ตอนที่ 933 พลังของลูกกลอนกระบี่

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

จินเทียนชื่อที่อยู่ไม่ไกลร่างกายโงนเงนแล้วเซร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง

“ปึก” เขาหล่นลงไปในกองเศษหินด้านล่างจนฝุ่นสีเทาฟุ้งกระจาย

หลิ่วหมิงตกใจรีบปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านจินเทียนชื่อบนพื้นทันที เมื่อพบว่าแม้ปราณของเขาจะแผ่วเบาอย่างยิ่งและเลือดลมก็ปั่นป่วนอยู่บ้าง แต่น่าจะไม่ต้องกังวลถึงชีวิต เขาถึงโล่งอก

ตอนนี้เองจู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ร่างกายเลือนรางวูบหนึ่งกลายเป็นเงาสี่ร่างที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการ พุ่งเร็วรี่ไปคนละทิศพร้อมกันดุจบุปผาบาน

ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมดัง “ฟึบ” “ฟึบ” พร้อมกับที่อากาศรอบด้านไหวกระเพื่อม ลูกธนูสีเขียวหม่นมากมายถี่ยิบปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าแล้วโถมเร็วรี่มามืดฟ้ามัวดิน

เงาสามร่างที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นถูกลูกธนูสีเขียวหม่นพุ่งทะลุในพริบตาแล้วพังทลายกลายเป็นปราณสีดำอีกครั้ง

มีเงาเพียงร่างเดียวที่คำรามแผ่วเบาแล้วสองมือกลายเป็นเงาหมัดนับไม่ถ้วนกระหน่ำต่อยโจมตีลูกธนูส่วนใหญ่ที่อยู่รอบข้างจนสลายไป ทว่าแผ่นหลังกลับถูกลูกธนูที่หลุดรอดมาสองดอกโจมตีเข้าอย่างแรงดังปึกสองครั้งทำให้เขาหน้ามืดจนเกือบร่วงหล่นจากท้องฟ้า

ความเจ็บปวดแล่นจากแผ่นหลังเข้าสู่หัวใจ หลิ่วหมิงในเวลานี้ชุดเกราะสีเงินปริแตกปะปนอยู่กับเลือดเนื้อเละเทะ เกล็ดสีแดงฉานหลายเกล็ดแตกเป็นชิ้นๆ

มนุษย์ปีศาจที่อยู่ไกลออกไปเห็นการจู่โจมกะทันหันครั้งนี้ไม่สำเร็จ ใบหน้าก็เคร่งขรึม

ลูกธนูสีเขียวหม่นที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันเป็นสิ่งที่เขาแอบสร้างจากการรวมไอปีศาจของแขนขาที่ระเบิดตัวเองก่อนหน้านี้

หากเมื่อครู่หลิ่วหมิงไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาเกราะอสูรกับเรียกเกล็ดมังกรสีแดงออกมาปกป้องแผ่นหลังไว้ก่อนก้าวหนึ่ง เขาก็คงถูกการลอบจู่โจมกะทันหันครั้งนี้ทะลวงผ่านจุดสำคัญไปจริงๆ

“เหอะ! ปฏิกิริยาว่องไวยิ่งนัก! แต่ตอนนี้ใช้วงแหวนสะกดมารไปแล้ว สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าก็คงไม่ได้ปล่อยออกมาง่ายๆ ข้าจะดูสิว่าเจ้ายังจะดิ้นรนได้จนถึงเมื่อไร!”

มนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์พ่นลมหายใจออกมา ร่างกายฉับพลันขยับวูบกลายเป็นพายุมารสีเขียวหม่นสายหนึ่งพุ่งโถมออกมา

หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์ก็แค่นเสียงหยัน เขาไม่พูดพร่ำยกมือขึ้นข้างหนึ่ง มังกรหมอกสีดำขนาดยี่สิบกว่าจั้งสามตัวก่อตัวออกมาในพริบตาแล้วพุ่งเข้าใส่ฝั่งตรงข้ามอย่างดุดัน

“รนหาที่ตาย!”

