จากนั้น ทุกคนจึงรีบไปที่ตำหนักฉางเซิง
ตำหนักฉางเซิงเป็นสถานที่ที่นักพรตอวี้หยางพักอาศัยและฝึกตนบำเพ็ญเพียรในสำนักกระบี่คุนหลุน ตั้งอยู่บนยอดเขาอวี้จู ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของสำนักกระบี่คุนหลุน
ยอดเขาอวี้จูเป็นยอดเขาสูงในสำนักกระบี่คุนหลุนที่ค่อนข้างสันโดษ เจ้าสำนักและศิษย์ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ที่ยอดเขาอวี้จูและมีกฎเข้มงวด โดยปกติแล้วจะไม่สามารถออกจากยอดเขาอวี้จูได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนัก ลูกศิษย์ฝ่ายที่เหลือก็ไม่กล้าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ มาถึง ที่นี่ยังค่อนข้างสะอาดและยังไม่ถูกคนของแคว้นไหวเจียงบุกรุก ทว่าด้านล่างเขาเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น ทุกคนล้วนกังวลและประหม่า
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยา ลูกศิษย์จึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว? ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว? ”
“ดีจริงๆ ที่ได้พบท่านในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกลับมาครั้งนี้ไม่ไปแล้วใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าเล็กน้อยให้ทุกคนโดยไม่ได้ตอบกลับ
ทุกคนชินกับนิสัยของเยี่ยโยวเหยาจึงไม่ได้ถือสา
“ผู้นี้คือ… ”
“แม่นางผู้แสนงดงาม… ”
“ช่างเป็นสตรีที่นุ่มนวลอ่อนโยน! ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว ดวงตาดำขลับเจิดจ้ามืดลงเล็กน้อย เขาก้าวเท้าไปหาซูจิ่นซีและยืนบังนางจากสายตาของทุกคน
“นี่คือพระชายาของข้า! ” ขณะที่พูดก็กุมมือซูจิ่นซีไว้แน่น
ทุกคนมองไม่เห็นการแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซี พวกเขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพากันหัวเราะขึ้นมา
“ได้ยินมาว่าศิษย์พี่ใหญ่อภิเษกสมรสแล้ว ทั้งยังสมรสกับแม่นางที่มีรูปลักษณ์ราวกับเทพธิดา ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง! ”
“เป็นพี่สะใภ้! ขออภัยด้วย! ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นท่านตระหนี่ถึงเพียงนี้! พวกเราเพียงรู้สึกว่าพี่สะใภ้งดงามน่ามอง ขอมองนางให้มากหน่อยก็เท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย”
“ใช่! เมื่อก่อนท่านอาจารย์ถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ยังแบ่งพวกเราเลย มีสิ่งของดีๆ อันใดล้วนไม่เคยลืมพวกเรา วันนี้เกิดอันใดขึ้น? ”
……
“ศิษย์พี่ใหญ่คอยปกป้องภายในอยู่เสมอ หรือว่าท่านลืมแล้วใช่หรือไม่? ”
……
คิ้วของเยี่ยโยวเหยาขมวดเข้าหากันลึกขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังใช้ร่างกายสูงใหญ่ของตนปกป้องซูจิ่นซีอย่างหนาแน่น
“สิ่งอื่นสามารถแบ่งกับพวกเจ้าได้ ทว่านางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวของข้า แบ่งไม่ได้! ”
ทุกคนที่ได้ฟังก็อึ้งเล็กน้อย และหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
เดิมทีวันนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนจึงไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้ในช่วงเวลาสำคัญ ทว่าตั้งแต่ที่เยี่ยโยวเหยาลงเขาไปหลายปีก็ไม่ได้พบกันเกือบสี่ปีแล้ว ทุกคนต่างคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้พบเยี่ยโยวเหยาอีกแล้ว กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทุกคนจึงตื่นเต้นเล็กน้อย
“พอได้แล้ว จนป่านนี้ทุกคนยังมีอารมณ์คุยเรื่องพวกนี้อยู่อีกหรือ” เสวียนเจิ้นจื่อกล่าว “สำนักสาขาเทียนเสวียน ผาฉางซู ผาอวิ๋นเสีย และผาเฉาหยาง ผู้นำทั้งสี่สำนักสาขาเคยมายอดเขาอวี้จูนี้หรือไม่? ”
“เคยมา! ” มีลูกศิษย์ตอบอย่างรวดเร็ว
“อยู่ที่ใด? ” เยี่ยโยวเหยาถามอย่างจริงจังเล็กน้อย ลูกศิษย์ที่ตอบคำถามผู้นั้นอดสั่นสะท้านไม่ได้ เขาหันศีรษะชี้ไปที่วิหารใหญ่ของตำหนักฉางเซิงด้านหลัง “อยู่ด้านในวิหารใหญ่ มาตั้งแต่ยามซื่อแล้วอยู่ด้านในมาโดยตลอด”
“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา? ” เยี่ยโยวเหยาถามต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
ลูกศิษย์ส่ายศีรษะ “ไม่ออกมาเลย! ”
“ด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้” เสวียนเจิ้นจื่อกล่าว “ต้องมีปัญหาแน่นอน” เขาพูดพลางเดินไปทางตำหนักฉางเซิง เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีรีบเดินตามหลัง
เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนักฉางเซิง เสวียนเจิ้นจื่อผลักประตูตำหนักฉางเซิงเข้าไปโดยไม่ลังเล
ทว่า…
ด้านในกลับเงียบสงัด ไม่มีร่างของผู้ใดแม้แต่คนเดียว
ทุกคนต่างงุนงง
“เป็นไปได้อย่างไร? ตอนเช้าข้ากับศิษย์น้องเซวียนหมิงเป็นคนพาพวกท่านเข้าไปด้วยตนเอง”
“ใช่แล้ว ตอนนั้นข้าอยู่ด้านหน้าตำหนัก เป็นศิษย์น้องเซวียนหมิงและศิษย์น้องเสวียนชิงพาท่านผู้นำทั้งสี่เข้าไปในตำหนักจริงๆ ”
“ข้าก็เห็นเช่นกัน”
“ข้าก็เห็นเช่นกัน”
ในเมื่อมีคนเห็นผู้นำทั้งสี่เข้ามาในตำหนักจริงๆ ก็ไม่น่ามีอันใดผิดพลาด ทว่าอยู่ดีๆ คนจะหายไปในอากาศได้อย่างไร?
