ตอนที่ 930 ศึกใหญ่กับมนุษย์ปีศาจ (ต้น)

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่ง มุกกลมสีดำลูกหนึ่งก็ลอยกลับมาจากกองเศษเนื้อแล้วร่วงลงในมือเขาอย่างมั่นคง มันก็คือมุกพลังวารีนั่นเอง

ที่แท้ตอนที่เขาโจมตีทะลุผ่านไปก่อนหน้านี้ เขาทิ้งมุกพลังวารีไว้ในท้องของหลงเซวียนด้วย

ทว่าสิ่งที่หลิ่วหมิงไม่ทันสังเกตก็คือท่ามกลางเศษเนื้อที่ปลิวกระจายนับไม่ถ้วนมีหนอนตัวเล็กสีเลือดขนาดเท่าหัวแม่มือตัวหนึ่งปะปนอยู่ด้านใน ในเวลาเดียวกับที่ร่วงลงบนพื้นมันก็มุดลงไปในโคลนอย่างเงียบเชียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ขอบคุณพี่หลิ่วยิ่งนักที่ลงมือช่วยเหลือ!”

พวกโอวหยางเชี่ยนที่เพิ่งเหาะเข้ามาตอนนี้ทั้งตกตะลึงทั้งยินดี พวกนางประสานมือเอ่ยขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง

“ทั้งสองท่านเกรงใจไปแล้ว ศิษย์พี่จินด้านนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ พวกท่านเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกรอบได้หรือไม่?”

หลิ่วหมิงตบบนหัวไหล่ เงาวัวสีน้ำเงินพลันพุ่งจมลงไปในเสื้อของเขา จากนั้นเขาก็หันกายมาถามทันที

โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็เล่าเรื่องที่พบมนุษย์ปีศาจออกมาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งทันที

“มนุษย์ปีศาจเจ็ดคนนั้นใช่บุรุษวัยกลางคนที่มีหน้าตาคล้ายกันเจ็ดคนหรือไม่?” หลิ่วหมิงฟังจบก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พี่หลิ่วพูดไม่ผิด หรือว่าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มารตัวนี้พูดถึงก่อนหน้านี้จะเป็นพี่หลิ่วจริงๆ?” โอวหยางฉินที่อยู่ด้านข้างได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามออกมา

“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว มนุษย์ปีศาจเหล่านี้แท้จริงเป็นร่างแยกของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์เพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาลับชนิดใดลดระดับพลังลอบเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนแห่งนี้ พลังลึกล้ำหยั่งไม่ถึง หากพวกเขาผสานร่างกันเกรงว่าศิษย์พี่จินจะไม่ใช่คู่ต่อสู้” หลิ่วหมิงคิ้วขมวดเล็กน้อยเอ่ยขึ้นมา

“ร่างแยกระดับแก่นเสมือนหรือ? มนุษย์ปีศาจเจ็ดคนที่พวกเราพบเหมือนว่าพลังจะบรรลุระดับแก่นแท้แล้ว!” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยอย่างตกตะลึงเล็กน้อย

“ระดับแก่นแท้? ดูท่าพลังของร่างแยกเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนที่ข้าพบอยู่มาก เอาล่ะ งานไม่ควรชักช้า ผู้แซ่หลิ่วจะล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง พวกท่านสองคนหาสถานที่มิดชิดหลบไปก่อน หากข้ากับศิษย์พี่จินสู้ศัตรูไม่ได้จะหาวิธีสลัดหนีแล้วมารวมตัวพวกท่าน” หลังจากหลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งสตรีทั้งสองนาง

พูดจบ ทั่วร่างเขาพลันเปล่งแสงสีทองสายหนึ่งออกมาแล้วพุ่งเร็วรี่ไปทางหุบเขาแคบที่สตรีทั้งสองนางจากมา

โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสบตากันครั้งหนึ่งแล้วได้แต่ทำตามคำพูดของหลิ่วหมิง เหาะไปยังยอดเขาที่ซ่อนอยู่มิดชิดลูกหนึ่งบริเวณใกล้ๆ

ขณะที่หลิ่วหมิงเร่งเดินทางไม่หยุด เสียงเปรี้ยงดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับก็ดังออกมาจากตรงนั้นตรงนี้ตลอดหุบเขาแคบคดเคี้ยว

เพลิงปราณสีดำกับสีขาวพุ่งขึ้นฟ้ามาจากในหุบเขา!

