ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 21 ข้าจะใช้หอบรรพชนเป็นโรงไพ่นกกระจอก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หากเขาเลือกถังซานสือลิ่ว ตระกูลถังย่อมต้องเผชิญหน้ากับกลียุค อาจถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งไปกว่านั้น มีโอกาสสูงมากที่ประมุขรองตระกูลถังจะกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด

ดังนั้นการเลือกนี้จึงง่ายดายอย่างมาก

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตัดสินใจจะสนับสนุนซางสิงโจว เขาย่อมยอมทิ้งเฉินฉางเซิง

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตัดสินใจจะส่งมอบตระกูลถังให้กับสาขารอง ดังนั้นเขาย่อมต้องสะกดสาขาหลักเอาไว้

หากถังซานสือลิ่วเป็นคนอ่อนแอ บางทีเรื่องนี้อาจง่ายขึ้น

แต่เขามิใช่คนอ่อนแอ และก็ยังเป็นเพื่อนของสังฆราชองค์ปัจจุบัน

ดังนั้นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจึงทำได้แค่ขังเขาเอาไว้ในหอบรรพชน

เขาอาจถูกขังไปตลอดชีวิต จนเวลาผ่านไปหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี เขาก็กลายเป็นคนบ้าผมขาว

แน่นอนว่าเมื่อยามที่ซางสิงโจวสะกดนิกายหลวงและฆ่าเฉินฉางเซิง เป็นไปได้มากที่ถังซานสือลิ่วจะได้รับยาพิษถ้วยหนึ่ง

ใช่แล้ว พิษ มีดสั้น ผ้าขาว หลุม ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ก็ต่างมีจุดจบที่ความตาย

ในอดีต ถังซานสือลิ่วย่อมไม่คิดว่าท่านปู่จะทำเช่นนี้

แต่เขาเข้าใจมานานแล้วว่าท่านปู่ผู้ใจดีนั้นเป็นแค่ภาพลวงตา เปลือกนอกจอมปลอม

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังวางเขาไว้บนตักและเล่าเรื่องราวในอดีตมากมาย บรรยายความรุ่งเรืองในอนาคต ไม่มีอะไรที่จะบรรยายถังซานสือลิ่วที่ถูกตามใจได้นอกจากความรัก

ทว่าความรักนี้หาได้ให้กับเด็กชายบนตัก ทว่าเป็นอนาคตของตระกูลถัง

ตอนนี้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้จัดวางอนาคตใหม่ให้กับตระกูลถังแล้ว ทั้งยังมีหลานชายคนใหม่อีกด้วย

ดังนั้นเพื่ออนาคตของตระกูลถัง ความใจดำที่ให้ในตอนนี้จึงเท่ากับความรักที่เคยมอบให้ถังซานสือลิ่ว

นับจากตอนที่เขาเข้าใจเรื่องนี้ ถังซานสือลิ่วก็ไม่คิดหวังให้ท่านปู่ปล่อยเขาออกไป

เขาไม่ต้องการที่จะถูกขังอยู่ในหอบรรพชนไปตลอดชีวิต ไม่ต้องการที่จะตายไปเงียบๆ

เขาต้องการออกไปจากที่นี่ แต่เขาไม่เคยพยายามเลยสักครั้ง

เพราะหนึ่งวันหลังจากเขาถูกขังในหอบรรพชน ผู้คนมากมายที่ภักดีต่อบิดาเขาได้พยายามที่จะช่วยเขาออกไป

คนพวกนั้นล้วนตาย หลังจากนั้นหลายคนในสาขาหลักก็ตายลง

เขาได้แต่เงียบยิ่งกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระดาษมัดรอบก้อนหินที่โยนข้ามกำแพงมา หรือข้อความลับที่สลักไว้ก้นจานอาหาร เขาก็ได้แต่เสแสร้งทำเป็นไม่เห็น

ก้อนหินที่ถูกโยนข้ามกำแพงก็ค่อยๆ หยุดไป ไม่มีว่าวให้เห็นบนท้องฟ้าอีก

เป็นเวลานานแล้วนับจากที่ประตูหลักของหอบรรพชนถูกเปิดออกครั้งล่าสุด

……

……

ไม่ว่าจะได้รับการดูแลดีแค่ไหน ประตูที่ไม่ได้เปิดมานานย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเสียงดังบาดหูเมื่อถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่ง

