ตอนที่ 3027 สายเลือดย้อนกลับ

Super God Gene

หานจิงจื่อได้มอบจีโนฟลูอิดให้กับหานเซิ่น ซึ่งมันทำให้เลือดสีฟ้าภายในตัวของเขาสงบลง แต่ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นเริ่มใช้วิชาโลหิตชีพจรอีกครั้ง พลังของเลือดสีฟ้าในตัวของเขาก็ระเบิดออกมา

 

เกือบจะในเวลาเดียวกันรอยสักแมวเก้าชีวิตบนหลังของหานเซิ่นก็ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ว

 

“นี่เจ้ากำลังจะทำอะไร?” หานหยี่เฟยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม! ในตอนนี้เจ้ายังควบคุมเลือดสีฟ้าไม่ได้ ถึงแม้เจ้าจะฝืนใช้พลังของเลือดสีฟ้า เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้าจะเอาชนะคนที่มีเลือดสีฟ้าตั้งแต่กำเนิดได้น่ะ?”

 

หานเซิ่นรู้ว่าหานหยี่เฟยนั้นพูดถูก ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นเลือดสีฟ้าของเขาหรือจักรพรรดิมนุษย์ ยังไงพวกมันก็มีต้นกำเนิดมาจากฉินซิว การใช้พลังของเลือดสีฟ้าต่อหน้าฉินซิวนั้นก็เหมือนกับการแกว่งมีดต่อหน้ากวนอู

 

แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอื่น เขาไม่สามารถทนดูอยู่เฉยๆ ขณะที่เสี่ยวฮวาลูกชายของเขาตกอยู่ในอันตรายได้ เสี่ยวฮวาเป็นครอบครัวของเขา สำหรับเขาแล้วครอบครัวนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาตั้งคำถามว่าจะทำได้หรือไม่

 

ในตอนที่วิชาโลหิตชีพจรถูกใช้ พลังของยีนเลือดสีฟ้าและรอยสักแมวเก้าชีวิตก็ระเบิดออกมา มันทำให้วิชาโลหิตชีพจรเกิดการแปรปรวนและเกือบจะสูญเสียการควบคุม

 

ในจังหวะนั้นออร่าของหานเซิ่นเปลี่ยนไป ลมปราณโลหิตของเขาเริ่มจะเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้าม

 

วิชาจีโนนี้คือวิชาโลหิตชีพจรในรูปแบบกลับตาลปัตร มันคือวิชาที่ถูกเรียกว่าคัมภีร์นภาอำพัน ก่อนหน้านี้หานเซิ่นไม่กล้าจะใช้มันเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาใช้มัน แต่ยังไงซะร่างกายของเขาก็กำลังถูกควบคุมโดยพลังของเลือดสีฟ้าและรอยสักแมวเก้าชีวิต มันจึงอยู่ในสภาวะที่ซับซ้อนเกินไป ถ้าลมปราณโลหิตของเขาเกิดไหลย้อนกลับและทำให้พลังทั้งสามปะทะกัน มันก็อาจจะทำลายร่างกายของเขา

 

แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่สนใจเรื่องแบบนั้นอีกต่อไป ลำพังแค่พลังของเลือดสีฟ้านั้นไม่สามารถเอาชนะฉินซิวได้ ด้วยเหตุนั้นตราบใดที่มันมีหวังหานเซิ่นก็จำเป็นต้องลองดู

 

ในตอนที่ลมปราณโลหิตกลับตาลปัตร พลังของเลือดสีฟ้าก็กลับตาลปัตรด้วยเช่นกัน มันไหลไปในทิศทางตรงกันข้าม สีฟ้าที่ประหลาดของมันเริ่มจะดูอ่อนลงและค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง

 

รอยสักแมวเก้าชีวิตบนหลังของเขาสว่างขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับว่ามันได้รับพลังเสริมจากเทพ มันเปลี่ยนเป็นแสงแห่งเทพที่ปกคลุมร่างกายทั้งร่างของหานเซิ่น

 

“นี่เป็นไปได้ยังไง? นี่หมายความว่าพลังของแมวเก้าชีวิตคือพลังกลับตาลปัตรของวิชาโลหิตชีพจรอย่างนั้นหรอ?”

