บทที่ 531.5 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจียงซ่างเจินกลับมาถึงเรือนของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ในที่สุดก็รู้เสียทีว่าเหตุใดผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปผู้นั้นถึงได้ถูกคนขโมยดวงจันทร์ไปจากบนบ่า คาดว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ถูกคงเจ้าอารามผู้เฒ่าคว้าเอาดวงตะวันมาไว้ในมือ แล้วสกัดดึงเอาแก่นของมันไปใส่ไว้ในดวงตาอีกข้างหนึ่งของแม่นางน้อยคนนี้”

ยาเอ๋อร์ที่รับฟังรู้สึกตะลึงพรึงเพริดไปหมด

เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง “อัดอั้นตันใจมากเลยใช่ไหมล่ะ ตัวเองฝึกตนอย่างยากลำบากเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าต่อให้ฝึกตนไปชั่วชีวิตก็ยังเทียบกับโชควาสนาครั้งหนึ่งที่คนอื่นได้ไปครองไม่ได้?”

ยาเอ๋อร์ไม่กล้าเอ่ยอะไร

เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยีหยิบเอาสมบัติพิทักษ์ขุนเขาในอนาคตของสำนักเจินจิ้งที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งออกมา “ข้ามอบให้เจ้าด้วยความจริงใจ เจ้ารับไว้ได้ไหวไหม? จะไม่ตายหรือ? ต้องตายอยู่แล้ว อีกทั้งเจ้ายังไม่รู้ด้วยว่าตัวเองตายไปได้อย่างไร เป็นฝีมือของหลิวเหล่าเฉิง หรือว่าหลิวจื้อเม่า? หรือว่าจะเป็นพวกผู้ถวายงานน้อยใหญ่ที่ติดตามสำนักกุยหยกมา แค่พวกเขาตั้งใจใช้กลอุบายง่ายๆ เจ้าก็ย่อมต้องงับเหยื่อ หลังจากนั้นก็ร่างดับมรรคาสลาย”

ยาเอ๋อร์รอคอยให้เจ้าสำนักอย่างเจียงซ่างเจินเก็บอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นไปเงียบๆ

แต่เจียงซ่างเจินกลับกำไข่มุกเม็ดนั้นไว้แน่น แล้วตบมันลงบนหว่างคิ้วของนาง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกให้เจ้าแล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยคิดว่าได้กอดขาใหญ่ๆ (เปรียบเปรยว่ามีที่พึ่งใหญ่) แล้วจะสามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ อยู่ในสถานที่ที่มีฝูงเสือฝูงหมาป่าห้อมล้อมเช่นนี้ ยังจะทำตัวมีตาแต่ไร้แววเหมือนตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้หรอกนะ”

ยาเอ๋อร์รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างจมอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด จิตวิญญาณถูกต้มด้วยน้ำที่เดือดพล่าน นางยกสองมือกุมหัว เจ็บปวดจนลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น

เจียงซ่างเจินโบกชายแขนเสื้อสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมานานแล้ว

“ข้าต้องการใช้เจ้าไปเป็นเหยื่อล่อตกเอาสันดานของหลิวเหล่าเฉิงกับหลิวจื้อเม่าออกมา ก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระนี่นะ ความทะเยอทะยานย่อมมีมาก ชอบความอิสระเสรีเป็นที่สุด ข้าเข้าใจได้ หากพวกเขาอดทนไว้ได้ พวกเขาคนหนึ่งก็ควรได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน คนหนึ่งควรจะฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด เดินขึ้นสู่ที่สูง ร่วมชมจันทราและสายลมไปพร้อมกับข้าเจียงซ่างเจิน แต่หากอดใจไม่ไหว ต่อให้แค่เกิดความคิดเพียงเล็กน้อย มีการกระทำแค่นิดๆ หน่อยๆ ข้าก็คงต้องตัดใจยอมให้สำนักเจินจิ้งสูญเสียแม่ทัพใหญ่สองท่านไปอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว”

