ตอนที่ 739 ข้าขอเดิมพันกับเจ้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ดังนั้นตอนที่หลุนจ่วนอ๋องและไท่ซานอ๋องเสาะหานางจนพบ นางจึงมิได้ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย แต่ติดตามพวกเขามายังวังหลวงของต้าโจวบนแผ่นดินโบราณแต่โดยดี 

 

 

หากมองดูจากภายนอก 

 

 

นางยังคงอยู่ในรูปลักษณ์เดิมของซ่งชิงไต้ 

 

 

ตลอดร่างสวมใส่ชุดสีม่วง ผิวพรรณขาวสะอาด มองดูทั้งงดงามทั้งน่าเห็นใจ 

 

 

แต่ว่าเหล่ายมราชต่างก็ทราบแก่ใจอย่างชัดเจน ว่าตั้งแต่เนิ่นนานมาแล้วใต้ผิวหนังที่สวยสดงดงามนี้คือปีศาจตนหนึ่ง 

 

 

และเพราะว่าซ่งชิงไต้ยังคงมีตราประทับยมราชและศักดิ์ฐานะอยู่ ดังนั้นพวกเขาไม่อาจจัดการด้วยตนเอง ได้แต่นำตัวกลับมาหาฝ่าบาทเท่านั้น 

 

 

ซ่งชิงไต้เองก็ฉลาดเฉลียว นางไม่พูดอะไรทั้งนั้น ให้ความร่วมมือทุกอย่าง ความต้องการขอ’นางมีเพียงประการเดียวเท่านั้น ก็คือขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท 

 

 

แต่ว่าก่อนที่จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท นางได้ไปพบกับตู๋กูซิงหลันก่อน 

 

 

ตอนที่ตู๋กูซิงหลันเห็นนาง ก็ต้องประหลาดใจอยู่บ้าง 

 

 

ทั้งยังประหลาดใจกว่าตอนที่นางได้เจอเสินฟางในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือนิดหน่อย 

 

 

ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ซ่งชิงไต้กับนางต้องถือว่าเคยเจอะเจอกันมาบ้าง 

 

 

คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ว นางจะกลายเป็นหนึ่งในสิบยมราช 

 

 

กับสตรีผู้นี้ ตู๋กูซิงหลันไม่มีความรู้สึกดีใดๆทั้งสิ้น เพราะ ‘ความตาย’ ของนางในชาติก่อน นับว่านางก็มีส่วนอยู่พอสมควร 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่แต่งงานแล้ว ยิ่งมีเสน่ห์น่าหลงใหล เมื่อได้อยู่ร่วมกับจีเฉวียน พลังวิญญาณในร่างกายยิ่งไหลลื่นกว่าเดิม 

 

 

การมีสัมพันธ์รักระหว่างสามีภรรยา ยังเหนือกว่าการฝึกฝนด้วยวิธีซวงซิวเสียอีก 

 

 

ซ่งชิงไต้เห็นนางที่ทั้งงดงามอย่างไร้ที่เปรียบ ทั้งมีเสน่ห์น่าเย้ายวนอย่างไม่อาจปิดกั้น ก็รู้ว่านางคงจะกระทำเรื่องใกล้ชิดอย่างว่ากับฝ่าบาททุกๆวัน ในใจก็ยิ่งเกิดเพลิงริษยาลุกโชน แทบจะอยากพุ่งเข้าไปฉีกเนื้อเถือหนังออกมาเผาไฟให้สิ้นซาก 

 

 

ทำไมกัน นางอยู่ใกล้ชิดกับฝ่าบาทมาตั้งเนิ่นนานหลายปี สุดท้ายแล้วกลับเป็นได้เพียงแค่ตัวประหลาดอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง 

 

 

ส่วนสตรีผู้นั้น …… กลับได้รับการเลี้ยงดูจากฝ่าบาทตั้งแต่เยาว์วัย จนมาถึงตอนนี้ ก็กลายเป็นภรรยาที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด! 

 

 

นางได้ครอบครองสิ่งที่ตนเองปรารถนาทุกอย่างอย่างง่ายดาย! 

 

 

น่าชิงชังเหลือเกิน! 

 

 

ซ่งชิงไต้ต้องใช้เวลาพักใหญ่จึงจะสามารถข่มความริษยาที่ออยู่ในหัวใจให้สงบลงไปได้ 

 

 

ช่วงต้นฤดูร้อนเช่นนี้ ต้นฮว๋ายผลิดอกบานอย่างเต็มที่ ตู๋กูซิงหลันสวมใส่ชุดประโปรงสีแดงตลอดร่าง นั่งอยู่ใต้ต้นฮว๋าย ในเมื่อแต่งงานแล้ว ว่ากันตามประเพณีของต้าโจว นางจึงขมวดเส้มผมยาวสลวยทั้งหมดเกล้าเป็นมวยเอาไว้ ทั้วทั้งร่างดูเป็นความงามหยาดเยิ้มที่เกียจคร้าน 

