“ในบัตรใบนี้มีเงิน 100 เหรียญสวรรค์ ทั้งหมดที่ผมอยากขอร้องคุณก็คือช่วยรักษาลูกชายของผมอย่างสุดความสามารถ ถ้าเขาหายดี ผมจะจ่ายให้คุณเพิ่มเป็น 10 เท่าของมูลค่าในบัตรใบนี้สำหรับความดีความชอบของคุณ!”
รวมแล้ว นายพลเกราะเงินกำลังเสนอเงินถึง 1,000 เหรียญสวรรค์ให้จางเซวียนเป็นค่ารักษาลูกชายของเขา มันคือเงินจำนวนสูงลิ่วแม้จะใช้มาตรฐานของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน
คำพูดนั้นทำให้ฝูงชนที่อยู่โดยรอบอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ผมไม่รับเงินของคุณหรอก เก็บไปเถอะ” จางเซวียนส่ายหน้า
เขาพอเข้าใจว่าทำไมฟ่านเจ๋อถึงเปิดสอนพิเศษเพื่อหาเงินเพิ่ม
นับตั้งแต่เกิดการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ สิ่งมีชีวิตทุกประเภทในสรวงสวรรค์ก็หลั่งไหลเข้ามาแออัดกันอยู่ในเมือง ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์และค่าครองชีพพุ่งพรวด
เงินและทรัพยากรที่มากพอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี อีกอย่าง บรรดาพ่อแม่ก็ยินดีจ่ายเพิ่มอยู่แล้วหากจะเป็นประโยชน์กับลูกๆของพวกเขา ฟ่านเจ๋อจึงพ่ายแพ้ต่อความเย้ายวนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะคนอื่นๆพร้อมใจมอบเงินและทรัพยากรต่างๆให้ ฟ่านเจ๋อก็คงไม่คิดจะเปิดชั้นสอนพิเศษและอื่นๆอย่างที่เขาทำอยู่
หลังจากปฏิเสธนายพลเกราะเงินแล้ว จางเซวียนหันกลับมามองจัวเหยียนและสั่งการ “ออกหมัดพื้นฐานซิ ผมอยากรู้ว่าคุณยังขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์ได้หรือไม่”
จัวเหยียนออกจะลังเล แต่เมื่อเห็นทีท่าอ่อนโยนและแววตาแจ่มใสของจางเซวียน ก็ยอมกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้และยกแขนขึ้นเพื่อออกหมัดพื้นฐาน
วิ้ง!
หนังสือเล่มหนึ่งถูกประมวลขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า
“จัวเหยียน, พลเมืองของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน นักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ…ด้วยความผิดพลาดในการฝึกฝนวรยุทธ วรยุทธของเขาจึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก…”
ไม่ช้าจางเซวียนก็อ่านจบ เขาส่ายหน้า
กลับกลายเป็นว่าความโกรธเกรี้ยวของนายพลเกราะเงินไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ที่จัวเหยียนลงเอยด้วยสภาพนี้จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับฟ่านเจ๋อ, อาจารย์ของเขาอย่างแน่นอน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” นายพลเกราะเงินถามอย่างวิตกเมื่อเห็นทีท่าของจางเซวียน
“อาการของเขาไม่ค่อยดี แต่ผมคิดว่าผมรักษาได้” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ
“คุณรักษาได้?” นายพลเกราะเงินตาโตก่อนจะประสานมืออย่างร้อนใจ “ได้โปรดช่วยชีวิตลูกชายของผมด้วย ผมพร้อมทำทุกอย่างให้คุณ ขอแค่เขากลับมาหายดี!”
“ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นหรอก ผมจะทำเต็มที่”
จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำเข็มเงินออกมาหลายเล่มก่อนจะสั่งจัวเหยียน “อดทนไว้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าต่อต้านผม”
จากนั้นเขาก็ปล่อยเข็มเงินทั้งหมดให้พุ่งเข้าปักจุดชีพจรของเด็กหนุ่ม
จัวเหยียนกำลังสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงอาการชาที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แล้วพลังงานประหลาดก็ซึมซาบเข้าสู่ร่างของเขา
ขณะที่พลังงานประหลาดนั้นไหลเวียนไปทั่ว ทางเดินพลังปราณที่เคยเสียหายจากผลของการที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรกก็เยียวยาตัวเองอย่างรวดเร็ว กลับคืนสู่สภาพเดิม
“ฮะ…”
จัวเหยียนตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาอาจยังหนุ่ม แต่เพราะมาจากตระกูลของนายพล จึงได้รู้เห็นอะไรมากมาย
เมื่อทางเดินพลังปราณของเขาถูกทำลายหลังจากที่วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก เขาก็รู้ทันทีว่าชีวิตนักรบของเขาจบเห่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิม ที่น่ากังวลมากกว่าก็คือจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน…
แต่ด้วยเข็มเพียงไม่กี่เล่ม ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็เยียวยาทางเดินพลังปราณของเขาให้กลับสู่สภาพเดิมได้ ไม่เพียงเท่านั้น พลังงานสวรรค์ที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขายังค่อยๆไปรวมตัวกันที่จุดตันเถียนด้วย!
มันน่าทึ่งจนเขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้สุดแสนจะเหลือเชื่อ
นายพลเกราะเงินเห็นสายตาประหลาดของลูกชายหลังจากที่เข็มเงินปักเข้าที่จุดชีพจร เขารีบถามด้วยความกังวล “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“ท่านพ่อ ผมคิดว่า…ผมหายแล้ว”
ขณะที่พูด จัวเหยียนผู้อ่อนระโหยโรยแรงก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วตั้งท่าพร้อมต่อสู้
ในชั่วพริบตา เขาก็สำแดงเทคนิคเพลงหมัดอันทรงพลังที่ทำให้ลมหอบใหญ่พัดหวีดหวิวไปทั่วห้อง “ผะ-ผมตาฝาดหรือเปล่า?”
“เขาหายดีหลังจากถูกฝังเข็มเงินเพียงไม่กี่เล่ม?”
“เหลือเชื่อ! ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย…”
ฝูงชนพากันงงงัน
เมื่อครู่นี้พวกเขาเห็นแล้วว่าอาการของจัวเหยียนสาหัสขนาดไหน ขนาดนายแพทย์หยูเฟิงผู้ทรงเกียรติก็ทำได้แค่ให้คำวินิจฉัยในแง่ร้าย พวกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มคงต้องพิการไปตลอดชีวิต ใครจะไปรู้ว่าชายหนุ่มจะหายดีได้ด้วยการฝังเข็มเพียงไม่กี่เล่ม?
แถมอีกฝ่ายยังดูกระชุ่มกระชวยกว่าเดิมด้วย
เหลือเชื่อจริงๆ!
“น้องจาง นี่มัน…”
นายพลเกราะเงินพูดไม่ออก
ถ้าไม่ใช่เพราะคนป่วยคือลูกชายของเขาและเขาได้พยายามรักษาทุกวิถีทางแล้ว ก็คงจะสงสัยว่าสองคนนี้รวมหัวกันเล่นละครตบตาเขาหรือเปล่า
จางเซวียนลุกขึ้นยืน “ผมส่งพลังงานสวรรค์ของเขากลับสู่จุดตันเถียน พร้อมกับซ่อมแซมทางเดินพลังปราณที่ถูกทำลาย”
ฟ่านเจ๋อกับหยูเฟิงกลอกตา
การที่วรยุทธของนักรบคนหนึ่งถูกธาตุไฟเข้าแทรกหมายความว่าพลังงานในร่างของเขาจะเสียหายและผิดเพี้ยนไป อีกฝ่ายดึงพลังงานนั้นกลับมาได้ แถมซ่อมแซมทางเดินพลังปราณที่ถูกทำลายได้ด้วย…เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ในเมื่อคุณรักษาเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ ผมก็เชื่อว่าคุณน่าจะรู้ว่าวรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกเพราะอะไร ผมก็สอนเขาเหมือนที่สอนลูกศิษย์คนอื่นๆ ไม่มีใครเคยเจออะไรแบบนี้ แล้วทำไมถึงเกิดปัญหากับจัวเหยียน?” ฟ่านเจ๋อถาม
หากเขาไม่ขุดเรื่องนี้ คงต้องถูกตราหน้าไปตลอดว่าเป็นอาจารย์ห่วยแตก
“ผมรู้ว่าทำไมวรยุทธของเขาถึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก” จางเซวียนพูด “คุณอยากรู้จริงๆหรือ?”
