ราชันเร้นลับ 1074 : คำตอบ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

หลังออเดรย์และเลียวนาร์ดออกจากมิติหมอก ไคลน์ยังไม่รีบร้อนกลับสู่โลกความจริง

ชายหนุ่มยังคงนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะเวิร์ลอย่างเงียบงันต่อไปอีกราวสิบวินาที

จากนั้น มันโบกมือเรียกสิ่งของ

เป็น ‘หัวใจ’ ขนาดเท่ากับกำปั้นเด็ก สีเทาอ่อนและมีรอยหยัก

ตะกอนพลังของ ‘จอมบงการ’ !

ในท่าถือตะกอนพลัง ไคลน์ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากพระราชวังที่โอ่อ่า ตรงเข้าไปในส่วนลึกของมิติหมอกจนกระทั่งถึงบันไดแสงที่ดูคล้ายกับจะนำพาไปสู่อาณาจักรเทพ

หลังจากเดินขึ้นบันได ไคลน์ก้าวไปเหยียบเมฆสีเทาที่ลอยอยู่ด้านหน้าบานประตูแห่งแสงซึ่งด้านบนมีรังไหมโปร่งใสห้อยลงมา จากนั้นก็ยกมือขวามาจ่อหัวใจตัวเองและถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป หวังกระตุ้นให้เกิดการทำงาน

ชายหนุ่มต้องการจะดูว่าบุคคลภายในรังไหมยังมีจิตใต้สำนึกหลงเหลืออยู่หรือไม่ และสร้างทะเลจิตใต้สำนึกรวมในวงแคบๆ ขึ้นมาไหม

เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น แผนของมันคือการใช้ตะกอนพลังจอมบงการของเฮอร์วิน·แรมบิสเพื่อบุกรุกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของแต่ละคนเพื่อตรวจสอบตราประทับทางจิต จะได้ทราบว่าบรรดาคนที่ถูกแขวนเหนือบานประตูแห่งแสงเคยเผชิญประสบการณ์แบบใดมาบ้างก่อนจะ ‘เดินทางข้ามโลก’ รวมถึงต้องการทราบว่าแต่ละคนยังมีสติอยู่หรือไม่ภายในช่วงเวลา ‘การหลับใหลอันยาวนาน’

นี่คือไอเดียที่คิดได้จากการสำรวจในวันนี้

แต่แน่นอน ตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสอาจไม่ช่วยให้ไคลน์บรรลุในสิ่งที่หวัง เพราะสิ่งนี้ยังเป็นเพียงตะกอนพลังดิบ ไม่ใช่สมบัติวิเศษ จึงยากที่จะดึงพลังออกมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ

ทันใดนั้น ‘หัวใจ’ ที่มีรอยหยักภายในมือไคลน์เริ่มยุบพองอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้เกิดเสียงหัวใจเต้น

ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตอบสนองมาจากรังไหมโปร่งใส

ตึกตัก! ตึกตัก!

สิ่งนี้หมายความว่า บุคคลด้านในยังมีชีวิต เพียงแต่อยู่ในสภาวะหลับใหล

ทัศนวิสัยของไคลน์เริ่มแปรเปลี่ยน มันมองเห็น ‘เกาะ’ อันพร่ามัวด้านล่างแต่ละรังไหม

เกาะดังกล่าวหมายถึงดินแดนแห่งจิตใต้สำนึกของแต่ละคน

ทว่าเกาะแห่งจิตเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในอาณาเขตของรังไหม ปิดกันการจ้องมองจากโลกภายนอก

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นเพราะเกาะของแต่ละคนถูกแยกออกจากความเป็นจริง จึงไม่สามารถสร้างทะเลจิตใต้สำนึกรวมขึ้นมา

เว้นเสียแต่จะทำลายรังไหมเหล่านี้ เราคงไม่มีวิธีเจาะเข้าไปในเกาะแห่งจิตของพวกเขา… ไคลน์พึมพำพลางลดแขนข้างที่ถือตะกอนพลังจอมบงการลง

สองสามวินาทีถัดมา มันถอนหายใจยาวและหันหลังเดินกลับ

..

