บทที่ 1193 กระแสเต๋าว่างเปล่า

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ยามดึก

หลังจากได้กลับมาหาบิดามารดา บางทีอาจเป็นเพราะหวังเป่าเล่อไม่ได้กลับมานานสิบกว่าปี อารมณ์ของทั้งสองจึงผันผวนอย่างมากในการพบหน้ากันครั้งนี้ บวกกับพลังฝึกตนในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ ทำให้แม้ว่าเขาจะควบคุมสุดกำลัง ก็ยังส่งผลต่อสิ่งรอบข้างในระดับหนึ่งได้

เมื่อเทียบกันในด้านระดับชีวิต หวังเป่าเล่อนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าผู้ฝึกตนแทบจะเก้าส่วนไปแล้ว แม้การมีอยู่ของเขาจะแตกต่างจากเต๋าสวรรค์ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก

ถึงอย่างไรกายเนื้อของเขาก็เป็นกายเต๋า ดวงวิญญาณเทพของเขาก็มาถึงระดับสูงสุดของดารานิรันดร์แล้ว โดยเฉพาะดวงดารานับหมื่นที่แฝงอยู่ในพลังฝึกตน เจ็ดส่วนในนั้นล้วนกลายเป็นดารานิรันดร์เรียบร้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ หากใช้ศัพท์ของสหพันธรัฐมาบรรยาย บนร่างของหวังเป่าเล่อจึงมีรัศมีปริมาณของดารานิรันดร์ทั้งหมดเจ็ดพันกว่าดวงอยู่

รัศมีเช่นนี้ทำให้เขาอยู่เหนือมนุษย์ และขณะเดียวกันก็ทำให้พลังต่อสู้ของเขาแผ่กระจายออกมา แค่พลังกดดันอย่างเดียวก็สามารถทำให้ท้องนภาทั้งหมดในขอบเขตจิตสัมผัสเทพของเขาพังทลายได้ทันที

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างของเขา ไม่ใช่แค่สามารถสั่นสะเทือนกระบี่จักรวาลของวังเต๋าไพศาลได้ แต่ยังกลืนกินพลังเต๋าสวรรค์ได้ด้วย ราวกับเป็นแกนกลางการฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน นั่นทำให้เขายกระดับสูงขึ้นมากนัก

แม้กระทั่ง…ถ้าไม่ใช่เพราะร่างจริงของหวังเป่าเล่อน่าตกใจเกินไปจนกลัวว่าตัวเขาจะทนรับมันไม่ไหวแล้วร่างพังทลายล่ะก็ ทุกอย่างคงไม่มีทางเป็นปกติแบบเช่นในปัจจุบันแน่นอน

ดังนั้นเขาจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด แต่ก็ยังยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อบิดาและมารดาที่มีพลังฝึกตนอยู่ที่ขั้นกำเนิดแก่นในได้เลย ผลกระทบนี้แม้ว่าจะถูกเขาลดระดับลงมามหาศาล แต่ก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก ทำให้จิตใจของพ่อแม่เขาเหนื่อยล้า จำเป็นต้องหลับใหลเพื่อฝึกตนไปตามสัญชาตญาณ

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนี้ เขาก็โบกมือเพื่อให้บิดาและมารดาหลับไปแล้วส่งพวกท่านทั้งสองกลับห้องอย่างนุ่มนวล หวังเป่าเล่อยังแผ่พลังฝึกปรือเพื่อเพิ่มการคุ้มกันให้กับพวกเขาอีก จากนั้นก็รวมสารัตถะจำนวนน้อยนิดของตนผสานเข้าไปในร่างของพวกท่านทั้งสอง

สารัตถะนี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ถึงแม้แต่หนึ่งในล้านของตัวเขาเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้เยอะๆ แต่จุดเล็กน้อยนี่ก็เป็นจุดสูงสุดที่บิดามารดาสามารถดูดซับได้แล้ว