“ใช่ ผมอยากรู้” ฟ่านเจ๋อพยักหน้า
คนอื่นๆในห้องก็มองมาด้วยความสนใจ
พวกเขาพบว่ามันแสนจะเหลือเชื่อที่วรยุทธของนักรบคนหนึ่งจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกเพียงเพราะฝึกฝนเทคนิควรยุทธขั้นพื้นฐาน ดังนั้น หากรู้เบื้องหลังของความผิดปกติครั้งนี้ ในอนาคตก็น่าจะป้องกันได้
“มันมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการสอนพิเศษของคุณ” จางเซวียนพูด
“การสอนพิเศษ?” ฟ่านเจ๋อถึงกับงง
จางเซวียนหันไปมองนายพลเกราะเงิน “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบนายพลเกราะเงินคนนี้ แต่เท่าที่ผมรู้มา ดูเหมือนคุณคาดหวังจะได้เห็นลูกชายประสบความสำเร็จในชีวิต อยากให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเหมือนคุณ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า ไม่ปฏิเสธสักคำ
ในฐานะนายพลของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน เขามีอิทธิพลและเกียรติยศมากมาย ทุกคนต่างคิดว่าลูกชายของเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ปราดเปรื่องเท่าไหร่ ถึงขนาดไม่สามารถผ่านการทดสอบเข้าสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ได้
เป็นธรรมดาที่นายพลเกราะเงินจะรู้สึกร้อนใจและพยายามผลักดันลูกชายของเขาอย่างเต็มที่
การที่เขาส่งจัวเหยียนมาเรียนที่นี่และให้เรียนพิเศษทุกรูปแบบคือหลักฐานที่บอกชัด นายพลเกราะเงินหวังว่าลูกชายของเขาคนนี้จะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง และสืบทอดชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลต่อไป
ในตอนแรก เขาแสนจะยินดีปรีดาที่ได้เห็นวรยุทธของลูกชายเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นเทพเจ้าขั้นต่ำ แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่การฝ่าด่านวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำไปเป็นเทพเจ้าขั้นกลาง วรยุทธของลูกชายของเขาก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรก ทำเอาเกือบเสียชีวิต
นายพลเกราะเงินติดภารกิจของกองทัพเสมอ และเพิ่งได้หยุดพักเมื่อ 2-3 วันก่อน ต้องขอบคุณวันหยุดที่ทำให้เขาเห็นความผิดปกติของลูกชายและช่วยชีวิตได้ทันเวลา หากเขาติดภารกิจอยู่ข้างนอก กว่าจะรู้ข่าวก็คงสายเกินไป
เขาจะรู้สึกผิดและโทษตัวเองขนาดไหนหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้น?