เจียงซ่างเจินนั่งไขว่ห้างอยู่ด้านข้าง รินน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย “ผู้ฝึกตนทุกคนในใต้หล้าแห่งนี้แทบจะไม่มีใครที่สามารถตระหนักได้ว่ามีเพียงสันดานของตัวเองเท่านั้นที่ถึงจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่สามารถติดตามตนไปได้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง”

……

ในตรอกแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน

เด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนมานานหลายปี ครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง

เมื่อหลายปีก่อนท่านลู่บอกลาจากไป บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสคงได้พบกันอีกครั้งข้างนอก แต่หากเป็นในใต้หล้าแห่งนี้ก็อย่าได้หวังอีกเลย

เวลานั้นท่านลู่เป็นบุคคลอันดับที่สองอย่างสมศักดิ์ศรีในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว ศักยภาพสูสีกับอวี๋เจินอี้เทพเซียนผู้เฒ่าแห่งพรรคหูซานที่รูปลักษณ์เหมือนเด็กน้อย สามารถขี่กระบี่เดินทางไกล

ไม่เพียงเท่านี้ ภายใต้การนำของถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งแคว้นเป่ยจิ้น กองทัพใหญ่ก็กรีฑาทัพขึ้นเหนือบุกไปเยือนทุ่งหญ้ากว้าง ผลงานทางการต่อสู้เลิศล้ำ หลังจากนั้นมาถังเถี่ยอี้และกองทัพเป่ยจิ้นก็ไม่มีการระดมกำลังทำสงครามอีก แต่ปล่อยให้คนของทุ่งหญ้าตกอยู่ในสภาวะเกิดความขัดแย้งกันเองเป็นการภายใน บุตรสังหารบิดา พี่สังหารน้อง

อีกทั้งถังเถี่ยอี้ยังเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพังอยู่หลายครั้ง ใช้ดาบประจำกายอย่างเลี่ยนซือไปลับคมกับยอดฝีมือของทุ่งหญ้ากว้างนับครั้งไม่ถ้วน

ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากที่เดินทางผ่านแคว้นหนันเยวี่ยนครานั้นก็สละกิจการบ้านเรือนอันร่ำรวยทั้งหมดที่มีอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างทิ้งไป กลายไปเป็นสมาชิกของพรรคหูซานแทน

ส่วนแคว้นซงไล่ที่เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้หุ่นเชิดที่พรรคหูซานเป็นผู้ประคับประคองมากับมือตัวเองก็เริ่มระดมกำลังค้นหาผู้ฝึกตนที่เหมาะสมอย่างกำเริบเสิบสาน

ยอดเขาเหนี่ยวค่านของลู่ฝ่างกับตำหนักคลื่นวสันต์ของหนุ่มปักบุปผาโจวซื่ออยู่ในสภาวะปิดภูเขาตลอดเวลา

เพียงแต่ว่าสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าเหล่านี้ เด็กหนุ่มชุดเขียวทำเพียงแค่มองอยู่ในสายตาเงียบๆ เขายังคงมุ่งมั่นอ่านตำรา รวมไปถึงตั้งใจฝึกตนมากกว่า

ท่านอาจารย์จ้งชิว ท่านอาจารย์ลู่ ต่างคนต่างก็เคยเดินทางไปท่องขุนเขาทั้งห้าแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นเพื่อนเขาเฉาฉิงหล่างหนึ่งครั้ง

ทั้งเป็นการเดินทางไกล แล้วก็เป็นทั้งการฝึกตน

ตอนนั้นในมือของเด็กหนุ่มมีสมุดภาพวาดขุนเขาทั้งห้าที่แท้จริงเล่มนั้นอยู่ในมือ และหลังจากที่ราชครูจ้งชิวได้วัตถุตระกูลเซียนชิ้นนี้ไปในปีนั้น ด้วยกังวลว่าอวี๋เจินอี้จะแย่งชิงไป จึงพยายามจะทำลายมันอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไร้ผล ภายหลังไม่รู้ว่าท่านลู่พูดอะไร ราชครูถึงได้มอบสมุดเล่มนี้ไว้ให้เฉาฉิงหล่างดูแล เฉาฉิงหล่างเองก็พอจะคาดเดาเบาะแสได้คร่าวๆ อันที่จริงการที่ท่านลู่เป็นปฏิปักษ์ต่ออวี๋เจินอี้เช่นนี้ ก็ทั้งเป็นการทำเพื่อตน แล้วก็ทำเพื่อตำราเทพเซียนที่ลี้ลับมหัศจรรย์เล่มนี้ด้วย