ประตูหลักของหอบรรพชนถูกเปิดออก ลมฤดูหนาวพร้อมกับหิมะโกรกเข้ามา

ถังซานสือลิ่วนั่งอยู่บนเบาะ จ้องมองไปที่ป้ายวิญญาณที่อยู่บนสุด ไม่หันหน้ากลับไป

ผู้พิทักษ์ชราจากตระกูลถังเดินมาหาเขาและกล่าว “ประมุขผู้เฒ่ามีคำพูดถึงเจ้า”

ไม่มีการพูดจาไร้สาระอย่างไม่ได้พบกันนาน ไม่มีการแสดงมารยาทตามธรรมเนียม ไม่มีแม้แต่การเกริ่นนำเล็กน้อย

ผู้พิทักษ์ชรามองดูหลังของเขา ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

“เจ้าต้องสืบว่าประมุขรองวางยาพิษประมุขใหญ่หรือไม่ เขาร่วมมือกับเผ่ามารหรือไม่”

“เจ้ามีเวลาหนึ่งชั่วยาม ในช่วงเวลานี้ทั้งตระกูลถังเป็นของเจ้า”

ถังซานสือลิ่วไม่ได้หันกลับไป เขายังมองดูป้ายวิญญาณที่เหมือนกับไพ่นกกระจอกในหอบรรพชนที่มืดมัว

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยปากในที่สุด

หลังจากผ่านไปครึ่งปีโดยไม่พูดอะไร น้ำเสียงย่อมแหบแห้งอยู่บ้าง

“เจ้าหมอนั่นมาแล้วหรือ”

ผู้พิทักษ์ชราตอบ “มาแล้ว”

ถังซานสือลิ่วยังไม่ได้หันกลับไปตอนที่ถาม “เขาพูดอะไรกับประมุขผู้เฒ่า”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้พิทักษ์ชราก็บอกเล่าบทสนทนาของเฉินฉางเซิงกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังในจวนเก่าออกมาโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

เขากล่าวเสริม “เจ้าเสียเวลาไปยี่สิบนาทีแล้ว”

“ที่นี่คือตระกูลถัง หากข้าต้องการสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้น”

ถังซานสือลิ่วบิดขี้เกียจแล้วปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า

เป็นการบิดขี้เกียจไปทั่วตัว ถึงกับสามารถได้ยินเสียงกระดูกลั่น

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากพื้น ปัดฝุ่นจากก้อน จากนั้นก็คว้าเก้าอี้มีที่เท้าแขนในหอบรรพชนมานั่ง

เขายังเต็มไปด้วยฝุ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้ามอมแมม ทว่าดวงตาไม่ได้เฉยชาอีกต่อไป มันสุกใสและถึงกับแหลมคมอยู่บ้าง

และไม่มีท่าที่ไร้ชีวิตอีกต่อไป ทั่วรางดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันยากจะบรรยายได้

ครั้นเห็นภาพนี้ ผู้พิทักษ์ชราก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

“ตัวประหลาดนั่นจากพรรคฉางเซิงเรียกว่าฉูซู [1] เช่นนั้นหรือ เป็นชื่อที่จองหองยิ่งนัก ข้าชอบ”

ถังซานสือลิ่วเหยียดมือออก คว้าถ้วยชาจากมือของคนรับใช้ใบ้ หลังจากดื่มลงไปเขาก็กล่าวต่อ “แต่หากเขาออกจากเวิ่นสุ่ยไปแล้วจะจับตัวเขาได้ที่ไหน”

ผู้พิทักษ์ชราดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าค่อนข้างประหลาด เขากล่าว “นับจากวันแรกที่เขาเข้าเมืองมา ประมุขผู้เฒ่าก็ให้คนจับตาดู ไม่อาจจากไปได้”

“เช่นนั้นต้องให้ข้าทำอะไรอีก” ถังซานสือลิ่วเอานิ้วจุ่มชาแล้วสะบัดมันใส่ป้ายวิญญาณที่เรียงกันอยู่หนาแน่นด้านหลังและกล่าว “ส่วนเงื่อนไขที่สอง ค่อนข้างง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องให้ผู้พิทักษ์ใหญ่ลงมือเอง ข้ามีวิธีที่จะพิสูจน์ต่อประมุขผู้เฒ่าว่าอารองร่วมมือกับเผ่ามาร”

ผู้พิทักษ์ชราถามอย่างเฉยชา “แล้วตอนนี้คุณชายต้องการจะทำอะไร”

“เรียกอาเจ็ดมา เรียกอาสิบหกมา แล้วก็เชิญปู่จิ้วจากตรอกเจียเอ๋อร์มาด้วย”

ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างสบายๆ “เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจอญาติเหล่านี้ ข้าก็ต้องคิดถึงพวกเขาเป็นธรรมดา”

ผู้พิทักษ์ชราไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องการพบคนพวกนี้และมันเกี่ยวอะไรกับภารกิจทั้งสองอย่าง

คนที่ยืนอยู่นอกหอบรรพชนก็ไม่รู้เช่นกัน

แต่ผู้พิทักษ์ชราพูดไว้ชัดเจนว่าในช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามนี้ทั่วทั้งเมืองเวิ่นสุ่ยอยู่ภายใต้การควบคุมของถังซานสือลิ่ว

อย่าว่าแต่คนไม่กี่คน หากเขาต้องการเรียกทั้งตระกูลมาหอบรรพชน ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้

แม้ว่าหิมะวันนี้จะตกหนักทีเดียว ทว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธความประสงค์ของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ในเวลาอันสั้น คนทั้งสามก็มาถึงหอบรรพชน

ครั้นเห็นถังซานสือลิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ คนทั้งสามก็รู้สึกสับสนปนเปไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นใดต่อหน้าเขา

สังฆราชมายังเมืองเวิ่นสุ่ยและประตูหอบรรพชนก็เปิดออก พวกเขาถึงกับได้ยินว่าประมุขผู้เฒ่าได้มอบอำนาจเด็ดขาดให้ถังซานสือลิ่ว ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร

หรือว่าสาขาหลักจะมีทางกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

“ไม่มีอะไร ประมุขผู้เฒ่ามอบเวลาหนึ่งชั่วยามและบอกว่าข้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ”

ถังซานสือลิ่วมองไปที่คนทั้งสามแล้วกล่าว “ดังนั้นจึงเรียกท่านทั้งสามมาเพื่อเป็นเพื่อนข้าเล่นไพ่นกกระจอกกัน”

ทั้งสามตกตะลึงอยู่บ้าง มองหน้ากันแล้วก็มองไปที่ผู้พิทักษ์ชรา

ถังซานสือลิ่วมองไปที่ผู้พิทักษ์ชราและกล่าว “ทำอะไรก็ได้ ดังนั้นเล่นไพ่นกกระจอกก็ทำได้ใช่ไหม”

ผู้พิทักษ์ชราตอบอย่างเรียบเฉย “ใช่”

โต๊ะไพ่นกกระจอกถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว

ไพ่นกกระจอกสีเขียวมรกตที่สลักขึ้นจากหยกถูกเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ดูสะดวกสบายอย่างมาก

“ภาพเช่นนี้ช่างทำให้สุขใจเสียจริง ท่านว่าไหมอาเจ็ด”

ถังซานสือลิ่วใช้นิ้วลูบหลังไพ่แล้วถอนหายใจ “ข้าสงสัยว่าภาพในสวนไผ่ยามหนาวเดือนสิบสองจะเป็นเช่นใด”

อีกสามคนอยู่ที่โต๊ะ รวมถึงอาเจ็ดด้วย ดูไพ่นกกระจอกตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด

“ให้คนของหอเฟิงไปดู ปิดผนึกสวนไผ่ อย่าปล่อยให้คนหรือเอกสารแม้แต่แผ่นเดียวหายไป” ถังซานสือลิ่วกล่าวยามที่มองไปที่ไพ่นกกระจอก

ผู้พิทักษ์ชราไม่พูดอะไร คนที่ไม่ช่างสังเกตย่อมมองการพยักหน้าเล็กน้อยของเขาไม่ออก

ปฏิคมและคนงานนับไม่ถ้วนจากจวนเก่ารออยู่นอกหอบรรพชน บ้างก็ออกไปทำตามคำสั่ง

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อาเจ็ดก็อดเงยหน้าขึ้นมองถังซานสือลิ่วไม่ได้

ถังซานสือลิ่วไม่ตอบโต้ ล้างไพ่นกกระจอกแล้วกล่าวต่อ “ส่งหน่วยเมฆาไปที่เรือนสันต์ หอธาราไปเหอซื่อ ข้าต้องการแผนที่ของเรือนสันต์และบัญชีของเหอซื่อ”

ในตอนนี้อีกสองคนที่โต๊ะก็เงยหน้าขึ้นในที่สุด

——

[1] ฉูซู แปลตรงตัวว่ากำจัดซู หมายถึงกำจัดซูหลี