แค่คิดก็ทำให้เขาหวาดผวาอย่างหนัก ทำให้คุมสติไม่อยู่และบุกพรวดพราดเข้ามา
“ตั้งแต่ยังเด็ก…” จางเซวียนพูด “จัวเหยียนถูกปลูกฝังความคิดที่ว่าเขาจะต้องได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างเหมือนคุณ แม้สติปัญญาของเขาจะอ่อนด้อย แต่ก็ต้องแบกรับความกดดันทุกรูปแบบ ต้องขยันศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก เรียนพิเศษครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหวังว่าจะไม่ถูกทิ้งให้ล้าหลังเพื่อนรุ่นเดียวกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่มีเวลาหยุดพักจากการฝึกฝนวรยุทธเลยแม้แต่วันเดียว!”
จัวเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังก้มหน้างุดและเงียบกริบ
ส่วนนายพลเกราะเงินก็โพล่งออกมา “นักรบควรผลักดันตัวเองอย่างสุดกำลังขณะที่อายุยังน้อย หากอายุเท่าผมแล้ว การผลักดันตัวเองจะมีประโยชน์อะไร? ผมทำแบบนี้ก็เพราะเห็นแก่อนาคตของเขา! อีกอย่าง ถ้าเขาไม่ได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ด้วยอายุขัยของนักรบระดับเทพเจ้าโดยทั่วไป การจะมีชีวิตอยู่ให้ถึง 100 ปีก็เป็นเรื่องยาก ผมน่ะมีอายุขัย 1,000 ปีนะ แล้วผมจะต้องทนดูลูกชายของผมแก่ตัวและตายไปก่อนโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?”
“ผมไม่ได้จะบอกว่าสิ่งที่คุณวางแผนไว้ให้ลูกชายนั้นไม่ยุติธรรม แต่การฝึกฝนวรยุทธไม่ใช่การตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนไม่รู้จบ” จางเซวียนตอบ “ความก้าวหน้าจะต้องมาคู่กับความสมดุล นอกจากการยกระดับวรยุทธ นักรบจะต้องบ่มเพาะเจตจำนงและสภาวะจิตของเขาด้วย หากดันทุรังฝึกฝนโดยไม่มีเวลาหยุดพักและสำรวจสภาวะของตัวเอง ก็ยากที่จะเดินไปถึงเป้าหมายที่วางไว้”
จางเซวียนพอเข้าใจหัวอกของพ่อแม่ที่อยากเห็นลูกได้ดี เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขา แต่เรื่องแบบนี้จะคิดน้อยเกินไปไม่ได้
การประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นจากปัจจัยหลายอย่าง เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะทำสำเร็จเหมือนกันหมด
“จัวเหยียนพยายามอย่างหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามความคาดหวังของคุณ ถึงขนาดทุ่มสุดตัวเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธก่อนที่จะทันได้ขัดเกลาวรยุทธของตัวเองเสียอีก ความกดดันใหญ่หลวงทำให้เจตจำนงของเขาอ่อนแอและไม่อาจรวบรวมสมาธิเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนอาจารย์ฟ่านเจ๋อจะบอกอะไรบางอย่างกับจัวเหยียนระหว่างการเรียนพิเศษ ซึ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น”
ฟ่านเจ๋อดูจะสับสนเล็กน้อยก่อนจะตาโตด้วยความตกใจ
“เขาเรียนพิเศษกับคุณมาก็ระยะหนึ่งแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลาง” จางเซวียนพูดต่อ “ผมเดาว่าคุณยื่นคำขาดกับเขา สั่งให้เขาฝ่าด่านวรยุทธให้ได้ภายในคืนนี้!”
“เจตจำนงของเขาอ่อนล้าอยู่แล้วจากความเครียดและความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ ซึ่งคำพูดของคุณคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ เขาหมดความอดทน ทำให้ปีศาจใต้สำนึกมีอำนาจเหนือกว่า ส่งผลให้เกิดสภาพอย่างที่พวกเราเห็น”
นายพลเกราะเงินเงียบกริบก่อนจะมองหน้าจัวเหยียนด้วยสีหน้าที่อธิบายได้ยาก “ที่น้องจางพูดเป็นความจริงหรือเปล่า?”