 

 

ใต้ต้นฮว๋ายมีโต๊ะหินตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีเมล็ดแตงที่คั่วมาใหม่ๆจัดวางไว้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหยิบเมล็ดแตงขึ้นมากำหนึ่ง ขบเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์ 

 

 

ส่วนซ่งชิงไต้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับนาง เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีตามสบายของตู๋กูซิงหลัน นางวางตนเรียบร้อยกว่ามาก นางนั่งสง่าเหยียดแผ่นหลังตรง อย่างไม่ต้องการให้ตนเองถูกตู๋กูซิงหลันสะกดข่มได้ 

 

 

“เจ้าคงจะคิดไม่ถึงสินะ ว่าก่อนที่จะเจอกับเจ้า ข้าได้อยู่กับฝ่าบาทมานานแล้ว” 

 

 

“ถุย” ตู๋กูซิงหลันพ่นเปลือกเมล็ดแตงทิ้งไป “อ้อ เจ้าว่าไปสิ” 

 

 

ซ่งชิงไต้ “….” ฝ่ามือใต้แขนเสื้อของนางกำเป็นหมัดขึ้นมา แทบจะยกต่อยใส่ศีรษะของอีกฝ่ายอยู่แล้ว 

 

 

สตรีผู้นี้ยังคงเหมือนแต่แรกเริ่ม แค่ได้เห็นก็ทำให้ผู้อื่นชิงชังรังเกียจ 

 

 

“ข้าทำเพื่อฝ่าบาทมามากมาย อยู่กับพระองค์มานานถึงหมื่นปี หากจะพูดถึงสตรีทั้งหมดในใต้หล้า ก็คงจะมีแต่ข้าเท่านั้นที่คู่ควรจะได้เป็นชายาของฝ่าบาท” 

 

 

ซ่งชิงไต้พูดเช่นนี้ออกมา แม้แต่ตัวเองฟังแล้วก็ยังต้องประทับใจ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลับแทะเมล็ดแตงต่อไป “คางคกอยากกินเนื้อหงส์อ่ะนะ” 

 

 

ความเกรี้ยวกราดที่ซ่งชิงไต้พยายามสะกดเอาไว้อย่างยากลำบากต้องระเบิดออกมาอีกครั้ง นางตบลงไปบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน “เจ้า!” 

 

 

“ข้าอะไรข้า? ที่นี่คือแผ่นดินของเรา รู้จักให้ความเคารพกันบ้าง” ตู๋กูซิงหลันปัดเศษเมล็ดแตงทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ “ใช้เวลาไปตั้งหมื่นปี ก็ยังทำให้สามีชมชอบเจ้าไม่ได้ ยังจะมีอะไรกล้าเอามาแสดงให้ผู้อื่นชมดูกัน” 

 

 

ตัั้งแต่ตอนที่ตู๋กูซิงหลันอยู่กับจีเฉวียน ก็เตรียมตัวพร้อมสำหรับการจัดการพวกวาสนาดอกท้อเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้จะว่าไปแล้วนางมิได้เดือดดาลเลยแม้แต่น้อย 

 

 

กลับเป็นซ่งชิงไต้ที่หายใจไม่สม่ำเสมอขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางเคยรู้เรื่องฝีปากของสตรีผู้นี้มาบ้าง ตอนนี้นางมีโทสะจนหน้ามืดแล้ว เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายถกเถียงกันอีกต่อไป 

 

 

“แต่นั่นก็มิได้แสดงว่า ฝ่าบาททรงรักเจ้าอย่างจริงใจ” ทรวงอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงตลอดเวลา พยายามที่จะสงบอารมณ์ของตนเองลงให้ได้ 

 

 

“ในพระทัยของฝ่าบาท มิว่าเรื่องใด มิว่าใครก็ไม่มีความสำคัญไปกว่าเรื่องของเผ่าภูติอีกแล้ว” 

 

 

“เยี่ยซิงหลัน ข้าขอเดิมพันกับเจ้า เดิมพันว่าระหว่างเจ้ากับเผ่าภูติ ฝ่าบาทจะต้องทรงเลือกอย่างหลังโดยไม่มีความลังเล” 

 

 

ประเด็นนี้ ซ่งชิงไต้มีความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง 

 

 

เพราะว่าตอนนั้นนางเองก็เคยถูกพวกเหล่าเทพหลอกลวงจึงได้เปิดเผยความลับในเผ่าภูติออกไป และเพราะเหตุนี้ ฝ่าบาทจึงมิได้คำนึงถึงน้ำใจที่นางมีมาให้นับหมื่นปี ก็เปลี่ยนนางให้กลายเป็นตัวประหลาดและขับไล่ออกไปจากเผ่าภูติตลอดกาล 

 

 

ขนาดกับนาง ฝ่าบาทยังสามารถหักพระทัยทำร้ายได้ 

 

 

แล้วกับตู๋กูซิงหลัน จะไปดีกว่าได้อย่างไรกัน? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่มั่นอกมั่นใจขนาดนั้นของนาง ก็แทบจะหัวเราะออกมา  

 

 

นางเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมถึงทนฟังซ่งชิงไต้พูดพล่ามอยู่ได้? 