ตามมาติดๆ หลังจากนั้น แสงดาราสีขาวสายหนึ่งก็ถอยพรวดออกมาจากด้านในแล้วกระแทกบนฝั่งหนึ่งของหุบเขาทันที

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!

แสงสีขาวกลายเป็นแสงดาวจุดแล้วจุดเล่ากระจายออกไปรอบด้านพร้อมกับหน้าผาที่ระเบิดพังทลาย ใต้เศษหินของภูเขาที่ปลิวกระจัดกระจาย บุรุษผู้สวมชุดสีทองตัวโคร่งคนหนึ่งโผล่ออกมาจากรูขนาดใหญ่สิบกว่าจั้งที่เห็นเด่นชัดบนหน้าผา

บุรุษผู้นี้ก็คือจินเทียนชื่อ

ตัวเขาในเวลานี้สภาพสะบักสะบอมอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงอาภรณ์สีทองบนร่างมีรอยขาดและรอยไหม้ดำไม่น้อย บนร่างยังมีรอยเลือดประปราย มีเพียงนัยน์ตาทั้งสองข้างที่ยังทอประกายเจิดจ้า

อีกด้านหนึ่งของหุบเขาแคบ ด้านหลังของมนุษย์ปีศาจผู้มีไอปีศาจสีเขียวหม่นวนเวียนทั่วร่าง ร่างกายสูงถึงห้าหกจั้งคนหนึ่งมีเงามนุษย์ปีศาจยักษ์ขนาดมหึมาประหนึ่งขุนเขาคนหนึ่งลอยอยู่

บนร่างเงาของมนุษย์ปีศาจยักษ์คนนี้มีลวดลายประหลาดสีเขียวเข้มลายแล้วลายเล่าปรากฏอยู่ ไอปีศาจสีเขียวหม่นทั่วร่างพลุ่งพล่านปั่นป่วน หน้าตาพร่ามัวไม่ชัด ตรงหน้าผากมีเขายาวสีเงินยาวหลายจั้งคู่หนึ่ง มันแผ่ปราณน่าหวาดกลัวที่ไม่อาจพรรณนาเป็นถ้อยคำได้ออกมา

ดวงตาประดุจคบเพลิงของมนุษย์ปีศาจกวาดผ่านจุดที่จินเทียนชื่ออยู่ ทันใดนั้นมันก็สะบัดมือ สองแขนของเงาด้านหลังร่างขยับวูบเดียว เพลิงมารรอบร่างลุกโชน สายลมพัดเสียงดังหวีดหวิว ไอปีศาจสีเขียวหม่นยี่สิบถึงสามสิบสายหลุดออกจากร่างมาอย่างต่อเนื่องดั่งฝูงผึ้ง

ไอปีศาจเหล่านี้หมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งก่อนจะหยุดแล้วกลายเป็นตะขาบสีเขียวหม่นยาวห้าหกสิบจั้งตัวแล้วตัวเล่า พวกมันส่ายหัวสะบัดหางพุ่งเร็วรี่เข้าใส่จินเทียนชื่อ

จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้กลับทำสีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่ถอยแต่กลับรุกคืบ ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็ทะลวงไปด้านหน้า

เสียง “ฟู่” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!

ชุดสีทองทั่วร่างของเขาปลิวสะบัด บนหน้าผากแสงดาวสีขาวนับไม่ถ้วนลอยออกมาเริงระบำรอบร่างไม่หยุดแล้วไหววนทั่วร่างประหนึ่งทางช้างเผือก จากนั้นซัดเข้าใส่ตะขาบเต็มท้องฟ้า

เสียง “ชี่” ดังขึ้น บนร่างตะขาบสีดำแต่ละตัวมีแสงดาวสีขาวจุดแล้วจุดเล่าเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

จากนั้นเสียงดังกึกก้องก็ดังขึ้นต่อเนื่อง!