อาจารย์ทั้งสองท่าน ถ่ายทอดความรู้ที่ค่อนข้างแตกต่างกันให้กับเฉาฉิงหล่าง

ความรู้ที่อาจารย์จ้งชิวเป็นผู้ถ่ายทอดให้จะอิงไปตามลำดับขั้นตอน มากด้วยมารยาทพิธีการ เพราะถึงอย่างไรจ้งชิวก็เป็นบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าราชครูบุ๋น ปรมาจารย์บู๊

อาจารย์ลู่ไถสอนสอนปนกันหลากหลายแต่ล้วนลงลึกถึงแก่น และอาจารย์ลู่ที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวในใต้หล้าแห่งนี้ก็สามารถลุกผงาดได้อย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ลูกศิษย์หลายคนของเขาต่างก็กลายเป็นผู้กล้าที่ได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เฉาฉิงหล่างเดินไปเปิดประตู

คือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่เคราสองข้างขาวโพลนคนหนึ่ง

ราชครูแห่งแคว้นหนันเยวี่ยน

จ้งชิวกับเฉาฉิงหล่างที่เป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวพากันทรุดตัวลงนั่ง

จ้งชิวยิ้มกล่าว “ฉิงหล่าง ตอนที่เจ้าเป็นเด็กก็มีคำถามมากมาย ถามว่าดวงดาวมาจากไหน ถามเรื่องการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนของตะวันจันทรา ถามเรื่องต้นกำเนิดลมฝน ข้าที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนไม่อาจให้คำตอบได้ วันหน้าเจ้าสามารถไปตามหาคำตอบด้วยตัวเองได้แล้ว”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับเบาๆ

จ้งชิวเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “แต่ข้าหวังว่าในอนาคต เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนพูดให้กับใต้หล้าแห่งนี้ได้ อย่าได้ตกอยู่บนกระดานหมากล้อมที่แต่ละคนยากจะหลีกหนีชะตากรรมของการตกเป็นเม็ดหมาก”

เฉาฉิงหล่างเอ่ย “แน่นอน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับว่าความสามารถของข้าในอนาคตจะสูงหรือต่ำ แต่ก็ไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น อีกอย่างข้าก็เชื่อมั่นใจตัวเขา”

จ้งชิวหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”

วางใจในตัวบัณฑิตชุดเขียวที่ตัวเองคอยมองเขาเติบโตมาปีแล้วปีเล่า แล้วก็วางใจในตัวของคนหนุ่มที่สวมชุดขาวสะพายกระบี่ผู้นั้นด้วย

จ้งชิวพลันเกิดความลังเลเล็กน้อย

เฉาฉิงหล่างเอ่ย “อาจารย์กำลังลังเลว่าจะอยู่ต่อที่แคว้นหนันเยวี่ยนหรือจะไปเยือนใต้หล้าแห่งนั้นดีใช่หรือไม่?”

จ้งชิวพยักหน้ารับ “ข้าไม่อยากรู้ว่าฟ้าดินด้านนอกนั้นกว้างใหญ่แค่ไหนกันแน่ ข้าแค่สงสัยใคร่รู้ต่อความรู้ของอริยะปราชญ์ที่อยู่ข้างนอกนั่น”

เฉาฉิงหล่างคลี่ยิ้มกว้างสดใส “ท่านอาจารย์วางใจเถอะ เขาเคยบอกว่า ตำราด้านนอกราคาไม่แพง”

จ้งชิวเอ่ยสัพยอก “ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุกี่ขวบเอง ปีนั้นไม่ว่าเขาพูดอะไร เจ้ากลับจดจำได้ขึ้นใจเสียทุกเรื่อง”

เฉาฉิงหล่างพึมพำ “จะลืมได้อย่างไร ไม่มีทางลืมหรอก”

คนทั้งสองเงียบงันกันไป

จ้งชิวเงยหน้ามองท้องฟ้า “ฝนใกล้ตกแล้ว”

เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เส้นทางยังคงอยู่ แค่กางร่มก็ได้แล้ว”

……

ตอนนั้นอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนพาลูกศิษย์อย่างจ้าวหลวนหลวนและจ้าวซู่เซี่ยพี่ชายของนางเดินทางออกจากเมืองแยนจือ เริ่มไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ตามแม่น้ำขุนเขาด้วยกัน

เพราะถึงอย่างไรเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภูเขาเหมิงหลงก็ใหญ่เกินไป ใช่ว่าอู๋ซั่วเหวินไม่เชื่อใจเฉินผิงอัน แต่เป็นเพราะระมัดระวังจึงจะขับเรือได้นานหมื่นปี ดังนั้นจึงเลือกที่จะออกเดินทางไกล ออกมาจากแคว้นไฉ่อี

ไปเยือนแคว้นซูสุ่ยก่อนรอบหนึ่ง แล้วก็ได้แวะไปเยี่ยมเยือนซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ของแคว้นซูสุ่ยท่านนั้น

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันได้ถูกคอ แต่ไม่ถึงกับว่าคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนคนที่คนรู้จักกันมานาน

ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเพื่อนของเพื่อนจะต้องกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองเสมอไป

ต้องดูที่วาสนา

แต่ซ่งอวี่เซาชอบเด็กรุ่นหลังสองคนนั้นมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสะใภ้ของซ่งอวี่เซาที่ทุกวันนี้มีหน้าที่คอยดูงานบ้านงานเรือนที่ยิ่งชื่นชอบเด็กสาวหลวนหลวนซึ่งต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออกว่าเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนจากใจจริง คงเกี่ยวกับเรื่องที่นางยังไม่มีบุตรเป็นของตัวเองด้วย พอเจอกับเด็กสาวที่ชาติกำเนิดรันทด แต่กลับเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างหลวนหลวน สตรีแต่งงานแล้วที่มีชาติกำเนิดมาจากสายลับต้าหลีย่อมอดจะสงสารเวทนานางไม่ได้

คนแก่และเด็กหนุ่มสาวสามคนพากันเดินทางกลับเหนือ

ยิ่งขยับลงใต้ก็ยิ่งไม่สงบสุข

อู๋ซั่วเหวินไม่กล้าเอาชีวิตของเด็กทั้งสองไปล้อเล่น

วันนี้คนทั้งสามมาหยุดพักค้างแรมที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง จ้าวหลวนเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ จ้าวซู่เซี่ยฝึกท่าเดินนิ่ง

อู๋ซั่วเหวินที่มองดูอยู่รู้สึกปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด

แน่นอนว่าหลวนหลวนมีพรสวรรค์ดีกว่า ทว่าผู้เฒ่ากลับไม่เคยมีใจลำเอียงต่อเด็กทั้งสอง

อันที่จริงบนร่างของอู๋ซั่วเหวินยังพกตำราลับเล่มหนึ่งมาด้วย ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่เฉินผิงอันคัดเองกับมือทุกขีดทุกตัวอักษร และยังมีเลียนแบบฉวีหวงที่เขาสะพายไว้ด้านหลังตัวเองชั่วคราว ซึ่งต่างก็ไม่ได้อธิบายให้จ้าวซู่เซี่ยฟังอย่างละเอียด

ตามสัญญาที่ให้ไว้กับเฉินผิงอัน อู๋ซั่วเหวินแค่ต้องรอคอยว่าเมื่อไหร่ที่จ้าวซู่เซี่ยฝึกวิชาหมัดประสบความสำเร็จแล้วค่อยมอบของสองสิ่งนี้ให้แก่เด็กหนุ่ม

หลังจากที่ฝึกหมัดเสร็จแล้ว จ้าวซู่เซี่ยก็ยืนอยู่ที่เดิม ทอดสายตามองไปยังทิศไกล

ได้พบกับท่านเฉินอีกครั้งหลังจากที่ต้องจากลากันไปนานในเมืองแยนจือครานั้น ตอนนั้นจ้าวซู่เซี่ยฝึกหมัดได้แค่หนึ่งแสนหกหมื่นสามพันกว่าหมัด

ภายหลังตอนที่จากลากัน เฉินผิงอันได้บอกให้เขาฝึกให้ถึงห้าแสนหมัด

จ้าวซู่เซี่ยรู้ว่าพรสวรรค์ของตนไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตามานะฝึกวิชาหมัด ใช้ความขยันมาชดเชยข้อด้อยของตัวเอง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จ้าวหลวนหลวนมายืนอยู่ข้างกายเขา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพี่ ท่านอยากเป็นลูกศิษย์ของท่านเฉินใช่ไหม?”

