ตอนที่ 830 รับลูกศิษย์

หมอดูยอดอัจฉริยะ

วรยุทธของเหลยหู่นั้น ได้รับการถ่ายทอดวิชามวยทงปี้มาจากเหลยเจิ้นเทียน จางเช่อยอดหมัดมวยเป็นผู้พัฒนาส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรือง ตอนนั้นเขาก็เป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงพอๆ กับทวนเทพเจ้าหลี่ซูเหวินกับดาบใหญ่หวังอู่เช่นกัน

แต่สิบกว่าปีให้หลัง มวยทงปี้กลับเสื่อมโทรม จะมีก็เพียงเหลยเจิ้นเทียนที่อยู่ต่างประเทศที่ยังพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง นอกจากนี้เหลยเจิ้นเทียนก็ฝึกเข้าสู่ขั้นสุดยอดในวัยชรา จึงถือว่าเป็นปรมาจารย์ระดับสูงคนหนึ่ง

เพียงแต่เหลยหู่ที่ละทิ้งวิชาการฝึกพลังยุทธมานาน แถมอายุก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่สามารถบรรลุขั้นพลังแฝงได้ เหลยเจิ้นเทียนจึงไม่ได้คาดหวังในตัวเขามากเท่าใด ดังนั้นแก่นแท้ของการฝึกมวยภายในส่วนมากจึงไม่ได้ถ่ายทอดให้แก่เขา

ถึงแม้ในยุคปัจจุบันนี้ จะมีสำนักต่างๆ ในยุทธภพก็จริง หัวใจสำคัญของการฝึกพลังสับเปลี่ยนนั้นจะมีมาก แต่นั่นก็เป็นเคล็ดวิชาลับของสำนักต่างๆ คนนอกจึงไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ แต่ก่อนเหลยหู่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ถ้าอยากจะรีบเรียนก็คงไม่ทันแล้ว

ดังนั้นตอนที่เยี่ยเทียนสั่งให้เหลยหู่เดินเส้นลมปราณดูดซับพลังแห่งฟ้าดินนั้น เหลยหู่จึงงงทันที เขาบรรลุขั้นพลังสับเปลี่ยนก็จริง แต่พลังเหล่านั้นก็ยังมาจากการเดินพลังยุทธที่เคยฝึกอยู่ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะฝึกอย่างไรโดยสิ้นเชิง

“ไม่เข้าใจ?”

เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าเหลยหู่จะพูดแบบนี้ออกมา จึงอดส่ายหน้าไม่ได้ เหลยเจิ้นเทียนเป็นวีรบุรุษก็จริง แต่ความสามารถในการอบรมสั่งสอนบุตรนั้นมีจำกัดมาก เหลยหู่ไม่สามารถรับการถ่ายทอดวิชาจากเขาได้ เพราะความมีน้ำใจของเขานั้น ยังห่างจากเหลยเจิ้นเทียนมากนัก

เมื่อลองคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูดว่า “วิชาฉันก็พอมีอยู่ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดให้แกได้ ช่างเถอะ แกไปนั่งทำสมาธิก็แล้วกัน”

ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะยึดถือประเพณีเก่าแก่ที่ว่า “มอบให้แต่ลูกชาย ไม่ให้ลูกสาว” เหมือนอย่างที่ในยุทธภพพูดกัน เพียงแต่เขาไม่ชอบเหลยหู่ เพราะเขามีจิตใจคับแคบ เยี่ยเทียนไม่อยากมอบวิชาให้กับคนแบบนี้

“ท่านเยี่ย อย่าสิครับ ท่านเป็นผู้อาวุโส ถือเสียว่าช่วยชี้แนะผู้น้อยสักหน่อยเถอะ!”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงหวั่นใจ ความจริงตอนที่เยี่ยเทียนสู้ชนะพ่อของเขาในตอนนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่า ความแข็งแกร่งของพลังที่อยู่นอกร่างกาย ยังสู้พลังที่ยิ่งใหญ่ของคนผู้เดียวไม่ได้ ก็เหมือนอย่างเยี่ยเทียน เพราะบนโลกใบนี้ยังมีใครที่กล้าหลอกลวงคนอย่างเขา?