เสียงคำรามดังออกมาจากด้านในพายุมารสีเขียวหม่น พายุมารหมุนวนอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นพายุหมุนขนาดมหึมาในพริบตา แล้วหอบมังกรหมอกสามตัวเข้าไปด้านในปั่นจนสลายเป็นชิ้นๆ ในทันใด

เงาคนร่างหนึ่งพุ่งออกมา ร่างต้นของมนุษย์ปีศาจนั่นเองที่พุ่งออกมาจากกลางพายุมาร เขาเลือนหายไปวูบหนึ่งแล้วปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิงประดุจเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา แขนข้างหนึ่งสะบัด ทันใดนั้นแส้ยาวที่มีเพลิงสีม่วงวนล้อมเส้นหนึ่งก็หวดเข้าใส่หลิ่วหมิงดั่งสายฟ้าแลบ

ระยะห่างใกล้ขนาดนี้หลิ่วหมิงหลบไม่พ้นอย่างสิ้นเชิง เพลิงสีม่วงที่ลุกโชติช่วงร่วงลงมาครู่เดียวก็กลืนร่างของหลิ่วหมิงหายไปด้านในจนหมด

มนุษย์ปีศาจเผยสีหน้ายินดี เขาขยับนิ้วมือครั้งหนึ่งแล้วพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมาใส่เพลิงสีม่วงเต็มผืนฟ้า เพลิงมารทั่วฟ้าส่งเสียงดังพรึ่บแล้วลุกไหม้อย่างรุนแรงจนกลายเป็นทะเลเพลิงสีม่วง

ทว่าเมื่อมนุษย์ปีศาจทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งสั่งให้เปลวเพลิงทั่วฟ้าม้วนตัวสลายไป ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า มีเพียงยันต์ที่ทอแสงสีทองหม่นหมองแผ่นหนึ่งลอยร่วงลงมาอย่างเชื่องช้า มันคือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง!

หลิ่วหมิงคนก่อนหน้านี้กลับเป็นเพียงร่างจำแลงของยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง ส่วนหลิ่วหมิงตัวจริงเป็นจั๊กจั่นลอกคราบหนีไปก่อนที่เพลิงมารจะร่วงลงมาแล้ว

ในเวลานี้เองเงาเลือนรางของคนผู้มีปีกสองข้างอยู่บนแผ่นหลังก็โผล่ออกมาตรงที่ว่างห่างจากมนุษย์ปีศาจหลายสิบจั้ง สองตาของเขาจับจ้องมนุษย์ปีศาจอย่างเย็นชา พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ลูบข้างเอวอย่างแผ่วเบา ฝักกระบี่ฝักหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด มันทอแสงสีเงินระยิบระยับอยู่เลือนราง

ร่างต้นของหลิ่วหมิงนั่นเอง!

เขาเป่าลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นนิ้วทั้งห้าที่จับอยู่บนฝักกระบี่ก็พลันดีดรัวจนมองแล้วตาลาย เคล็ดวิชาหลายสายพุ่งจมหายไปในฝักกระบี่ทันที

จากนั้นด้านในฝักกระบี่พลันมีเสียงใสกังวานดังออกมา กระบี่น้อยสีทองยาวสองถึงสามชุ่นเล่มหนึ่งพุ่งออกมา ทั่งร่างแผ่จิตกระบี่อันเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง

“สะบั้น”

หลิ่วหมิงเห็นกระบี่น้อยปรากฏออกมาก็ทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งใส่กระบี่เล่มนี้ จากนั้นโพล่งออกมาคำหนึ่งว่า “สะบั้น”

กระบี่น้อยสีทองดูดซับโลหิตบริสุทธิ์จนหมดสิ้นแล้วเลือนหายไปกลายเป็นก้อนกลมสีทองเรืองรองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือก้อนหนึ่ง จากนั้นหมุนติ้วหายไปกับอากาศ

“แย่แล้ว ลูกกลอนกระบี่!”