 

 

“เจ้าหัวเราะอะไร กลัวแล้วละสิ ไม่กล้าพนันกับข้าใช่ไหม?” ซ่งชิงไต้ชิงชังกริยาที่นางแสดงออกเช่นนี้อย่างยิ่ง 

 

 

แววตาที่เหมือนกับว่าไม่แยแสสิ่งใดอยู่ในสายตาทั้งนั้น ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นก็เกลียดแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้กล่าวว่าอะไร สายลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านพุ่มไม้มา ได้ยินเสียงทุ้มๆดังมาตามสายลมว่า “เช่นนั้นก็คงจะทำให้เจ้าต้องผิดหวังแล้ว” 

 

 

ซ่งชิงไต้หันไปมองตามเสียง 

 

 

ร่างในชุดสีดำอมทองนั่น พลิ้วมาในสายลม เส้นผมของบุรุษผู้นั้นเป็นสีดำดุจน้ำหมึก เขาสาวเท้าก้าวยาวๆเข้ามา 

 

 

แต่มิได้เหลียวแลนางเลยสักนิด 

 

 

พอเดินตรงมาถึงข้างกายของตู๋กูซิงหลัน ก็โอบกอดคนเข้าไปในอ้อมอก “มิว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ในใจของเรา ซิงซิงก็สำคัญที่สุดอยู่เสมอ” 

 

 

แม้ว่ารูปลักษณ์ในตอนนี้ จะไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เป็นซื่อมั่ว แต่ว่ากลิ่นไอจากร่างของเขาก็เหมือนกับซื่อมั่วไม่มีผิดเพี้ยน 

 

 

นางรู้ดี ซื่อมั่วได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างนี้ไปแล้ว 

 

 

จะอย่างไรเขาก็คือหมิงอ๋องแน่นอน 

 

 

คำพูดนั้น เป็นเสมือนมีดปลายแหลมที่จ้วงแทงลงไปในใจของซ่งชิงไต้ 

 

 

ในบรรดาสิบยมราชมีแต่นางเพียงผู้เดียวที่เป็นสตรี และตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ก็มีแต่นางเพียงผู้เดียวที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา 

 

 

แต่สุดท้ายแล้วความผูกพันนี้มิได้มีค่าอะไรเลยกระนั้นหรือ? 

 

 

“แล้วหากว่าข้าใช้ตราประทับยมราชเป็นข้อแลกเปลี่ยนเล่า?” นางไม่ยอมแพ้ นางกำหมัดจนแนบแน่น ปลายเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ 

 

 

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงทราบกระจ่างที่สุด ตราประทับยมราชมีแต่ต้องให้ผู้ครอบครองมอบออกไปอย่างเต็มใจจึงจะได้ แม้แต่พระองค์ก็ยังไม่อาจบังคับแย่งชิงไป!” 

 

 

“เผ่าภูติจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ สิบยมราชต้องสมัครสมานร่วมใจกัน ข้าไม่อาจปรองดองกับพวกเขาได้อีกแล้ว แต่ว่าตราประทับยมราชยังอยู่ในกายของข้าน่ะสิ” 

 

 

ว่าแล้ว ซ่งชิงไต้ก็หัวเราะออกมา 

 

 

“ตอนนี้ ข้าต้องการจะใช้ตราประทับนี้เป็นข้อแลกเปลี่ยน” 

 

 

“ข้าต้องการให้พระองค์หย่าขาดจากนาง หรือไม่ก็แต่งข้าเป็นชายา หรือไม่ก็ไม่แต่งงานไปชั่วชีวิต” 

 

 

ซ่งชิงไต้รู้ดีว่า หากทำเช่นนี้ ฝ่าบาทคงจะเกลียดชังนางเข้ากระดูกดำ แต่ว่าในใจของนางก็ยังโอบกอดความหวังที่อ่อนจางขุมหนึ่งเอาไว้ นางหวังให้เขาเห็นแก่เผ่าภูติ ยินยอมแต่งนางเป็นชายา? 

 

 

ใต้ต้นฮว๋าย ดวงตาหงส์ของจีเฉวียนเย็นเฉียบดุจแท่งน้ำแข็ง ยามที่มองไปยังซ่งชิงไต้ ก็ทำเอานางถึงกับหนาวสะท้าน 

 

 

“อุตส่าห์ปล่อยไปตั้งหมื่นปี สมองของเจ้าถูกลาถีบอยู่ทุกวันหรืออย่างไร?” 

 

 

ซ่งชิงไต้ “…..” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “โอ๋….” ทำไมอยู่ๆนางถึงได้รู้สึกคิดถึงเขาตอนเป็นฮ่องเต้สุนัขขึ้นมา? 

 

 

…………………………..