หานเซิ่นรู้สึกได้ว่าพลังของรอยสักแมวเก้าชีวิตนั้นเริ่มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มันเกือบที่จะทำให้เลือดสีฟ้าในตัวของเขากลายเป็นเลือดสีแดงโดยสมบูรณ์

 

ทันใดนั้นก็มีเงาของอะไรบางอย่างก้าวเดินบนหิมะและค่อยๆเดินเข้ามาหาหานเซิ่น

 

เมื่อหานเซิ่นเห็นเงานั่น ดวงตาของเขาก็ดูเย็นชาขึ้นมาในทันที เขาถามขึ้นว่า “นี่เจ้ายังกล้าแสดงตัวต่อหน้าข้าอีกอย่างนั้นหรอ?”

 

“แมวเก้าชีวิต?” หานหยี่เฟยดูตกใจ ถึงเธอจะได้ยินว่าแมวเก้าชีวิตนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ แต่การได้เห็นมันในตอนนี้ก็ยังเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจอยู่ดี

 

เพราะยังไงซะเธอก็ได้เห็นแมวเก้าชีวิตตายต่อหน้าต่อตาตัวเอง แม้แต่เธอก็ไม่สามารถทำให้สิ่งที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ดังนั้นเธอจึงมองไปที่แมวเก้าชีวิตด้วยจิตใจของนักวิจัย เธออยากรู้ว่าฉินซิวใช้วิธีการอะไรในการชุบชีวิตแมวเก้าชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ข้าต้องขอโทษในสิ่งที่ทำกับตระกูลหาน และข้าขอโทษเกี่ยวกับเรื่องของเสี่ยวฮวา ถ้าเจ้าต้องการจะฆ่าข้า ตอนนี้เจ้าเชิญลงมือได้เลย”

เฒ่าแมวเดินเข้ามาหาหานเซิ่นอย่างช้าๆ มันดูใจเย็นอย่างมาก

 

“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นชกหมัดออกไปใส่แมวเก้าชีวิตที่ตอนนี้อยู่ไม่ไกลจากเขา

 

ปัง!

หมัดนั้นไม่ได้ถูกเสริมพลังด้วยวิชาจีโน แต่ลำพังแค่พละกำลังของร่างกายของหานเซิ่นก็เพียงพอจะทำให้หมัดนั้นบดขยี้ใบหน้าของแมวเก้าชีวิต มันถูกส่งกระเด็นออกไปชนเข้าไปภูเขาน้ำแข็ง และทำให้ภูเขาน้ำแข็งถล่มลงมา

 

แมวเก้าชีวิตพาตัวเองออกมาจากกองน้ำแข็ง ปากของมันมีเลือดไหลออกมา แต่ใบหน้าของมันยังคงดูใจเย็น มันเดินกลับเข้ามาหาหานเซิ่นและพูด

“ทุกคนรู้ว่าข้าเป็นหนึ่งในสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเซเคร็ด แต่พวกเขาไม่ได้รู้ว่าความจริงแล้วสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงแค่ตัวทดลองเท่านั้น เมื่อลองพิจารณาดู ข้าเป็นคนที่ประสบความทุกข์มากที่สุด ถึงข้าจะตายไป แต่ฉินซิวก็ยังนำข้ากลับขึ้นมาจากขุมนรก ข้าไม่อาจหนีจากชะตากรรมอันน่าเศร้าของสิ่งมีชีวิตที่ถูกควบคุมโดยเขาได้”

 

“ถ้ามันเป็นแบบนั้น ทำไมเจ้าถึงยืนกรานที่จะทำร้ายเสี่ยวฮวา?”

หานเซิ่นมองไปที่แมวเก้าชีวิตอย่างเย็นชา หมัดของเขากำแน่นและพร้อมที่จะชกใส่มันอีกครั้ง

 

เฒ่าแมวส่ายหัว “ถึงข้าจะไม่เลือกเสี่ยวฮวา มนุษย์คนอื่นก็จะถูกเลือกอยู่ดี และคนๆนั้นจำเป็นต้องมาจากตระกูลหาน ข้าเลือกเสี่ยวฮวาก็จริง แต่ข้าได้เหลือความหวังเอาไว้ให้กับตระกูลหาน นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ”

 

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นถามพรัอมกับขมวดคิ้ว

 

“คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ข้ารู้ดีว่าเลือดของเสี่ยวฮวานั้นมาจากเจ้า ถึงเลือดของเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ลูกอีกคนของเจ้าหลิงเอ๋อนั้นมีเลือดสีสมบูรณ์แบบ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงไม่เลือกหลิงเอ๋อ แต่ไปเลือกเสี่ยวฮวาแทน?” แมวเก้าชีวิตไม่ได้เข้ามาใกล้หานเซิ่นเกินกว่าสามสิบฟุตก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงนั้น

 

“นั่นเป็นเพราะว่าหลิงเอ๋อเกิดช้าเกินไป” หานเซิ่นพูดอย่างเย็นชา

“เจ้าไม่เลือกนางก็เพราะว่าฉินซิวรอนานขนาดนั้นไม่ได้”

 

เฒ่าแมวส่ายหัว “ถ้าฉินซิวได้เห็นหลิงเอ๋อ ข้ากลัวว่าถึงเขาจะต้องรอคอยไปอีกสิบล้านปี เขาก็ยินดีที่จะรอ การรอคอยอีกแค่ไม่กี่ปียิ่งไม่ต้องพูดถึง”

 

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เฒ่าแมวก็พูดต่อ “ยีนของเสี่ยวฮวานั้นถือว่าดี แต่มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ นั่นหมายความว่าฉินซิวที่ใช้ร่างกายนั้นเพื่อกำเนิดขึ้นใหม่ก็จะไม่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกัน แบบนั้นพวกเราก็มีโอกาส นี่คือโอกาสสุดท้ายของพวกเรา”

 

หานเซิ่นไม่เชื่อแมวเก้าชีวิต เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเจ้าไม่มอบเสี่ยวฮวาให้กับเขา เขาก็คงจะไม่เกิดขึ้นมาใหม่ตั้งแต่แรก”

 

“ที่เจ้าคิดแบบนั้น ก็เพราะเจ้ายังไม่รู้จักฉินซิว ถ้าเขาต้องการจะทำบางสิ่งให้สำเร็จ เขาจะมีแผนสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงข้าจะไม่พาตัวเสี่ยวฮวาไปให้กับเขา เขาก็จะหาทางอื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แทนที่พวกเราจะรอคอยให้เขาได้ร่างกายที่สมบูรณ์แบบมา สู้พวกเรามอบร่างกายที่ใกล้เคียงจนดูเหมือนกับว่าสมบูรณ์เพื่อทำให้เขาหลงกลไม่ดีกว่าหรอกหรอ” เฒ่าแมวพูด

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองแมวเก้าชีวิตอย่างเย็นชา

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อข้า เจ้าแค่ทำตามความปรารถนาของตัวเองก็พอ” เฒ่าแมวพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ความปรารถนาของข้าคือการฆ่าเจ้ากับฉินซิว” หานเซิ่นพูดขณะที่จ้องไปที่แมวเก้าชีวิต

 

เฒ่าแมวยิ้มออกมา “เจ้าแค่ต้องทำความปรารถนาที่สองด้วยตัวเอง ส่วนความปรารถนาแรก ข้าจะทำให้กับเจ้าเอง”

 

หลังจากนั้นร่างกายของแมวเก้าชีวิตก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีแดง เมื่อมองดูดีๆแล้ว มันไม่ใช่เปลวไฟ แต่มันเป็นพลังชีวิตที่ออกมาจากร่างกายของแมวเก้าชีวิต

 

หานเซิ่นและหานหยี่เฟยตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่ามันต้องการทำอะไร การขับพลังชีวิตของตัวเองทิ้งแบบนั้นเท่ากับเป็นการทำร้ายตัวเอง มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกถลกหนังทั้งเป็น