ดังนั้นสองสามปีที่ผ่านมาเหลยหู่จึงเริ่มฝึกวิชาที่ทิ้งไปอีกครั้ง เพียงแต่กระดูกกระเดี้ยวของเขามีอายุเกินที่จะฝึกวรยุทธไปนานแล้ว ถ้าหากไม่ได้พบเจอความโชคดีโดยแท้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของเขาอย่างมากก็อยู่แค่ขั้นพลังแฝง ส่วนพลังสับเปลี่ยนน่ะหรือ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

เหลยหู่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะแขนขาดไปหนึ่งข้าง แต่ในด้านของศิลปะการต่อสู้นั้น เขาก็อยู่ในระดับสูงสุดของชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยากจะเบิกความสว่างทางสติปัญญาได้ ไม่แน่หากเขาได้บรรลุอีกขั้น ก็อาจจะสามารถเหาะไปในอากาศ ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเหมือนอย่างเยี่ยเทียน แบบนั้นถึงจะเรียกว่ายิ่งใหญ่ของจริง

“แกพื้นฐานจิตใจไม่ดี ฉันไม่อยากถ่ายทอดวิชาให้แก!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขาดูโหงวเฮ้งของเหลยหู่นานมาแล้ว คนผู้นี้มีจมูกเหมือนเหยี่ยวตาเหมือนเสือ มีท่าทางของสิงห์ร้ายที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยาน นอกจากนี้ยังมีแผนการลุ่มลึก มีความแค้นก็ต้องชำระให้ได้ ทำให้เยี่ยเทียนไม่ชอบ

เหลยหู่ถูกเยี่ยเทียนพูดใส่จนหน้าแดง จากนั้นจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างจริงจังว่า

“ท่านเยี่ย เหลยหู่จิตใจโสมมมานาน แต่ตอนนี้ผมกลับใจแล้ว นอกจากนี้ด้วยร่างกายที่พิการของผม ก็คงไม่มีแรงไปแย่งชิงอำนาจได้อีก ถ้าหากท่านถ่ายทอดวิชาให้กับผม เหลยหู่ก็จะคารวะและกราบเป็นลูกศิษย์ของสำนักท่านเยี่ยครับ ยอมเป็นวัวเป็นควายเป็นทาสรับใช้ไปตลอดชีวิต!”

เมื่อสัมผัสถึงปราณชีวิตแท้ที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของตัวเองแล้ว เหลยหู่เพิ่งเข้าใจแก่นแท้ของสัจธรรม

การเลื่อนขั้นในครั้งนี้ เหมือนเป็นการเปิดหน้าต่างหัวใจอีกบานหนึ่งของเขา ทำให้เหลยหู่มองเห็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ดังคำกล่าวที่ว่าการฝึกกายต้องฝึกจิตก่อน แต่เหลยหู่กลับตรงข้ามพอดี การพัฒนาของพลังยุทธ ทำให้เขาเป็นคนใจกว้างขึ้นมา

“หืม? กราบเป็นศิษย์สำนักฉัน?”

เยี่ยเทียนได้ยินจึงเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา ยามที่สำนักและวิชาถึงช่วงเสื่อมถอย กับคนที่สามารถบรรลุขั้นพลังสับ เปลี่ยนได้นั้น ล้วนเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ทั้งสิ้น ถ้าหากเหลยหู่เข้าร่วมสำนักเสื้อป่าน ก็จะสามารถกู้สถานการณ์ได้ โดยเฉพาะเรื่องการจัดการติดต่อสัมพันธ์กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  ซึ่งเขาน่าจะทำได้ดีกว่าโจวเซี่ยวเทียนเป็นอย่างมาก

และทุกวันนี้สำนักเสื้อป่านก็มีลูกศิษย์อยู่น้อยนัก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะให้เหลยหู่จัดทีมเพื่อรับลูกศิษย์นอกสำนัก ถือว่าทำให้ความปรารถนาของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนได้เป็นความจริง ทำให้สำนักเสื้อป่านเจริญรุ่งเรือง

เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงโบกมือไปที่เหลยหู่ พลางพูดว่า

“แกมานี่ แล้วหันหน้าออกไป”

“ท่านเยี่ย ท่านจะทำอะไรครับ?”