จ้าวซู่เซี่ยเกาหัว รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ไม่ค่อยกล้าคิดเท่าไหร่”

ท่านเฉินที่เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง เขาจ้าวซู่เซี่ยจะกล้าเพ้อฝันอยากเป็นลูกศิษย์ของเขาได้อย่างไร?

จ้าวหลวนหลวนเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านพี่ แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าท่านเฉินฝากความหวังกับท่านไว้มาก”

จ้าวซู่เซี่ยคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่สนเรื่องอื่นแล้ว ข้าต้องฝึกหมัดให้ครบห้าแสนครั้งให้ได้ก่อน! เรื่องของวันหน้าก็ไว้พูดกันวันหน้า”

จ้าวหลวนหลวนพยักหน้ารับ

จ้าวซู่เซี่ยพลันถอนหายใจออกมาหนึ่งที

เด็กสาวกล่าวอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”

จ้าวซู่เซี่ยพูดเสียงเบา “ข้าพูดว่าสมมตินะ สมมติว่าโชคดีได้กลายเป็นลูกศิษย์ของท่านเฉิน ถ้าอย่างนั้นข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอะไร? อาจารย์แม่หรือ? ลำดับศักดิ์เช่นนี้จะไม่ปนกันมั่วหรอกหรือ?”

เด็กสาวหน้าแดงก่ำ ประหนึ่งดอกท้อแดงสะพรั่งที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ

นางเตะเข้าที่น่องเล็กของจ้าวซู่เซี่ย “จ้าวซู่เซี่ย! เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ?!”

จ้าวซู่เซี่ยทำหน้าเหรอหรา แยกเขี้ยวเพราะเจ็บที่น่อง

อู๋ซั่วเหวินตะโกนเสียงดัง “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!”

เด็กสาวยิ่งหน้าแดงมากกว่าเดิม หลบไปอยู่คนเดียวไกลๆ

จ้าวซู่เซี่ยหันหน้ามาสบตากับผู้เฒ่าแล้วยิ้มให้กัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

แม้ว่าอายุจะต่างกันมาก แต่ก็เป็นบุรุษเหมือนกันนี่นะ

แต่เมื่อจ้าวซู่เซี่ยเริ่มฝึกหมัดอีกครั้ง เขากลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป

ทุกวันนี้เวลาที่อู๋ซั่วเหวินมองดูการฝึกหมัดที่น่าเบื่อหน่ายของเด็กหนุ่ม บางครั้งเขาถึงขั้นรู้สึกกระจ่างแจ้งในฉับพลัน มักจะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วพรสวรรค์ของจ้าวซู่เซี่ยนั้น ดีมาก?

จ้าวซู่เซี่ยในอดีตไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธอะไรจริงๆ ทว่าจ้าวซู่เซี่ยในเวลานี้ อันที่จริงปณิธานหมัดก็ยังเจือจางอยู่มาก ยังคงไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อะไร

ทว่าสักวันหนึ่ง ขอแค่เด็กหนุ่มยืนหยัดเดินไปบนเส้นทางเส้นนี้ต่อไป ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดก็มีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่ง

ในใต้หล้านี้ผู้ที่มีปณิธานหมัดใกล้เคียงกับเฉินผิงอันมากที่สุด

มีเพียงจ้าวซู่เซี่ยที่ไร้ชื่อเสียงเท่านั้น

……

ทางฝั่งของชายแดนแคว้นชิงหลวน

จิตใจของเซียนหลิวหลีใกล้จะแหลกสลายเต็มที

เซียนซือใหญ่ชุยที่มีรูปโฉมของเด็กหนุ่มสวมชุดขาวผู้นั้น บอกให้เด็กน้อยอ่อนแอบอบบางคนหนึ่งแบกเขา

เด็กน้อยเดินโซซัดเซเซไปบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว

ชุยตงซานโบกตวัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะข้างหนึ่ง ปากก็ร้องย๊าๆๆ ราวกับกำลังขี่ม้าอย่างไรอย่างนั้น

……

ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว

เผยเฉียนเพิ่งจะหลบพ้นหมัดหนึ่งมาได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องโดนหมัดหนึ่งกระแทกใส่หน้าผาก ถูกซัดให้ถอยกรูดไปติดกำแพง แล้วก็ถูกหมัดนั้นตรึงร่างไว้บนผนัง

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าใช้ขอบเขตสี่กระดาษเปียกของโลกมาซ้อมเจ้าที่เป็นขอบเขตสาม แต่เจ้ากลับเหมือนคนที่ตายไปแล้วหลายครั้งแบบนี้? เจ้าเป็นเศษสวะงั้นหรือ?! อาจารย์ของเจ้าคือเศษสวะที่พรสวรรค์พอจะใช้ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คือเศษสวะที่ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน!”

เผยเฉียนที่เหมือนถูกห้อยไว้บนผนังมีเลือดสดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด นางพยายามฝืนลืมตา ถ่มเลือดใส่ผู้เฒ่าคนนั้น

ผู้เฒ่าไม่คิดจะหลบเลี่ยง เพียงแต่เพิ่มพละกำลังลงบนหมัดข้างหนึ่ง หากเรือนไม้ไผ่แห่งนี้เป็นบ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไป คาดว่าศีรษะเล็กๆ นั่นคงฝังยุบเข้าไปทั้งศีรษะแล้ว

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ยอมงั้นรึ? เจ้ามีปัญญาเปิดปากพูดงั้นหรือ? อาจารย์ที่เป็นเศษสวะสั่งสอนลูกศิษย์เศษสวะ! หากข้าเป็นเฉินผิงอัน ป่านนี้คงให้เจ้าหอบเสื่อไสหัวไปไกลนานแล้ว วันหน้าจะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่น!”

หมัดนี้ของเขาทำให้ใบหน้าของเผยเฉียนที่เดิมทีก็มีเลือดโชกจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดไม่เหลือความดำอยู่เลยแม้แต่น้อย

แขนเล็กบางข้างหนึ่งยกขึ้นอย่างสั่นสะท้าน ไม่ถือว่าเป็นการออกหมัดอะไร เพราะได้แค่แตะไหล่ของผู้เฒ่าเบาๆ เท่านั้น

นี่คิดจะช่วยเกาให้กันหรืออย่างไร?

ผู้เฒ่าคล้ายจะเดือดดาลอย่างหนัก เปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ จับทั้งศีรษะของนางเอาไว้ โบกง่ายๆ หนึ่งครั้งร่างของนางก็ปลิวหวือ ลอยไปกระแทกกำแพงอีกด้านแล้วร่วงลงพื้นอย่างแรง

เผยเฉียนหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ผู้เฒ่ามาหยุดอยู่ข้างกายนาง ทรุดตัวลงนั่งยอง แล้วยื่นนิ้วแตะลงไปบนความว่างเปล่าสองสามที

ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็ลุกขึ้นยืน หันหน้าไปพูดกับระเบียงด้านนอกห้อง “ลากออกไป”

ประตูเรือนไม้ไผ่เปิดอ้า เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแบกเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่นอนตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้นขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย ก้าวเดินฝีเท้าแผ่วเบานุ่มนวลแต่กลับรวดเร็ว รีบวิ่งลงไปยังชั้นหนึ่ง

ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ก้าวยาวๆ ออกมาจากห้อง มาหยุดอยู่ตรงราวระเบียง

ผู้เฒ่าหัวเราะแต่กลับไร้เสียง รู้สึกมีความสุขอย่างถึงที่สุด

มีหมัดนั้น

ก็ควรจะเป็นเจ้าเผยเฉียนที่มีขอบเขตแข็งแกร่งที่สุด!

—-