ตอนนี้มนุษย์ปีศาจเพิ่งสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เมื่อหันศีรษะมาเห็นภาพกระบี่น้อยสีทองกลายเป็นลูกกลมพอดี เขาก็ตกตะลึงหน้าถอดสีทันที ร่างกายพุ่งพรวดถอยหลังดั่งลูกธนูอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย พร้อมกันนั้นเสียงครืดคราดก็ดังออกมาจากปาก เพลิงมารสีเขียวหม่นปรากฏออกมาเหมือนจะใช้วิชาลับอันร้ายกาจสักวิชา แต่สายไปแล้ว

พริบตาเดียวหลังจากนั้นลำคอของเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง ปราณกระบี่สีทองอ่อนที่เลือนรางคล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มีสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นใกล้เพียงเอื้อมมือแล้วแล่นผ่านไปดุจสายฟ้าแลบ ก่อนจะก่อตัวเป็นมุกกลมสีทองระยิบระยับทั้งเม็ดใหม่อีกครั้ง จากนั้นขยับไหววูบหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่เคยปรากฏมาก่อน

ปากของมนุษย์ปีศาจเพิ่งพ่นเพลิงมารสีเขียวหม่นออกมาได้ครึ่งเดี๋ยว มันก็ส่งเสียงดังพรึ่บแล้วสลายหายไปเช่นนี้

“เจ้า…”

เขาอ้าปากอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ฝืนพูดออกมาได้ประโยคเดียว ตรงลำคอก็มีรอยเลือดเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง จากนั้นร่างไร้ศีรษะก็แยกออกจากหัว สั่นวูบเดียวร่วงลงไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

แส้ยาวสีม่วงเส้นหนึ่งหล่นจากแขนขวาของร่างไร้ศีรษะร่างนั้น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจทั้งตกตะลึงทั้งยินดี

แม้เขาจะถูกบีบให้จนตรอกต้องใช้ไม้ต้ายสุดท้ายก้นหีบ เรียกลูกกลอนกระบี่ที่เพิ่งผนึกไว้บำรุงได้ไม่นานนักออกมาใช้วิชาลับพิเศษของเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง แต่ความน่าอัศจรรย์ยามมันเคลื่อนย้ายชั่วพริบตากับพลังอันมากมายของมันก็ยังเหนือกว่าที่เคยจินตนาการไว้มากยิ่งนัก

นับจากที่เขาอาศัยร่างจำแลงของยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองดึงความสนใจของคู่ต่อสู้เพื่อเปิดผนึกบนฝักกระบี่จนกระทั่งฟันศีรษะของมนุษย์ปีศาจลงมาในหนึ่งกระบี่ ทั้งหมดเพิ่งเป็นเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น

แม้พลังของมนุษย์ปีศาจจะถูกกฎของเศษซากแห่งโลกบนกดไว้จนสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ไม่ถึงสามส่วนของยามปกติ อีกทั้งเขายังได้รับบาดเจ็บหนักอยู่ แต่อย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ตัวจริงเสียงจริง ก่อนหน้าที่เขาจะใช้ลูกกลอนกระบี่ เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะประสบความสำเร็จง่ายดายเช่นนี้

ทว่าหากพูดกันอีกแง่หนึ่ง ต่อให้ลูกกลอนกระบี่มีพลังร้ายกาจเหนือฟ้าอย่างแท้จริง แต่ถ้าเผชิญหน้ากับมนุษย์ปีศาจคนนี้ยามที่มีพลังเต็มที่ มันก็คงไม่มีทางทำสำเร็จในกระบี่เดียวแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องชักช้ามาจนถึงตอนนี้แล้วฝืนใช้วิธีสุดท้ายนี้

ในเวลานี้เองแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นเบื้องหน้าเขา มุกกลมสีทองเม็ดนั้นที่เคลื่อนย้ายชั่วพริบตากลับมาเมื่อครู่นั่นเอง แสงรัศมีบนผิวของมันหม่นลง ราวกับว่าการโจมตีเมื่อครู่ทำให้จิตกระบี่น่าหวาดกลัวที่อยู่ในตัวมันรั่วออกไปมากกว่าครึ่ง

หลิ่วหมิงเพ่งความคิด ส่วนมือข้างหนึ่งลูบฝักกระบี่สีเงินอ่อนข้างเอวอีกครั้ง มุกกลมสีทองพุ่งเข้าไป