เขตราชินี ภายในคฤหาสน์สุดหรูของเอิร์ลฮอลล์

ในสภาพถูกคลุมด้วยผ้าห่มผ้าไหม ออเดรย์ที่หลับสนิทเป็นเวลานานในที่สุดก็ลืมตา

จากนั้นหญิงสาวลุกขึ้นมานั่งที่ขอบเตียง สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลอย่างจริงใจและขอให้ท่านเป็นสักขีพยานในคำสาบานว่าจะไม่เปิดเผยความลับระหว่างคนทั้งสาม

หลังจากจัดการเสร็จ เธอดึงหมอนมาวางข้างเอวพร้อมกับนึกทบทวนความทรงจำระหว่างการสำรวจที่ควร ‘ลืม’

ประวัติศาสตร์โบราณทั้งน่าสนใจและน่าขนลุก… ความเป็นมืออาชีพของมิสเตอร์สตาร์เป็นไปตามที่เราสังเกตเห็น มีทั้งหย่อนยานและตั้งใจในปริมาณเท่าๆ กัน… แม้สมาธิจะเตลิดได้ง่าย แต่หลายๆ ครั้งก็แสดงความเชี่ยวชาญออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย เรียกว่าพึ่งพาได้ในบางมุม… นิสัยเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปรกติ เพราะมนุษย์จำนวนไม่น้อยจะมีบุคลิกแบบผสมผสาน…

มิสเตอร์เวิร์ลเป็นคนสุภาพอ่อนโยนอย่างที่คิด ภายนอกอาจไม่แสดงสีหน้ามากนัก แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยการพูดคุยกับตัวเอง… บทสนทนาทางจิตระหว่างเขากับมิสเตอร์สตาร์สามารถนำไปสร้างเป็นละครได้สบาย…

ผู้คนมักเรียกเขาว่านักผจญภัยเสียสติที่สามารถยกปืนขึ้นมายิงใส่คู่อริในทันทีที่เห็นตัว… แต่ในจังหวะสุดท้ายของการสำรวจ เราคิดว่าเขาจะพยายามสำรวจบานประตูทองแดงเสียคิด คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเลือก… หนี… ไม่สิ เรียกว่าการถอนตัวอย่างชาญฉลาด! ออเดรย์ยกมุมปากขณะใช้ความคิดเรื่อยเปื่อย

จากนั้นเธอสร้างข้อสรุป

กลับกลายเป็นว่า ภายในโลกผู้วิเศษ ถ้าไม่นับพวกที่เสียสติโดยสิ้นเชิงและใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ ต่อให้เป็นคนบ้าแค่ไหนก็มีวันล้ำเส้นอันตราย… ถ้าอยากอายุยืนต้องระวังตัวและมีสมาธิทุกลมหายใจ ห้ามมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ห้ามฟังไม่สิ่งที่ไม่ควรฟัง…

ออเดรย์ เธอต้องจำใส่ใจไว้ให้ดี!

บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ สติของเลียวนาร์ดกลับคืนสู่ร่างหลัก

มันรีบไตร่ตรองว่าควรจะพูดคุยกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ด้วยหัวข้อใด จากนั้นก็ตัดสินใจกล่าวเสียงทุ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ตาแก่… ผมมีคำถาม”

ภายในหัวเลียวนาร์ด เสียงค่อนข้างชราของพาลีสหัวเราะแห้ง

“เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า ยิ่งถามมากแค่ไหน ข้าก็ยิ่งเดาได้ว่าเจ้าไปทำอะไรมา”

“ก็ไม่ได้เป็นความลับนักหรอก…” เลียวนาร์ดตอบตามความเคยชินก่อนจะเข้าประเด็นหลัก “ตาแก่… รู้เรื่องของพี่ชายอามุนด์มากแค่ไหน”

“ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าต้องการจะรู้ในแง่มุมใด” พาลีส·โซโรอาสเตอร์โยนคำถามกลับมาหาเลียวนาร์ด

เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพัก

“หลังจากพี่ชายอามุนด์ได้รับ 0-08 ท่านก็เข้าใกล้ความเป็นเทพมากเข้าไปทุกที?”