ยอดเขาอวี้จูรายล้อมไปด้วยม่านพลังที่นักพรตอวี้หยางสร้างขึ้นด้วยตนเอง มีพลังเสวียนชี่ ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากประตูหลักได้
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขาไม่ได้ออกมาเลย? ” เสวียนเจิ้นจื่อถามยืนยันอีกครั้ง
ลูกศิษย์รีบตอบทันที “ไม่ได้ออกมาจริงๆ ข้ากับศิษย์น้องเสวียนชิงอยู่ด้านในตลอด”
เยี่ยโยวเหยารีบเดินเข้าไปในตำหนักโดยไม่พูดอันใดสักคำ
บนโต๊ะมีถ้วยชาและของว่างที่ยกมาให้ทั้งสี่ผู้นำ ของว่างยังไม่ได้แตะ น้ำชาเย็นชืด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหายไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
ไม่มีผู้ใดพูด เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี และเสวียนเจิ้นจื่อแยกกันตามหาเบาะแสภายในตำหนัก
รวมถึงภาพวาดบนผนัง ฉากกั้น ตู้หนังสือ ชั้นหนังสือ ชั้นวางของโบราณ ทุกที่สามคนไม่ปล่อยผ่าน
“ศิษย์พี่ใหญ่! ”
จู่ๆ ก็มีศิษย์ผู้หนึ่งตะโกนเรียกเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาหยุดเดินและหันหลังกลับมา
ลูกศิษย์เดินมาทางเยี่ยโยวเหยาและพูด “ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์เคยพูดประโยคหนึ่ง ให้ข้าบอกศิษย์พี่ว่า… ”
ขณะที่พูดก็เดินมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยโยวเหยา ทว่าประโยคหลังกลับไม่พูดออกมา
ในเมื่อนักพรตอวี้หยางมีคำพูดฝากบอกเยี่ยโยวเหยา ส่วนใหญ่แล้วจึงไม่อาจให้คนจำนวนมากล่วงรู้ได้ ซูจิ่นซีและเสวียนเจิ้นจื่อไม่ได้เก็บการกระทำของลูกศิษย์ผู้นั้นมาใส่ใจ
เมื่อเห็นว่าเขาลังเลที่จะพูด เยี่ยโยวเหยาจึงลดความระมัดระวังลงและอนุญาตให้เขาเข้าใกล้ตนเอง เพื่อพูดกระซิบข้างใบหูของตน
ทว่า…
ในขณะเดียวกันกับที่ลูกศิษย์กำลังเข้ามาใกล้ มีดพกพลันส่องแสงแวววับโผล่ออกมาจากแขนเสื้อของลูกศิษย์ผู้นั้น และแทงเข้าที่ช่วงท้องของเยี่ยโยวเหยาเสียงดัง ‘ฉึก’ โดยไม่ลังเล
ซูจิ่นซีและเสวียนเจิ้นจื่อต่างตกตะลึง
“เยี่ยโยวเหยา… ”
“ศิษย์พี่… ”
เดิมทีคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยโยวเหยาคงสูญเสียการป้องกันโดยสมบูรณ์ ลูกศิษย์ผู้นั้นคงลอบทำร้ายจนประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่า ในขณะที่ปลายแหลมคมอยู่ห่างจากท้องของเยี่ยโยวเหยาเพียงคืบเดียว เยี่ยโยวเหยากลับจับข้อมือของเขาพลิกทันที จากนั้นก็เตะเขาลอยกระเด็นออกไป
เสวียนเจิ้นจื่อและซูจิ่นซีหัวใจเกือบวาย เมื่อเห็นว่าสุดท้ายแล้วเยี่ยโยวเหยาปลอดภัยดีทุกประการ พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซูจิ่นซีรีบเดินไปหาเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีอย่างปลอบโยน “ข้าไม่เป็นอันใด”
จากนั้นจึงมองลูกศิษย์ที่คิดจะลอบสังหารเยี่ยโยวเหยา…
ด้วยพลังฝ่าเท้าของเยี่ยโยวเหยาที่ถีบออกไป คนธรรมดาต้องตายในทันที ไม่ก็อาเจียนเป็นเลือด หรือบาดเจ็บสาหัสแน่นอน ทว่าลูกศิษย์ผู้นั้นไม่เพียงไม่เป็นอันใด เขายังพลิกตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วอย่างรุนแรง
สถานการณ์นี้มีบางอย่างผิดปกติ!
และในเวลาเดียวกัน ทั้งสองก็ยังพบเรื่องแปลกประหลาดยิ่งกว่านั้น…