จุดแสงสีขาวมากมายถี่ยิบเหล่านี้ระเบิดขึ้นพร้อมกัน ตะขาบมากมายกลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงสีขาวดวงแล้วดวงเล่าส่องพื้นที่บริเวณร้อยลี้ของทั้งหุบเขาแคบจนสว่างไสว แล้วทยอยกลายเป็นหมอกควันสีดำสลับขาวสายแล้วสายเล่าสลายไปกับอากาศ

มนุษย์ปีศาจเห็นเช่นนี้ ดวงตาสีเขียวทั้งสองข้างพลันทอประกายดุร้าย เขาอ้าปากพ่นลูกบอลเพลิงสีม่วงลูกหนึ่งออกมา ลูกบอลเพลิงขยายใหญ่ขึ้นระหว่างทางพริบตาเดียวก็ใหญ่เท่าตึก จุดที่พุ่งผ่าน อากาศบิดเบี้ยวพร่ามัว

จินเทียนชื่อเห็นสถานการณ์ ในใจพลันหวาดหวั่น เขาไม่พูดพร่ำยกมือข้างหนึ่งขึ้นทันที แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากในแขนเสื้อ มันคือโล่น้อยสีฟ้าชิ้นหนึ่ง บนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณสายแล้วสายเล่ามากมายถี่ยิบแผ่อยู่ทั่ว เมื่อกวาดมองอย่างรวดเร็วจะเห็นว่ามีลวดลายค่ายกลสีฟ้าสามสิบหกชั้นกะพริบวูบวาบไม่หยุด

จินเทียนชื่อขยับสองมืออย่างเร็วไวชี้ไปทางโล่น้อยสีฟ้า ปากพ่นคำว่า “แข็งตัว” ออกมา

โล่น้อยหมุนติ้วกลางอากาศแล้วสาดแสงรัศมีสีฟ้าออกมาทันที ม่านน้ำสีฟ้าอ่อนใสแวววาวชั้นแล้วชั้นเล่าเล่าลอยออกมาบนผิวประหนึ่งกระจกจากนั้นแผ่ขยายไปสี่ด้านอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีถึงสิบกว่าชั้นปกป้องอยู่เบื้องหน้าเขา

แทบจะในพริบตาต่อมาลูกบอลเพลิงสีม่วงก็พุ่งเร็วรี่มาถึง เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นพร้อมระเบิด แถบแสงสีม่วงยาวสิบกว่าจั้งแถบหนึ่งแผ่ออกมาจากด้านใน

เสียง “ฟึบ” “ฟึบ” “ฟึบ”  ดังขึ้นต่อเนื่อง!

ม่านน้ำขนาดยักษ์เจ็ดแปดชั้นด้านหน้าถูกโจมตีแตกกระจายตามต่อกันจนกลายเป็นแสงแวววาวสีฟ้าจุดเล็กจุดเล่ากระจายไปบนท้องฟ้า

ทว่าการทะลวงเข้ามาอย่างราบรื่นครั้งนี้ก็ทำให้เปลวเพลิงบนผิวของรุ้งยาวสีม่วงสลายไปเรื่อยๆ จนเผยร่างเดิมออกมาอยู่เลือนรางเช่นเดียวกัน มันคือแส้ยาวสีม่วงทั้งเส้นเส้นหนึ่ง!

แส้เส้นนี้ดูคล้ายจะยาวเจ็ดถึงแปดจั้ง จากหัวจรดปลายมีทั้งหมดเจ็ดท่อน แต่ละท่อนมียันต์สีม่วงอ่อนมากมายถี่ยิบวนเวียนอยู่เหมือนงูยักษ์สีม่วงตัวหนึ่ง แผ่กลิ่นอายโบราณป่าเถื่อนเข้มข้นสายหนึ่งออกมา

สิ่งนี้ก็คืออาวุธเวทของจริงที่มนุษย์ปีศาจยุคโบราณเคยใช้ซึ่งมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้หาพบจากซากโบราณสถานก่อนหน้านี้ มันมีชื่อว่าแส้สะท้านฟ้า

จากนั้นมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ที่ทำหน้าตาโหดเหี้ยมอยู่ไกลๆ ก็กำด้ามแส้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วสะบัดอย่างรวดเร็ว แส้ยาวเลือนหายไปก่อนจะส่งเสียงแหวกอากาศแสบแก้วหูและสะบัดลงมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง

ม่านวารีหลายชั้นสุดท้ายเปล่งแสงสีม่วงบนผิววูบหนึ่งก่อนจะระเบิดเหมือนหน้าต่างกระดาษ เสียง “ปัง” ดังขึ้น โล่น้อยสีฟ้าปรากฏออกมาอีกครั้งท่ามกลางม่านวารีที่แตกกระจาย มันหม่นหมองไร้ประกายกระเด็นลอยออกไปไกล

หลังจากแส้ยาวสีม่วงโจมตีม่านวารีทั้งหมดจนทะลุก็ส่งเสียงดังฟึบ กลายเป็นเงาแส้เต็มฟ้าแหวกอากาศหวดเข้าใส่จินเทียนชื่อ

จินเทียนชื่อแค่นเสียงทุ้มต่ำครั้งหนึ่ง แสงดาวสีขาวทั่วร่างสว่างจ้ากลายเป็นเงาสีขาวสายหนึ่งถอยพรวดไปข้างหลังไกลสิบกว่าจั้ง

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นมา เงาแส้สีม่วงกวาดผ่านอากาศจนเกิดเป็นรอยแยกมิติสีดำสนิทรอยแล้วรอยเล่าตรงจุดที่จินเทียนชื่อเคยอยู่

จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ รูม่านตาพลันหดเล็กลงเล็กน้อย เห็นชัดว่าอาวุธชิ้นนี้ทรงพลังมากจนทำให้เขาพรั่นพรึงอยู่ในใจ

ในเวลานี้เองเงาสีม่วงหลายร้อยเส้นก็ก่อตัวขึ้นกลางท้องฟ้า พวกมันฟาดตัดสลับกันจนกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีม่วงผืนหนึ่งครอบลงมาในพริบตา

จินเทียนชื่อได้ยินเสียง “ฟึบ” “ฟึบ” ดังต่อเนื่องไม่ขาดบริเวณจุดที่ตาข่ายยักษ์สีม่วงพุ่งผ่าน รอยปริแยกของมิติเส้นแล้วเส้นเล่าทยอยปรากฏขึ้น หน้าหลังซ้ายขวาล้วนล้อมไปด้วยการโจมตีของอีกฝ่าย จนทำให้เขาเกิดความรู้สึกประหลาดว่าต่อให้หลบก็หลบไม่พ้น สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยในทันใด

ทว่าครู่ต่อมาในดวงตาของเขาก็ฉายแววดุดัน แขนเสื้อกว้างสองข้างยกขึ้น เสียง “ฉึบ” “ฉึบ” ดังขึ้นหลายครั้งพร้อมกับที่แสงสีทองแปดสายพุ่งออกมาแล้วโถมเข้าหาตาข่ายฟ้าดินที่ก่อตัวมาจากเงาแส้สีม่วง

พวกมันคือกระจกกลมทอแสงสีทองขมุกขมัวบานแล้วบานเล่า

กระจกที่ทอแสงสีทองเหล่านี้หมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่ง ทันใดนั้นแสงดาวสีขาวเจิดจ้าผืนแล้วผืนเล่าก็สาดออกมากลายเป็นธารดาราไหล่บ่าพุ่งขึ้นฟ้า

เสียงกรีดร้องแหลมแสบแก้วหูดังขึ้น แสงดาวที่แผ่ไปทั่วกับเงาแส้สีม่วงที่พาดตัดกันไปมาปะทะกันทันที พลังยิ่งใหญ่มหาศาลประหนึ่งท้องนภาทั้งผืนจะถูกฉีกทึ้ง

ชั่วขณะหนึ่งแสงสีม่วงกับแสงสีขาวโถมเข้าใส่กันบนผืนนภาอย่างบ้าคลั่ง แสงเรืองรองแสบตาสาดไปสี่ด้านแปดทิศ เงาของจินเทียนชื่อกับมนุษย์ปีศาจจมหายไปด้านในพร้อมกัน

ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง แสงสีม่วงกับแสงสีขาวก็ส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วหายไปพร้อมกัน

เวลานี้แม้ท้องนภาจะยังไม่ถูกฉีกทึ้งจริงๆ แต่หน้าผาหลายร้อยจั้งของหุบเขาแคบก็หายไปแล้ว กลายเป็นหลุมยักษ์มหึมาแห่งหนึ่งที่เศษหินและฝุ่นทรายสีเทารอบด้านถูกลมพายุพัดหอบขึ้นมาไม่หยุด

ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีทองสีหน้าซีดเผือดคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศด้านข้างหลุมยักษ์ หน้าอกของเขาพองขึ้นยุบลงไม่หยุด เขาก็คือจินเทียนชื่อนั่นเอง

ในเวลานี้เสื้อผ้าบนร่างเขาถูกกรีดจนขาดรุ่งริ่ง แทนที่จะบอกว่าเป็นชุดสีทอง เรียกว่าเศษด้ายสีทองจะเหมาะกว่า ลำคอ เอว แขน ต้นขา ข้อเท้าล้วนมีส่วนที่เนื้อหนังเปิด รอยแผลเส้นยาวสีเขียวสีม่วงจากแส้มองเห็นเด่นชัด บนแผลยังมีไอหมอกสีม่วงสายแล้วสายเล่าวนเวียนอยู่อีกด้วย

กระจกที่ทอแสงสีทองแปดบานที่เดิมทีลอยอยู่รอบตัวเขาหายไปไร้ร่องรอยแล้ว คิดว่าคงจะสลายหายไปในการโจมตีเมื่อครู่

“แม้แส้สะท้านฟ้านี้จะยังไม่ถูกหลอม แต่พลังของการโจมตีเมื่อครู่ก็ไม่เป็นรองการโจมตียามข้ามีพลังเต็มที่ แต่เจ้ากลับยังรอดมาได้ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ!” หลังจากฝุ่นสีเทาเบื้องหน้ากระจายหายไปหมดสิ้น เงาร่างของมนุษย์ปีศาจที่สูงเจ็ดแปดจั้งก็ปรากฏออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจขณะที่เอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า

ในมือเขายังคงถือแส้ยาวสีม่วงยาวเจ็ดแปดจั้งเส้นหนึ่งไว้ ทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าเห็นชัดว่ามีรูเลือดหนาเท่าแขนเพิ่มขึ้นมาสิบกว่าแผล ทว่าเมื่อปราณสีดำวนเวียนรอบปากแผล มันก็หายไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“เหอะ เรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึงยังมีอีกมาก ข้าสงสัยมากกว่าว่าหลังจากผสานร่างแล้วเจ้าจะยังมีพลังเท่าตอนนี้ได้อีกนานเท่าไร!” จินเทียนชื่อเงยหน้ามองมนุษย์ปีศาจด้วยสายตาเย็นชาแล้วแค่นเสียงตอบกลับไป จากนั้นเขาก็ล้วงยันต์สีทองอ่อนแผ่นหนึ่งออกมาแปะบนร่าง แสงสีทองวนเวียนรอบร่างเขารอบหนึ่งทันใดนั้นรอยแผลจากแส้ทั่วทั้งร่างก็พลันหายไป ลมปราณก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่ว่านานเท่าไรก็เพียงพอเอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าแล้วกัน!”

มนุษย์ปีศาจได้ฟังก็โกรธจัด เขาตวาดเสียงดังลั่น แส้ยาวสีม่วงฉับพลันส่องแสงสว่างจ้า เพลิงปราณสีม่วงสายแล้วสายเล่าทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วทยอยแทรกเข้าไปในร่างเขา ในเวลาเดียวกันแส้ยาวก็พันม้วนบนหัวไหล่ขวาของเขารวดเร็วประหนึ่งอสรพิษตัวยาวสีม่วงตัวหนึ่ง

บนร่างของมนุษย์ปีศาจผู้นี้ฉับพลันปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงชั้นแล้วชั้นเล่า ลมปราณเพิ่มสูงขึ้นด้วยความเร็วอันน่าหวาดกลัวอีกครั้ง

จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ รูม่านตาพลันหดเล็ก พริบตาเดียวสีหน้าก็ย่ำแย่อย่างยิ่งเข้าจริงๆ แล้ว