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กลับไปยังห้องในบ้านที่เตรียมเอาไว้ให้เขาตลอดมา แม้ว่าเขาจะยังไม่เคยอยู่ในห้องห้องนี้มาก่อน แต่ของตกแต่งทั้งหมดล้วนเหมือนกับความทรงจำในวัยเด็กของเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพติดบนผนัง หรือว่าของเล่นในวัยเด็ก ล้วนแต่เต็มไปด้วยสีสันแห่งความทรงจำอันล้ำลึก ทำให้หลังจากหวังเป่าเล่อกวาดสายตามอง แววตาทั้งคู่ของเขาก็อ่อนโยนยิ่งขึ้น

“กลับบ้านแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาลูบเตียงเล็กๆ ของตน บนนั้นสะอาดมาก เห็นได้ชัดว่าทั้งบิดาและมารดามาทำความสะอาดให้อยู่บ่อยๆ เบื้องหลังของพฤติกรรมรักษาความสะอาดเอาไว้เช่นนี้ ก็คือความคิดที่คอยเฝ้ารอให้ลูกชายกลับมาอยู่ตลอดเวลา

เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงเล็ก หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง ขณะที่ร่างกายเริ่มนิ่งสงบ บนร่างของเขาก็แผ่กระแสเต๋าออกมาช้าๆ จนตลบอบอวลไปทั่วห้องและแพร่กระจายออกไปด้านนอก ทำให้ทั่วทั้งนครศักดิ์สิทธิ์ล้วนตกอยู่ในสภาพแปลกประหลาดที่ไม่มีใครสังเกตเห็นในชั่วขณะนี้เอง

นี่ก็คือปราณวิญญาณที่เข้มข้นยิ่งกว่า ดอกไม้ใบหญ้าทั้งหมดในเมืองล้วนสั่นไหวราวกับกำลังตอบรับและคล้ายจะกู่ร้องยินดี ความเร็วในการเติบโตก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ยังมีสัตว์ทั้งหลายและแมลงที่ตัวสั่นระริกขึ้นในมาชั่วพริบตา ทอดมองไปไกลยังบ้านที่หวังเป่าเล่ออยู่ราวกับถูกดลบันดาล ราวกับถูกกระแสเต๋าอาบย้อม จนทุกๆ ตนต้องก้มกราบ

จากนั้นพวกมันก็แผ่ปราณวิญญาณ…สิ่งมีชีวิตสามัญเดิมทีก็ไม่อาจสร้างปราณวิญญาณออกมาได้ แต่ตอนนี้พวกมันคล้ายจะกลายเป็นสิ่งไม่ธรรมดาสามัญภายใต้อิทธิพลของกระแสเต๋าและแผ่ปราณวิญญาณออกมาด้วยตัวเอง ทำให้ทั่วทั้งนครศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ มีปราณวิญญาณแพร่กระจายออกมา

ส่วนกระแสปราณของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังแผ่ซ่านอย่างรวดเร็วไปด้านนอก จนกระทั่งแผ่กระจายไปยังสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทำให้การฝึกตนของนักเรียนทั้งหมดภายในสำนักเต๋าพุ่งพรวดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในค่ำคืนนี้และทำให้นกกับสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนพากันเงียบสงบ

ณ เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง วานรเพชรร่างกายมหึมาตนหนึ่งเดิมทีกำลังนอนหลับอยู่ แต่ตอนนี้พลันลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ ในแววตาเผยความสับสนงุนงง

ใต้ทะเลสาบสานุศิษย์ ปลาใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนแหวกว่ายอย่างรวดเร็วราวกับตื่นเต้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ณ จุดที่ลึกยิ่งกว่า…งูยักษ์ที่แฝงกายอยู่ในที่นี้มานานหลายปีจนมีร่างกายยาวถึงร้อยจั้งเต็มๆ ก็แผ่ประกายแสงเป็นการตอบรับเช่นกัน มันลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังนครศักดิ์สิทธิ์

กระแสเต๋ายังคงแผ่ซ่าน

แพร่กระจายไปยังสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แพร่กระจายไปยังขอบเขตทั่วทุกทิศอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถึงขั้นแพร่กระจายไปยังท้องทะเลแห่งอสูร ทำให้ตอนนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในท้องทะเลแห่งอสูรพากันสั่นสะท้าน ในส่วนลึกของท้องทะเลแห่งอสูรมีเจ้าแห่งสัตว์หลายตัวสถิตอยู่ ล้วนแต่ขยับเคลื่อนไหวด้วยความตกใจ