เหลยหู่ได้ยินจึงตกใจ เพราะศีรษะด้านหลังนั้นเป็นส่วนที่ถูกคนทำร้ายได้ เพียงแค่สัมผัสไม่ใช่แค่บาดเจ็บแต่ตายสถานเดียว แต่ว่าเมื่อนึกถึงฝีมือของเยี่ยเทียนแล้ว ถ้าอยากจะจัดการกับตัวเองก็ง่ายยิ่งกว่าขยี้มดสักตัวเสียอีก จึงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนี้ ดังนั้นเหลยหู่จึงรีบหันหลังให้เยี่ยเทียนทันที

“พอได้ ถึงแม้แกจะมีนิสัยอันธพาลไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ฉันขอลองคิดดูก่อนนะ!”

มือขวาของเยี่ยเทียนจับไปที่ด้านหลังศีรษะของเหลยหู่เบาๆ พบว่าเขาไม่มีกระดูกที่คิดคดทรยศ แต่เขากลับคลำเจอกระดูกของความกตัญญู ดังคำโบราณกล่าวว่า ในความดีทั้งหลายความกตัญญูมาเป็นอันดับแรก ถึงแม้เหลยหู่จะมีหลายด้านที่ไม่ดี แต่ก็มีความกตัญญูรู้คุณ จึงพอที่จะสามารถลบล้างความผิดที่เขาทำทั้งหมด

การรับศิษย์ของชาวยุทธภพนั้น ดูเรื่องนิสัยเป็นอย่างแรก หากเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน จะไม่มีทางทำร้ายอาจารย์ล้มสำนักเด็ดขาด หลังจากที่คลำเจอกระดูกกตัญญูของเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนจึงเกิดความคิดอยากรับเขาเป็นลูกศิษย์จริงๆ

เมื่อเปรียบเทียบผลดีกับผลเสียแล้ว เยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูดว่า

“เหลยหู่ เมื่อเข้าสู่สำนักเสื้อป่านแล้ว จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนัก แกยินดีไหม?”

“ศิษย์ยินดีครับ!”

เหลยหู่ใช้ชีวิตในสังคมมานาน มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน ดังนั้นเขาจึงใช้แขนซ้ายยันตัวเองขึ้น มา แล้วคุกเข่าจ้องมองเหม่ออยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน พลางพูดว่า

“ขอให้อาจารย์รับการคารวะจากลูกศิษย์ เหลยหู่ขอสาบานต่อสวรรค์ เป็นครูหนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต ผมจะไม่ทำเลวใช้ชีวิตไปวันๆ อีกเด็ดขาด หากผิดคำสาบาน ขอให้โดนฟ้าผ่าตาย!”

เหลยหู่รู้ว่า เรื่องที่เคยทำเมื่อสองสามปีก่อนรวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันของตัวเองนั้น อาจจะพูดออกมาได้ไม่ทั้งหมด และที่เยี่ยเทียนไม่ชอบตัวเอง ก็น่าจะเป็นเพราะสาเหตุเหล่านี้ ดังนั้นจึงใช้คำสาบานที่รุนแรงในประโยคแรก เพื่อแสดงท่าทีของตัวเอง

“อืม ถือว่าแกเสาะแสวงหาครูได้กลางทาง จึงไม่สามารถเรียนรู้วิชาการทำนายโชคชะตาของสำนักเสื้อป่านได้ ดังนั้นฉันจะรับแกเป็นศิษย์เฉยๆ ก็แล้วกัน”