“ก็คงอย่างนั้น” พาลีสไม่ฟันธง

เลียวนาร์ดไม่พอใจกับคำตอบ

“ผมยังจำได้ คุณเคยเล่าว่าสมัยที่จักรวรรดิโซโลมอนเพิ่งก่อตั้ง สองราชาเทวทูตอย่างเมดีซีและโอโรเลอุสค่อนข้างกลัวอามุนด์และพี่ชาย นั่นหมายความว่าพวกเขาเข้าใกล้ความเป็นเทพตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

พาลีสเคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังหลายครั้ง แต่เลียวนาร์ดเพิ่งยืนยันได้หลังจากฟังเรื่องราวของโมเบธ

“เฮ่อะ! ข้าแค่พูดประโยคแรก ไม่เคยบอกว่าอามุนด์กับอาดัมเข้าใกล้ความเป็นเทพ” พาลีสโต้แย้งความกล่าวอ้างของเลียวนาร์ด “มีเหตุผลหลายข้อที่ทำให้เมดีซีและโอโรเลอุสหวาดกลัว ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทั้งสองเข้าใกล้ความเป็นเทพ… การอนุมานเช่นนั้นของเจ้ายังอ่อนหัด”

เทวทูตลำดับ 1 รายนี้กระแอมก่อนจะเล่าต่อ

“การที่พวกเขาเข้าใกล้ความเป็นเทพนั้นก็เหตุผลหนึ่ง ส่วนอีกเหตุผลก็คือ อาดัมและอามุนด์ต่างถือครอง ‘เอกลักษณ์’ ในอำนาจของตัวเองจนยากจะมีใครรับมือไหว… ยกตัวอย่างเช่น เจ้าไม่มีวันรู้ว่าอาดัมมานั่งอยู่ข้างๆ หากเขาไม่ต้องการให้รู้… เจ้าไม่มีวันตระหนักว่าตัวเองถูกอาดัมชักนำให้ใช้ชีวิตไปตามเขาต้องการ… หรือเจ้าอาจจะตั้งใจเดินเข้าไปหากับดักที่อาดัมวางไว้และตายไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว… หึหึ… แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดกับเจ้า ไม่ใช่ข้า เพราะข้าเองก็มีวิธีรับมืออยู่บ้าง แต่หากประมาทเมื่อไรก็ไม่รอดเช่นกัน… สำหรับอามุนด์ แนวคิดค่อนข้างแตกต่างจากอาดัมพอสมควร อามุนด์เป็นพวก ‘ชอบลอง’ ส่งผลให้ผู้คนไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมล่วงหน้าได้เลย นอกจากนั้นยังเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก ทุกการกระทำจะมีกลอุบายอยู่เบื้องหลังเสมอ… ในยุคดังกล่าว นอกจากเทพแท้จริง ไม่มีใครไม่หวาดกลัวอามุนด์… หึหึ… แม้แต่เทพแท้จริงก็ห้ามประมาทเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจถูกขโมยอำนาจในบางขอบเขตโดยไม่รู้ตัว”

เลียวนาร์ดพยักหน้าแผ่วเบาและเปลี่ยนหัวข้อ

“ตาแก่… คุณคิดว่าเส้นทางผู้ชมซุกซ่อนความลับเอาไว้ไหม?”

“ในระดับต่ำกว่าเทวทูตไม่น่าจะมี… แต่เหนือจากนั้นขึ้นไปข้าไม่ทราบ” พาลีสกล่าวหลังจากครุ่นคิด

โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดตอบสนอง มันเสริมอย่างไม่มั่นใจนัก

“ข้าเคยได้ยินจากเมดีซีว่า ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมนั้นคลุ้มคลั่งและเสียสติได้ยากที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด”

“ไม่เข้าใจ…” เลียวนาร์ดขมวดคิ้ว

พาลีสพ่นลม

“สิ่งนี้ข้ารู้เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน ไว้มั่นใจมากกว่านี้จะเล่าให้ฟัง”