ยังมีกลุ่มไตรจันทรา ยังมีสำนักอีกหลายสำนัก ยังมีสำนักวิชาเต๋าอื่นๆ ยังมีนครอื่นๆ ยังมีคฤหาสน์ของประธานสหพันธรัฐ…สถานที่ทุกแห่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา

แต่น่าเสียดาย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ถึงแม้ร่างกายของสิ่งมีชีวิตจะมีการตอบสนอง แต่ส่วนใหญ่กลับคล้ายตั้งใจลืมเลือน ไม่มีความคิดสนใจสงสัยอยู่ในหัวเลย

ราวกับว่า…พวกเขาล้วนคิดว่าความไม่ปกติทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นปกติโดยสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ตระกูลจินผู้มีพลังฝึกปรือระดับดาวเคราะห์เต๋าในกลุ่มไตรจันทรา หรือว่าอู๋เมิ่งหลิงและจอมพลังคนอื่นๆ ของสหพันธรัฐในคฤหาสน์ประธานสหพันธรัฐก็ตาม หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนทั้งหมดภายในนั้น ซึ่งรวมไปถึงปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์หลี่สิงเหวินด้วย ล้วนไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่นิด

จนกระทั่งกระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อครอบคลุมทั่วทั้งโลก มองจากไกลๆ จะเห็นว่าดาวโลกกลายเป็นหมอกพร่าเลือนกลางอวกาศแล้ว ขณะที่เหมือนกับภาพลวงตาราวกับความฝันนั้น ก็มีปราณวิญญาณเล็กๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมา ขยายไปในอวกาศ

ขอบเขตของกระแสเต๋ายังคงแผ่ขยายไปจนถึงดาวอังคาร จนถึงทางด้านหลินโยว จนถึงดาวศุกร์ จนถึงดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ และสุดท้าย…ก็แผ่ขยายไปจนทั่วทั้งระบบสุริยะ

ในพริบตาระบบสุริยะก็เกิดการเปลี่ยนแปลงลึกลับขึ้นมา ขณะที่การเปลี่ยนแปลงนี้แผ่ขยายไป ทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะหลอมรวมเข้ากับระบบสุริยะอย่างล้ำลึก

เขาสัมผัสถึงพลังชีวิตของดวงดาวนับหมื่นและเสียงกู่ร้องยินดีที่มาถึงตัวเขาได้ สัมผัสถึงความสนิทชิดเชื้อที่มาจากดารานิรันดร์ของดวงเนตรสวรรค์ สัมผัสถึงความยินดีปรีดาที่มาจากดวงอาทิตย์ สัมผัสได้ถึงการเติบโตของทุกสรรพสิ่ง สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดภายในสหพันธรัฐ

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์กำลังกักตน ผู้อาวุโสของวังเต๋าไพศาลยังคงรักษาตัวอยู่

ทุกอย่างนี้ล้วนปรากฏขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันความรู้สึกที่ว่าตัวเขาเป็นระบบสุริยะก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงจุดแปลกประหลาดทั้งสามจุดในระบบสุริยะ

จุดหนึ่งอยู่บนดาวโลก จุดหนึ่งอยู่ที่ดาวแห่งความมืด จุดหนึ่ง…กลับอยู่ที่ดาวพฤหัสบดี

แทนที่จะบอกว่าเป็นจุด ไม่สู้บอกว่าเป็นประตูสามแห่ง

ประตูของสามบ้านที่ทั้งออกได้และก้าวเข้าไปได้ ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สังเกตอะไรมากเกี่ยวกับจุดสามจุดนี้ในสหพันธรัฐ แต่ในชั่วขณะนี้ทุกอย่างล้วนปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขาขณะที่กระแสเต๋าแผ่ขยาย

สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือจุดที่อยู่บนดาวพฤหัสบดี จุดนี้เป็นวังน้ำวนที่เล็กมากๆ จนยากจะสังเกตเห็น มันอยู่ในกลุ่มหมอก หลังจากดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อก่อตัวรวมกันเป็นเงาเต๋าแล้วยืนอยู่บนดาวพฤหัส ยืนอยู่นอกกลุ่มหมอก สายตาก็กวาดมองไป แววตาเผยความเยือกเย็น

