตอบตกลง เพียงแต่เรื่องบางเรื่องอาตมาไม่มีอำนาจตัดสินใจ!”

เหมียวอี้จึงบุ้ยปากไปด้านบน “แล้วคนข้างบนตัดสินใจได้หรือเปล่า?”

จี้คงประนมมือ “อามิตาพุทธ อาตมาไม่ทราบ นายท่านลองไปถามเอาเองก็ได้”

“วันนี้ข้านับว่าเข้าใจแล้ว ว่าคนหัวโล้นอย่างเจ้าไม่ใช่คนดีอะไร” เหมียวอี้ชี้ศีรษะล้านของเขา แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินขึ้นบันไดไปเอง

จี้คงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แล้วเดินตามหลังไป คนชุดดำสองคนนั้นหายไปอีกแล้ว

ยังเป็นประตูพระอุโบสถบานเดิม เหมียวอี้เหลือบมองจี้คงด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง จี้คงแสร้งทำเป็นไม่เห็น ผลักประตูบานใหญ่ออกแล้ว

ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ตอนนี้แสงไฟข้างในสว่างทั่วถึง สตรีวัยกลางคนหน้าตางามหยดย้อยแต่งตัวโป๊เปลือยยืนอยู่ตรงกลาง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า กำลังสบตากับเหมียวอี้ที่อยู่ข้างนอกอย่างเย็นชา

เหมียวอี้เอียงหน้ามองจี้คงด้วยแววตาซักถาม จี้คงที่ทำหน้าที่เรียบร้อยแล้วก้มหน้าเล็กน้อยขณะจากไป บอกไว้ว่ามีคนกำลังอยากพบเจ้า

เหมือนกับครั้งก่อน พอเหมียวอี้เดินเข้ามาในตำหนัก ประตูสองบานใหญ่ข้างหลังก็ปิดทันที

พอยืนไปถึงผู้หญิงคนนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้านาง เหมียวอี้มองศีรษะจดเท้าพร้อมถามว่า “ไม่ทราบว่าเป็นท่านเทพจากไหน เรียกหนิวมาด้วยธุระอะไร?”

ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่พูดอะไร หันตัวลอยจากไป ไปแล้ว

เหมียวอี้มองไปรอบๆ ในตำหนักว่างเปล่า มีเพียงเขาคนเดียว ขระกำลังแปลกใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าข้างหลังมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เบาบาง พอหันขวับกลับไปก็ตกใจทันที สาวน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา หน้าตาสวยบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบ แต่เมื่อนางปรากฎอยู่ในสายตา ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเอ็นดู เพียงแต่แววตาที่ล้ำลึกคู่นั้นกำลังจ้องเขาอย่างเงียบงัน  ไม่รู้ว่าโผล่จากไหนมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขา

เมื่อเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย ก็ดูไม่เหมือนคนของสำนักหลัวช่า เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” สาวน้อยถามด้วยน้ำเสียงเย็นสบาย

เหมียวอี้ยิ้ม “ของแท้แน่นอน แม่นาง…”

สาวน้อยไม่รอให้เขาพูดจบ พูดตัดบทอีกแล้วว่า “ได้ยินว่าเจ้ามาคนเดียว แม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่พามาสักคน”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “เจ้ากับข้าไม่รู้จักกัน เป็นห่วงข้ามากเกินไปหรือเปล่า?”

“งั้นเหรอ?” สาวน้อยแสยะยิ้ม เงาฝ่ามือแวบผ่าน กดบ่าเหมียวอี้เอาไว้ แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ค้นตัวเหมียวอี้เสียเลย

เหมียวอี้ตกใจ เพราะอีกฝ่ายลงมือเร็วมาก เร็วจนเขายังไม่ทันตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกอีกฝ่ายควบคุมจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แล้ว ได้แต่มองดูอีกฝ่ายค้นร่างกายตัวเอง โชคดีที่เขาเดาได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงนำของที่ไม่ควรพกไว้บนตัววางไว้ที่อื่นก่อนล่วงหน้าแล้ว

…………………………