เยี่ยเทียนนั่งบนแพชูชีพ แล้วพูดว่า

“แกไหว้สามครั้งก็พอ วันหลังค่อยจัดพิธีไหว้ครูบวงสรวงบรรพบุรุษ ตอนนี้ทุกอย่างให้จัดการอย่างง่ายๆ ไปก่อน”

การคารวะอาจารย์อย่างเป็นทางการนั้น ไม่ใช่แค่คุกเข่าสามครั้งไหว้เก้าครั้ง แต่ยังมีการยกน้ำชาเพื่อเสดงความเคารพต่ออาจารย์อีก ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหลยหู่แค่ก้มศีรษะก็แทบจะซบไปที่อ้อมอกของเขาแล้ว ดังนั้นพิธีการพวกนั้นจึงไม่สามารถดำเนินได้

“ครับ อาจารย์!”

เหลยหู่ได้ยินก็ไม่ลังเลอีก จากนั้นจึงใช้แขนข้างเดียวยันร่างกายเอาไว้ แล้วคำนับไปทางเยี่ยเทียนสามครั้ง ทำเอาทั่วทั้งแพชูชีพโอนเอนขึ้นมา

“ทำไมถึงนึกไม่ถึง ว่าฉันกับแกจะมีวาสนาเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์?”

หลังจากเหลยหู่คุกเข่าไหว้เสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็มองไม่ออกอยู่ดีว่า เหลยหู่จะกลายเป็นศิษย์ในสำนักของพวกเขา!

“เหลยหู่ สำนักเสื้อป่านของเราตอนนี้มีห้าคน นอกจากฉันกับอาจารย์ลุงทั้งสองของแกแล้ว ยังมีศิษย์พี่ชายกับศิษย์พี่หญิงอีกอย่างละหนึ่งคน วรยุทธของศิษย์พี่ของแกเข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนนานแล้ว ส่วนอาจารย์ลุงทั้งสองนั้นก็กำลังจะเข้าสู่ขั้นการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า

สามารถพูดได้ว่า ถึงแม้คนของพวกเราจะน้อย แต่แค่ออกไปสักคนหนึ่ง ก็สามารถเลือกที่จะเข้าสำนักไหนในยุทธภพก็ได้ แกเข้าร่วมสำนักเสื้อป่านแล้ว จะลดความน่าเกรงขามของสำนักของพวกเราไม่ได้นะ…”

เยี่ยเทียนแนะนำบุคคลในสำนักให้เหลยหู่ฟังอย่างคร่าวๆ โจวเซี่ยวเทียนมีพรสวรรค์ที่ดีในการฝึกวรยุทธ บวกกับมีพลอยวิเศษของเยี่ยเทียนเป็นตัวช่วย ตอนนี้เขาจึงเข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนขั้นกลางแล้ว แต่ถ้าเขาจะไล่ตามโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นนั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอีกนานมาก

ส่วนหลิวติงติง หลังจากที่แต่งงานกับโจวเซี่ยวเทียนแล้ว กลับไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธอีก แต่กลับศึกษาเรียนรู้วิชาการทำนายโชคชะตากับจั่วเจียจวิ้น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง และส่วนใหญ่เธอก็จะได้รับความนิยมในหมู่ของผู้หญิงมีฐานะทางสังคมชั้นสูงในเกาะฮ่องกงเป็นอย่างมาก

“นอกจากนี้รอให้แกมีเวลาก่อน ก็ลองรับลูกศิษย์ที่จิตใจดีเพิ่มมาบ้าง ถึงตอนนั้นก็จะให้แกเป็นคนอบรมชี้แนะ!”

หลังจากพูดอ้อมมาเสียนาน สุดท้ายเยี่ยเทียนก็พูดจุดประสงค์ที่รับตัวเองเป็นลูกศิษย์ออกมา เพราะถึงแม้เขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งมาก แต่ด้วยนิสัยแท้ๆ ของเขาแล้วรักความอิสระ ถ้าหากจะให้เขารับลูกศิษย์และคอยอบรมสั่งสอนนั้น เยี่ยเทียนไม่สามารถทนอยู่ได้แม้แต่วันเดียว

“ครับ อาจารย์วางใจได้ สมาคมหงเหมินของพวกเรายังมีประเพณีการฝึกวรยุทธอยู่ ถึงตอนนั้นผมจะเลือกหาต้นกล้าที่ดีออกมา ให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในสำนักเสื้อป่านครับ!”