แสงสีเงินไหลเคลื่อนบนผิวฝักกระบี่สีเงินอ่อนแล้วหายไปไร้ร่องรอยอีกครั้ง

ในเวลานี้เองเสียงร้องประหลาดก็ดังขึ้นกลางท้องฟ้า หลิ่วหมิงมองตามเสียงไปจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เมื่อครู่เขามัวแต่ตกอยู่ในอารมณ์ตื่นตะลึงและยินดีจากการใช้ลูกกลอนกระบี่ครั้งแรก จึงไม่ได้สนใจสักนิดว่าศีรษะของมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ผู้นั้นไม่ได้ร่วงหล่นลงมาตามร่างกาย แต่ยังคงตั้งลอยอยู่กลางอากาศ ตรงลำคอเลือดสีเขียวเข้มจับตัวแข็ง ด้านนอกมีไอปีศาจสีเขียวหม่นชั้นหนึ่งหุ้มอยู่

เวลานี้เขากำลังอ้าปากพ่นไอปีศาจสีเขียวหม่นสายหนึ่งไปหาแส้ยาวสีม่วงที่หล่นร่วงอย่างรวดเร็วลงไปเบื้องล่าง

“อย่าฝัน!”

หลิ่วหมิงที่เคยสัมผัสพลังของแส้ยาวสีม่วงมาแล้วย่อมไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ เขาตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวในทันใด ไอหมอกสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วกลางอากาศก็ก่อตัวเป็นศีรษะที่มีเส้นผมยาวสีเขียวทั้งศีรษะ เฟยเอ๋อร์นั่นเอง

ทันทีที่เฟยเอ๋อร์ปรากฏกายก็พุ่งตรงไปหาแส้ยาวสีม่วงที่ร่วงลงไปทันที

ส่วนปีกสองข้างบนแผ่นหลังของหลิ่วหมิงพัดกระพือกลายเป็นรุ้งยาวสีเงินเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่เข้าไปหาศีรษะของมนุษย์ปีศาจ

เฟยเอ๋อร์โฉบหายวับไปไม่กี่ครั้งก็อยู่ห่างจากแส้ยาวสีม่วงร้อยกว่าจั้ง ไวกว่าไอปีศาจสีเขียวหม่นเล็กน้อย เส้นผมสีเขียวมากมายพุ่งเร็วรี่ออกไปหุ้มแส้ยาวสีม่วงไว้ก่อนก้าวหนึ่ง

ศีรษะมนุษย์ปีศาจเห็นสถานการณ์ก็หน้าเขียว สีหน้าลังเลปรากฏเพียงแวบเดียวก่อนจะจางหายไป เขากัดฟันบ่ายหน้าแหวกท้องฟ้าหนีไปในทันทีพร้อมกับที่ปากท่องเคล็ดวิชาดังงึมงำออกมา

เส้นผมสีเขียวของหัวบินพันแส้ยาวสีม่วงไว้และกำลังจะลากกลับมา แต่ทันใดนั้นไอปีศาจสีเขียวหม่นที่ศีรษะมนุษย์ปีศาจพ่นออกมาก็หมุนคว้างจมลงในแส้ยาว

ฉับพลันผิวของแส้ยาวก็มีอักขระสีม่วงตัวแล้วตัวเล่าปรากฏออกมา แสงจิตวิญญาณส่องสว่างวูบวาบ แผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัวประหลาดสายหนึ่งออกมา

“เฟยเอ๋อร์ ไม่ต้องสนใจสมบัติชิ้นนี้แล้ว รีบหลบเร็ว!”

หลังจากหลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสไปด้านหลัง เขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาหยุดลำแสงแล้วสั่งเฟยเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นแขนเสื้อก็สะบัดเรียกมุกพลังวารีออกมาถ่ายเทพลังเวทเข้าไปด้านในอย่างบ้าคลั่ง เกราะวารีสีดำชั้นหนึ่งลอยออกมาจากร่างในทันใด

เฟยเอ๋อร์เข้าใจในทันที เส้นผมสีเขียวเต็มศีรษะโยนแส้ยาวออกไปไกล แล้วมันก็หมุนตัวกลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าหนี

เสียงเปรี้ยงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง

หลังจากแส้ยาวสีม่วงถูกโยนออกไปเพียงชั่วครู่ มันก็กะพริบวูบวาบไม่กี่ครั้งก่อนจะระเบิดตัวเอง กลายเป็นเมฆรูปเห็ดสีม่วงสูงหลายร้อยจั้งก้อนหนึ่งลอยขึ้นมา

ของสิ่งนี้เป็นถึงอาวุธเวทที่แท้จริงของมนุษย์ปีศาจ เมื่อระเบิดตัวเอง พลังแข็งแกร่งเพียงไรคิดดูก็รู้ ปราณสีม่วงซัดถาโถมไปทั่วทุกสารทิศ พลังของมันแผ่ไปทั่วทั้งหุบเขา ยอดเขาหลายลูกที่ยังเหลืออยู่สลายกลายเป็นจุณในพริบตา ฝุ่นทรายบนพื้นดินพัดขึ้นมาทั่วท้องฟ้า

หลิ่วหมิงรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณรุนแรงด้านนอกมุกพลังวารี ม่านวารีทั้งผืนสั่นไหวอย่างรุนแรง ผิวของเกราะวารีปรากฏรอยร้าวหลายเส้น

ในเวลาเดียวกันนี้แสงดาวสายหนึ่งก็พุ่งจากพื้นดินบริเวณใกล้ๆ ขึ้นมาบนท้องฟ้า มันพุ่งวูบผ่านไปแล้วอุ้มเฟยเอ๋อร์จากไปด้วย หลังจากส่องสว่างวูบหนึ่งเขาก็ปรากฏตัวห่างไปหลายร้อยจั้งโดยที่มีกระแสปราณสีม่วงไล่โจมตีด้านหลัง เขาโซเซครั้งหนึ่งทำท่าจะล้มลงไปกับพื้น จินเทียนชื่อนั่นเอง!

“รีบตามไป!”

จินเทียนชื่อตั้งหลักได้อย่างหวุดหวิดอยู่ท่ามกลางแสงดาว ริมฝีปากขยับเล็กน้อยส่งกระแสจิตประโยคหนึ่งแล้วล้วงยันต์สีทองอ่อนแผ่นหนึ่งมาฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างเร็วไว เกราะคุ้มกันสีทองชั้นหนึ่งล้อมเขากับเฟยเอ๋อร์ไว้ด้านใน

หลิ่วหมิงฟังแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาไม่สนใจคลื่นปราณที่พุ่งโจมตีมาด้านหน้า แต่เก็บมุกพลังวารีแล้วกระพือปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังทันที เสียงสายลมพัดรุนแรงดังหวีดหวิว แสงสีเงินกะพริบวูบเดียวก็ไล่ตามไปยังทิศทางที่ศีรษะมนุษย์ปีศาจหนี

ทว่าชักช้าเพียงครู่เดียว ศีรษะของมนุษย์ปีศาจก็อยู่ห่างไปหลายลี้แล้ว

เวลานี้ศีรษะของมนุษย์ปีศาจเองก็สังเกตเห็นแสงสีเงินที่กะพริบวูบวาบทางด้านหลังเช่นกัน เขาพลันกัดฟัน อ้าปากถ่มโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งสร้างหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งออกมาทันที

หมอกโลหิตกับไอปีศาจสีเขียวหม่นเกี่ยวกระหวัดพันกัน ด้านในมีอักขระมารประหลาดโลดเต้นขึ้นลงไม่หยุด ศีรษะทั้งหัวเลือนรางวูบหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีเลือดสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่จากไป มันสั่นวูบเดียวก็กระโจนไปด้านหน้าไกลหลายร้อยจั้งอย่างน่าเหลือเชื่อ และหลังจากสั่นอีกครั้ง มันก็กลายเป็นจุดสีดำจุดหนึ่งแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“วิชาโลหิตหลบหลีก!”

รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลงแล้วเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย