ตอนที่ 2253

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,253 : ผิดหวัง

 

ต้วนหลิงเทียนลุกออกจากเตียง ก่อนที่จะเปิดประตูห้องหับออกไปด้านนอก

 

“ท่านพ่อ! ท่านพ่อออกมาแล้ว!!”

 

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูออกมา สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือเสียงเจื้อยแจ้วที่กำลังเรียกหาเขาอย่างดีใจ มากล้นไปด้วยความคิดถึง

 

มองไปก็แลเห็นต้วนซือหลิง ลูกสาวของเขาที่กำลังเล่นซนอยู่ในลานว่าง รีบเร่งวิ่งหลุนๆเข้ามาหาเขาทันทีเมื่อพบว่าเขาเปิดประตูออกมา

 

ใบหน้าน้อยๆอันเกลี้ยงเกลาดั่งหยกเสลาฉาบไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี

 

“ซือหลิง”

 

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มอ่อนโยนก่อนทีจะก้มลงนั่งยองๆ รับร่างเด็กหญิงตัวน้อยที่กระโดดเข้าสู่อ้อมอก ค่อยอุ้มนางขึ้นมาอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม

 

กล่าวไปต้วนซือหลิงก็ยังพึ่งอายุได้ 10 ขวบปีเท่านั้น

 

แต่ด้วยความที่นางไม่ค่อยได้พบเจอผู้ใด และไม่มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน ทำให้นางยังไร้เดียงสานัก

 

สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว นางไม่ต่างอะไรจากเจ้าหญิงตัวน้อย

 

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่เพียงเห็นนางเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยที่พิเศษและไม่มีใครเสมอเหมือน!

 

“ท่านพ่อ…ทำไมข้ารู้สึกว่า…ท่านเหมือนจะต่างออกไปจากเดิมล่ะ?”

 

ต้วนซือหลิงกระพริบสองตากลมใสมองต้วนหลิงเทียนขึ้นๆลง นางสัมผัสได้ว่าบรรยากาศทั้งกลิ่นอายรอบตัวต้วนหลิงเทียนคล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

 

ก่อนปิดด่านบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนเป็นเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน

 

ทว่าหลังออกจากการปิดด่าน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว บรรยากาศทั้งความรู้สึกที่แผ่ออกมารอบกายอย่างไม่รู้ตัว ย่อมแตกต่างออกไปจากเดิม

 

ถึงแม้ต้วนซือหลิงจะยังไม่ได้เริ่มต้นบ่มเพาะพลังอย่างเป็นทางการ

 

หากแต่ในฐานะผู้ถือครองพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ นางย่อมมีความไวต่อสัมผัสเหนือผู้คนธรรมดา จึงค้นพบความเปลี่ยนแปลงของต้วนหลิงเทียนได้ทันที

 

แน่นอนว่านางไม่อาจบอกได้ว่ากลิ่นอายพลังของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง นางรู้สึกเพียงว่าบิดาคล้ายต่างออกจากเดิมและไม่เหมือนนาง

 

“พ่อทะลวงด่านพลังแล้วน่ะ…”

 

ต้วนหลิงเทียนลูบหัวน้อยๆของนางอย่างเอ็นดู กล่าวออกด้วยรอยยิ้ม

 

“ว้าว! ท่านพ่อยอดเยี่ยมมาก!!”

 

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาต้วนซือหลิงพลันทอประกายสว่างจ้า “ท่านพ่อ…งั้นหมายความว่าตอนนี้ท่านพ่อเป็นเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วเหรอ…ท่านสามารถอยู่ได้ตลอดไปแล้วสิ?”

 

แต่ก่อนต้วนหลิงเทียนเคยบอกเรื่องพลังฝึกปรือของเขากับนางไว้แล้วว่าเขาเป็นเพียงเซียนสวรรค์ 6เปลี่ยนเท่านั้น และเมื่อทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยนเมื่อไหร่ไม่เพียงแต่จะร้ายกาจขึ้น แต่จะมีอายุขัยไร้จำกัด

 

ดังนั้นพอได้ยินต้วนซือหลิงถามแบบนี้ เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ใบหน้าน้อยๆของต้วนซือหลิงก็เปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจังขึ้นมา แลดูเหมือนเด็กน้อยกำลังวางมาดเป็นผู้ใหญ่

 

“ซือหลิง…ลูกมีอะไรหรือ?”

 

เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ต้วนหลิงเทียนแลเห็นลูกสาวตัวน้อยทำหน้าขึงขังจริงจังแบบนี้ เขาอดตกใจไปไม่ได้

 

ไม่รู้ว่าไฉนลูกสาวตัวน้อยถึงทำท่าแบบนี้

 

“ท่านพ่อ…ซือหลิงก็อยากบ่มเพาะพลังด้วย”

 

ต้วนซือหลิงเปิดปากจิ้มลิ้มกล่าวออก “ซือหลิงก็อยากมีชีวิตอมตะเหมือนกันจะได้อยู่ไปนานๆ ซือหลิงจะได้ไม่แก่แล้วตายก่อน ไม่งั้นท่านพ่อต้องเสียใจและเหงาแน่…ซือหลิงอยากอยู่กับท่านพ่อตลอดไป…”

 

ได้ยินคำของลูกน้อย ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที

 

ในขณะที่ในใจบังเกิดความอบอุ่น ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มพลางพูดออกกมาว่า “ซือหลิงอยากบ่มเพาะพลัง พ่อไม่คัดค้าน…แต่เรื่องนี้พ่อต้องถามแม่ของลูกก่อน ว่าแม่ของลูกคัดค้านหรือไม่…ถ้าแม่ไม่ว่าอะไรพ่อจะสอนวิธีบ่มเพาะให้ดีหรือไม่?”

 

“ฮิๆท่านพ่อไม่รู้อะไรซะแล้ว! ท่านแม่ไม่ขัดข้องหรอก ซือหลิงไปขอท่านแม่มาแล้ว…ท่านแม่บอกว่ารอให้ท่านพ่อออกจากการปิดด่านก่อน แล้วจะให้ท่านพ่อเป็นคนสอนซือหลิง!”

 

ต้วนซือหลิงหัวเราะเสียงใส

 

“อ่าวเหรอ ถ้างั้นพวกเราไปหาแม่กัน”

 

ต้วนหลิงเทียนลูบหัวต้วนซือหลิงเบาๆ กล่าวออกด้วยทีท่าเอ็นดู

 

และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ

 

“พี่เทียนท่านออกจากการปิดด่านแล้วหรือ?”

 

เสียงอ่อนโยนทั้งเต็มไปด้วยความประหลาดใจพลังดังขึ้นไม่ไกล ปรากฏร่างสตรีบางนางหนึ่งเดินออกจากห้องหับที่อยู่ติดกันกับห้องของต้วนหลิงเทียน

 

เป็นเค่อเอ๋อนั่นเอง

 

ตั้งแต่ที่เค่อเอ๋อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงด้านนอก นางก็รีบออกมาทันที

 

“อื้ม”

 

เมื่อเห็นเค่อเอ๋อสายตาต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลงทันที ใจที่เหี้ยมหาญนิ่งสงบยังคล้ายจะละลายเป็นน้ำ

 

“ท่านแม่ ท่านพ่อรับปากซือหลิงแล้วแหล่ะว่าจะสอนซือหลิงบ่มเพาะ!”

 

ต้วนซือหลิงหันไปกล่าวกับมารดา สองมือเล็กๆชูขึ้นด้วยความลิงโลด

 

ก่อนที่เค่อเอ๋อจะทันได้กล่าวอะไร ต้วนหลิงเทียนก็พูดออกมาเสียก่อน “ในเมื่อซือหลิงอายุได้ 10 ขวบแล้ว หากลูกอยากบ่มเพาะพลังก็ไม่เป็นไร…”

 

“อย่างไรก็ตามทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้า…ถ้าเจ้าเห็นด้วยพี่จะสอนนางบ่มเพาะทันที แต่ถ้าไม่เห็นด้วยพี่ก็จะรออีกสัก 2 ปี…”

 

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ต้วนซือหลิงอดไม่ได้ที่จะตะลึง เมื่อคืนสติก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน สองตากลมใสยังรื้นขึ้นราวมีม่านหมอกบดบัง “ท่านพ่อ…ไหนเมื่อครู่ท่านพ่อเห็นด้วยกับซือหลิงแล้วนี่นา?”

 

ซือหลิงที่แลดูคล้ายจะร้องไห้ช่างชวนให้ผู้คนเวทนาสงสารนัก

 

“ซือหลิงพ่อสัญญากับลูกแล้วก็จริง แต่นั่นต้องให้แม่เห็นด้วยก่อน…ถ้าแม่ไม่เห็นด้วยพ่อจะกล้าสอนลูกหรือ…”

 

เมื่อเห็นท่าทางของต้วนซือหลิง ใจต้วนหลิงเทียนก็อ่อนยวบลง เร่งกล่าวคำเสียงอ่อน ทั้งลูบหัวปลอบนาง

 

ลูกสาวคนนี้เป็นเค่อเอ๋อเลี้ยงมาแต่เล็กจนโต

 

เรื่องนี้เขารู้สึกผิดต่อเค่อเอ๋อมาโดยตลอด ถึงแม้เขาจะอยากตามใจลูกมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญของนาง เขาจะฟังความเห็นของเค่อเอ๋อก่อน

 

แน่นอนว่าถึงไม่มีเหตุผลดังกล่าว เขาก็ยังต้องถามความเห็นของเค่อเอ๋อก่อนอยู่ดี

 

ท้ายสุดแล้วลูกสาวก็ไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว แต่ยังเป็นของเค่อเอ๋อด้วย

 

ในฐานะมารดา เค่อเอ๋อย่อมมีสิทธิ์แสดงความเห็น กระทั่งเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์กีดกันเรื่องนี้

 

“ท่านแม่…ให้ซือหลิงบ่มเพาะเถอะนะ..นะท่านแม่.”

 

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ต้วนซือหลิงก็รู้ได้ทันทีว่าอำนาจตัดสินใจตอนนี้ขึ้นอยู่กับเค่อเอ๋อ นางจึงได้แต่หันไปมองเค่อเอ๋อด้วยสายตาออดอ้อน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “ท่านแม่สัญญากับซือหลิงแล้วนี่นา…ท่านแม่อย่าหลอกซือหลิงนะ”

 

ตอนนี้เค่อเอ๋อก็เดินมาถึงต้วนหลิงเทียนแล้ว

 

“พี่เทียนข้าฟังท่าน”

 

เค่อเอ๋อกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงใส ท่าทางดั่งศรีภรรยาที่เชื่อฟังสามี

 

แค่นางได้ยินต้วนหลิงเทียนถามแบบนี้ นางก็รู้ดีว่านอกจากความรักแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังให้ความเคารพนางด้วย นางย่อมมีแต่ความซาบซึ้งอบอุ่นใจ

 

ด้วยเหตุนี้เรื่องราวจึงได้ข้อยุติ

 

อนุญาตให้ซือหลิงเริ่มบ่มเพาะพลัง

 

“เค่อเอ๋อ ครั้งนี้ข้าปิดด่านบ่มเพาะไปนานแค่ไหนหรือ?”

 

เมื่อนึกถึงเรื่องที่สงสัยก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ถามออกมาทันที

 

“20 วันเองพี่เทียน”

 

เค่อเอ๋อตอบ

 

“แค่ 20 วันงั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขากะไว้แล้วว่าไม่น่าจะถึงเดือน แต่อย่างน้อยๆก็สมควรผ่านไปราว 25 วัน…

 

แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะพึ่งผ่านไป 20 วันเท่านั้น!

 

“เค่อเอ๋อเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอกพักหนึ่ง…ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด อย่างช้าก็ครึ่งชั่วยาม”

 

เมื่อได้รับทราบว่าตัวเองบ่มเพาะพลังไปนานแค่ไหน ต้วนหลิงเทียนก็มองกล่าวกับเค่อเอ๋อออกมา

 

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เกลี้ยกล่อมให้ลูกสาวตัวน้อยเล่นกับมารดาของนางสักพัก จนในที่สุดก็ตกลงกันได้ หลังส่งนางไปให้เค่อเอ๋อแล้ว เขาก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมที่พักอันเป็นกิจการของวังอีคคีสีชาดทันที

 

การออกมาของต้วนหลิงเทียนรอบนี้ ไม่ใช่เพราะใดอื่น

 

เขาเพียงต้องการทดสอบพลังของตัวเองเท่านั้น ว่าตอนนี้เขาก้าวหน้าไปขนาดไหนแล้ว

 

ถึงแม้พลังฝึกปรือของเขาจะทะลวงผ่านมาถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนๆท้าทายสวรรค์ได้อย่างราบรื่น และรู้ว่าพลังเพิ่มพูนขึ้น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ขีดจำกัดของเขามีเท่าไหร่

 

ก่อนที่จะทดลองใช้พลังทั้งหมด เขาก็ไม่อาจบอกขีดจำกัดได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่รู้คร่าวๆเท่านั้น

 

หลังออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก รวมถึงเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้ว ราวๆ 1 เค่อต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างมาถึงทะเลทรายรกร้างแห่งหนึ่ง

 

ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างเหนือทะเลทราย ได้แผ่สำนึกเทวะออกกไปตรวจสอบทุกที่ทางอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งใด

 

กล่าวได้ว่าตอนนี้ไม่เพียงรอบๆไม่มีผู้คน ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดแม้แต่ตัวเดียว

 

กระทั่งกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินแถบนี้ก็ช่างเบาบางนัก

 

“ระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดตอนนี้…”

 

พอคิดถึงจุดนี้ พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างก็แล่นพล่านผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 สายปะทุออกท่วมร่างในฉับพลัน กลิ่นอายพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลระเบิดออกมาอย่างน่าเกรงขาม

 

ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่หลับไหลในร่างต้วนหลิงเทียนได้ตื่นขึ้น!

 

จำนวนชีพจรเซียนในร่างนั้น ส่งผลต่อความเร็วในการเร่งเร้าทั้งปะทุพลังโดยตรง

 

ยิ่งจำนวนชีพจรเซียนมีมาก ย่อมเร่งเร้าพลังออกได้อย่างรวดเร็ว

 

อีกอย่างก็กลับกัน

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับระนาบเทวโลกแล้ว พลังของผู้คนในระนาบโลกียะยังน้อยนิดและอ่อนแอนัก เช่นนั้นผลจากชีพจรเซียน 99 สายก็ยังไม่อาจแลเห็นได้ชัดเจนสักเท่าไหร่

 

แน่นอนว่าว่าในระนาบเทวโลกไม่ได้เรียกหาว่าชีพจรเซียน

 

แต่เรียกว่าชีพจรสวรรค์!

(81 จุด = ชีพจรดิน 18 จุดหลัง = ชีพจรฟ้า เรียกรวมว่า ชีพจรสวรรรค์)

 

“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”

 

หลังเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดออกมาทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ใช้งานอะไร เพียงเรียกใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมาดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบก่อน

 

หลังกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินจุดนี้จนหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ย้ายจุดไปหากลืนกินที่อื่น

 

หากไม่ย้ายตำแหน่งเกรงว่ายากจะถึงขีดจำกัดในเวลาอันสั้น

 

แน่นอนว่าจะเลือกกลืนกินพลังวิญญาณฟ้าดินที่จุดเดิมก็ได้ แต่ก็เป็นอะไรที่เชื่องช้านัก เพราะต้องรอให้พลังวิญญาณฟ้าดินจากที่อื่นแพร่เข้ามา

 

การย้ายตำแหน่งด้วยตัวเองไปหาจุดที่ยังมีพลังวิญญาณฟ้าดินสมบูรณ์ ย่อมเป็นอะไรที่รวดเร็วกว่ามาก

 

ย้ายที่!

 

กลืนกินพลัง!

 

ย้ายที่!

 

กลืนกินพลังต่อไป!

 

……

 

หลังเปลี่ยนที่อยู่หลายครั้ง และแต่ละที่ใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจ ในที่สุดพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนก็บรรลุถึงขีดจำกัด

 

อย่างไรก็ตามปริมาณพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดที่บรรลุจุดสูงสุด ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้เขาแต่อย่างไร

 

ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เขาประหลาดใจ ยังทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง…

 

“ยังคงมีระดับพลังเท่าเดิมจริงๆ…นี่สมควรเป็นจุดรอคอยที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้สินะ…”

 

ต้วนหลิงเทียนได้แต่พึมพำกับตัวเสียงเบาด้วยความหดหู่

 

ตอนนี้แม้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดจะถูกเร่งเร้าให้บรรลุถึงจุดสูงสุด หากแต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้ปฐมเวทย์กลืนกินก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังมีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน เรียกว่าถึงบรรลุเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้วแต่พลังสูงุสดเขาก็เท่าเดิม!

 

ราวกับเผชิญ ‘คอขวด’ ที่ยากจะทะลวงผ่าน

 

‘ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกเอาไว้…เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนก่อนจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ จะมีจุดรอคอยของพลังเซียนต้นกำเนิดในร่าง…หากจะทะลวงจุดรอคอยนี้ได้ ก็มีแต่ต้องก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปก่อนเท่านั้น’

 

นึกถึงคำที่ผู้เฒ่าหั่วเคยกล่าวบอกไว้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มเฝื่อนๆ…