“ข้อสันนิษฐาน? คุณไม่รู้อะไรเลยมากกว่ากระมัง” เลียวนาร์ดเย้ยหยัน

“ลูกไม้ตื้นๆ ใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอกนะ” เสียงที่ค่อนข้างชรายังคงสงบนิ่ง

เลียวนาร์ดไม่ซักไซ้ในหัวข้อเดิม เพียงไตร่ตรองสักพักและถามเรื่องอื่น

“ตาแก่… คราวนี้ผมได้เข้าไปในความฝันที่ค่อนข้างพิเศษ… ที่นั่นเต็มไปด้วยจิตตกค้างของผู้คนจากสมัยโบราณ… พอจะรู้จักคนที่ชื่อโมเบธ·โซโรอาสเตอร์บ้างไหม”

“โมเบธ…” เสียงของพาลีสแก่ลงมากในชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานก็กลับไปเป็นปรกติ “เขาเป็นทายาทสายตรงของข้า หายตัวไปหลังจากจบสงครามใหญ่ ในตอนนั้นมีการสันนิษฐานว่าถูกฆ่าโดยฝีมือของอามุนด์หรือไม่ก็เจคอป เพราะข้าไม่สามารถทำนายหาตัวฆาตกร… ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายแบบนั้นสินะ”

“อา…” เลียวนาร์ดไม่ปฏิเสธ จากนั้นก็เล่าคร่าวๆ “เขาเสียชีวิตไปได้สักพักแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงจิตตกค้าง… ในความฝันดังกล่าว เขาแต่งงานและชีวิตร่วมกับผู้ขับขานแห่งเอลฟ์อย่างมีความสุข…”

หลังจากได้ฟัง พาลีสเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ

“แบบนี้ดีแล้ว…”

เลียวนาร์ดต้องการจะเอ่ยถึงเรื่องที่โมเบธเรียกพาลีสว่า ‘ตาแก่’ เหมือนกับตน แต่มันกลับพูดไม่ออกเป็นเวลานาน จนกระทั่งตัดสินใจจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้

หลังจากเป็นสักขีพยานให้คำสาบานของเลียวนาร์ดและออเดรย์ ไคลน์กลับสู่โลกความจริง

มันเก็บกวาดแท่นบูชาในห้อง จากนั้นก็หยิบปากกาและกระดาษออกมาวาดสัญลักษณ์ที่เป็นส่วนผสมระหว่าง ‘ความลับ’ และ ‘ส่องความลับ’

ไคลน์คิดจะอัญเชิญอาโรเดสออกมาถามถึงสาเหตุที่กระจกวิเศษบานนี้มั่นใจว่า ‘การเดินทางของกรอซายปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิดหายไป’

รอคอยอย่างอดทนราวสิบวินาที กระจกบานใหญ่ภายในห้องก็ส่องแสงคล้ายสายน้ำ

ตัวอักษรสีเงินเรียงกันท่ามกลางแสงสลัว

“นายท่านผู้สูงส่งและเปี่ยมไปด้วยความกรุณา ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และต่ำต้อยของท่าน มาตามคำเรียกหาแล้ว!”

“ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”

“มีคำถามนิดหน่อย” หลังจากขานตอบ ไคลน์ไม่รีบร้อนถามเกี่ยวกับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ตั้งแต่แรก แต่เลือกเปิดบทสนทนาด้วยหัวข้อสบายๆ ไปก่อน

มันไตร่ตรองสักพัก

“อาโรเดส ในป่าเดแลร์มีปราสาทร้างแห่งหนึ่ง ลึกลงไปด้านล่างของปราสาทมีบานประตูทองแดงที่ดูเหมือนจะคอยผนึกพลังงานบางอย่างที่เอ่อล้นจากใต้ดิน… สิ่งนั้นคืออะไร?”

สิ้นเสียงไคลน์ ผิวกระจกบานใหญ่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด

ท่ามกลางความมืด ตัวอักษรสีขาวถูกเขียนอย่างพลิ้วไหวราวกับสายน้ำ

“ข้ามาจากใต้ดิน…”

………………………………….