เหลยหู่ไม่ได้พูดโม้แต่อย่างใด สมาคมหงเหมินมีประเพณีอย่างหนึ่ง ก็คือรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเชื้อสายจีนจากทั่วโลก และตอนนี้ได้สร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่น้อยกว่าห้าสิบแห่งในประเทศต่างๆ แล้ว ในหมู่ของเด็กพวกนี้ก็มีเด็กที่จิตใจดีและมีกำลังดีอยู่พอสมควร และพวกที่มีกำลังดีที่อยู่ในหงเหมินส่วนใหญ่ ล้วนแต่หาเพิ่มมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพวกนี้ทั้งนั้น

“อย่างนั้นก็ดี รอให้พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อน แกกับอาจารย์ลุงจั่วของแกก็ค่อยปรึกษาหารือกัน ส่วนสถานที่นั้นให้เลือกที่ฮ่องกง!”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงสบายใจขึ้นมา เพราะความปรารถนาที่เคยรับปากอาจารย์ไว้นานหลายปี วันนี้เริ่มมีเค้าโครงในที่สุด และเชื่อว่าด้วยเครือข่ายกับเส้นสายในฮ่องกงของจั่วเจียจวิ้นกับความสามารถของเหลยหู่นั้น จะสามารถทำให้สำนักเสื้อป่านกลับมาปรากฏตัวอยู่ในยุทธภพได้อีกครั้ง

“บ้าเอ้ย ถึงความคิดจะดียังไง ก็ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนอยู่ดี!”

ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็นึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ จึงรู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมา เขามั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าสิ่งที่ห่อหุ้มเกาะที่ไร้พรมแดนขนาดใหญ่แห่งนี้ ก็คือค่ายกลอย่างหนึ่ง และด้วยความสามารถของเยี่ยเทียนในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะออกไปจากค่ายกลเลย แม้แต่ฐานที่มั่นของเกาะแห่งนี้เขาก็ยังสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ฉันจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับแก แกลองเอาไปฝึกดูก่อน หากมีปัญหาอะไรค่อยมาถามฉัน!”

หลังจากส่ายหัวแล้ว เยี่ยเทียนจึงกำจัดความกลุ้มใจที่อยู่ในใจออกไป แล้วใช้พลังจิตถ่ายทอดเคล็ดวิชาวรรคหนึ่งไปยังจิตสำนึกของเหลยหู่

“ขอบคุณอาจารย์ครับ!”

เมื่อได้อ่านเคล็ดวิชาที่ได้รับการถ่ายทอดจากเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน หลังจากกราบขอบคุณเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงรีบนั่งขัดสมาธิบนแพชูชีพ โดยไม่สนใจว่าแพจะลอยอยู่บนทะเลอีกแล้ว จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวรยุทธขึ้นมา

“ดังคำโบราณกล่าวไว้มีเรื่องอะไรลูกศิษย์ที่ดีก็จะช่วยรับหน้าไว้ แต่ทำไมถึงตาฉันถึงกลับตรงกันข้าม?”

มองดูเหลยหู่ที่เข้าฌานไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดเย้ยหยันตัวเอง มือซ้ายหยิบไม้พายขึ้นมา จากนั้นจึงหงายข้อมือขวาขึ้นแล้วจับมีดสั้นอู๋เหินวางไว้ในมือ

เมื่อวานตอนที่ต่อสู้กับฉงฉี อู๋เหินได้ติดเลือดของมันมาด้วย ทำให้แสงสว่างหม่นลงไป หลังจากผ่านการบำรุงหล่อเลี้ยงนานกว่าสิบชั่วโมงของเยี่ยเทียนแล้วถึงได้ฟื้นฟูกลับมา

………………………….