เขายกมือขวาขึ้น ปราณกระบี่ของฝักกระบี่เจ้าชะตาสายหนึ่งปรากฏขึ้นทันใด ก่อนจะก่อตัวเป็นสายฟ้าสีเทาสายหนึ่ง พุ่งทะยานไปยังวังน้ำวนนั่นแล้วจมเข้าไปในพริบตา เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ไปอยู่ที่สถานที่ที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นแต่กลับไม่เคยไป

ที่นั่นมีเศษซากของอารยธรรมและประวัติศาสตร์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจายคล้ายกับกองขยะ ในส่วนลึกของซากปรักหักพังไร้ที่สิ้นสุดนี้มีสตรีคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ตอนนี้สตรีผู้นี้เบิกตาโพลงอยู่ พริบตาที่ดวงตาเผยความสงสัยและหวาดกลัวออกมานั้น สายฟ้าที่เกิดจากปราณกระบี่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของนางทันที แล้วพุ่งไปยังหว่างคิ้วของนางกะทันหัน

ชั่วขณะที่เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น สีหน้าของหญิงสาวพลันเปลี่ยนไปยกใหญ่ ร่างกายถอยร่นรวดเร็วแล้วผนึกมุทราอย่างว่องไว ด้านหน้ามีเงาเลือนรางของชายหญิงจำนวนนับไม่ถ้วนมาต้านทานอสนีบาตสายนี้พร้อมกันและกำจัดมันไปได้ แต่หลังจากสายฟ้าปราณกระบี่สายนี้ถูกกำจัดไป ก็มีคำพูดของหวังเป่าเล่อดังมาจากดาวพฤหัสบนสหพันธรัฐนอกอวกาศไร้ที่สิ้นสุด

“ไปซะ”

“หวังเป่าเล่อ?! เป็นไปไม่ได้!!” ดวงตาของหญิงสาวหดเกร็งทันที หัวใจเต้นรัวเร็ว วังน้ำวนที่นางทิ้งไว้ในสหพันธรัฐนี้ ต่อให้เป็นระดับดาราจักรก็ยากจะหาพบ มันคือหนึ่งในไพ่ลับของนาง แต่ตอนนี้กลับถูกคนใช้มันตามหาตำแหน่งของตนพบ

ดังนั้นจึงต้องตัดขาดวังน้ำวนนั่นตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่อาจตัดขาดได้ เพราะตอนนี้วังน้ำวนนั่นบนดาวพฤหัสถูกหวังเป่าเล่อใช้มือจับเอาไว้แล้ว หลังจากผนึกมันได้ก็เก็บเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ

“จื่อเยว่…” ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง แค่นเสียงเย็น เขาเพิ่งจะกลับมายังสหพันธรัฐ ยังไม่คิดจะจากไปโดยเร็วขนาดนี้ จึงปล่อยอีกฝ่ายไปชั่วคราว แต่อสนีบาตก่อนหน้านี้ได้ตรึงตำแหน่งอีกฝ่ายไว้แล้ว

จากนั้นเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็สลายไป พริบตาต่อมา เขาพลันปรากฏตัวขึ้นที่ส่วนในของดาวแห่งความมืด ที่นี่มี…บ่อน้ำแห่งนึ่ง

เขายืนอยู่ข้างบ่อน้ำ สัมผัสถึงคลื่นความตายที่แผ่ออกมาจากข้างใน หวังเป่าเล่อเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วยกมือขวาขึ้นไปกดที่บ่อน้ำ ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังกึกก้อง ปากบ่อน้ำเริ่มพังทลาย ขณะเดียวกันก็มีเสียงคำรามต่ำดังออกมาจากในนั้น ในน้ำเสียงมีความโกรธเกรี้ยวแผ่ออกมา

“ใครกล้าทำลายดวงเนตรแห่งโลกภายนอกของสำนักแห่งความมืดของข้า แจ้งนามของเจ้ามา สำนักแห่งความมืดของข้า…”

“หวังเป่าเล่อ!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบ

ขณะที่คำพูดนี้ดังออกมา ปากบ่อน้ำที่พังทลายนั่นก็เงียบกริบทันที

………………