ตอนที่ 1022 พลังปราณมหามรรคที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

‘ทำไมถึงปรากฏขึ้นมาหมดในคราวเดียวล่ะ’ นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้หลินสวินสีหน้าประหลาดไป

ตามที่เขารู้มา ผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในหอสำแดงมรรคในอดีต ขอเพียงสามารถเหยียบย่างลงบนแท่นมรรคได้ ก็จะได้รับเบาะรองนั่งมหามรรคใบหนึ่งไป

อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เป็นเช่นนี้ด้วย

แต่ตอนนี้เบาะรองนั่งมหามรรคที่มีคุณภาพต่างกัน กลิ่นอายและสีสันไม่เหมือนกันเก้าใบกลับปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน นี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ

หลินสวินลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟัน ตัดสินใจอย่างบ้าบิ่นว่าจะนั่งบนเบาะรองนั่งมหามรรคทั้งเก้าใบให้หมดเลย!

เขาไม่ร่ำไร ตรงดิ่งไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมงคลศักดิ์สิทธิ์นั้น

ทันใดนั้นกลิ่นอายสัจจะมหามรรคอัศจรรย์ก็ผุดขึ้นในจิตใจแล้วฟุ้งไปทั่วกาย

หลินสวินใจสะท้าน ชั่วพริบตาก็รู้สึกเหมือนอยู่กลางนภากาศเวิ้งว้าง มองเห็นเงาร่างหนึ่งห้อตะบึงมา!

เขาผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าเหี่ยวแห้ง เงาร่างผอมกะหร่อง ทุกครั้งที่ย่างก้าวลงมาทำให้ห้วงอากาศโดยรอบส่งเสียงดังโครมคราม หมื่นดาราสั่นไหว

กลิ่นอายของเขาสูงส่งและน่าครั่นคร้ามเกินไป เห็นธารดาราเป็นถนน แม้กระแสกาลเวลาไหลไป สรรพสิ่งแปรผัน เขาก็ยังห้อตะบึงเช่นเดิม!

นภากาศเวิ้งว้างกว้างใหญ่ กาลเวลาไม่อาจขัดขวางก้าวเดินของเขาได้ เขาคล้ายกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง และเหมือนกำลังต่อสู้ยกหนึ่ง ทุกที่มหาศัตรูมาเยือน แทบเหมือนคลุ้มคลั่ง

ภาพเดียวกันนี้ หลินสวินเคยเห็นตอนหยั่งรู้มรรคดับดารากลืนกินในเทศกาลโคมกถามรรค

เพียงแต่ไม่เหมือนกับคราวก่อน คราวนี้เขาเหมือนอยู่ในนั้น ได้เป็นประจักษ์พยานเห็นการโรมรันและเสาะแสวงตลอดทางของชายชราผู้นั้นด้วยตาตัวเอง!

ในจิตสำนึกของหลินสวินมีการสัมผัสรู้ยุ่งเหยิงวุ่นวายผุดขึ้นช้าๆ

ในสายตาของเขา ชายชราผู้นั้นเหมือนกลายเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง ม้วนตลบส่วนลึกของนภากาศ ทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน หมู่ดาราไม่รู้เท่าไรระเบิดแหลก แล้วจากนั้นก็ถูกดับสลายและกลืนกิน!

‘มรรคของเขาราวเหวลึก ยิ่งใหญ่กว้างไกล ว่างเปล่าเหลือคณา… สลายดาราในห้วงอากาศรอบกาย กลืนกินสรรพสิ่งแล้วหลอมเป็นตัวตน…’

หน้าอกของหลินสวินร้อนผ่าว แสงบริสุทธิ์พลุ่งพล่านเหนือชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด เหมือนกลายสภาพเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง

ใต้เหวลึกคล้ายมีเสียงอริยบุคคลท่องธรรมแว่วมาเป็นระลอก คล้ายเสียงสัทครรลองมหามรรคแห่งนิมิตมายา

หลินสวินสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าการควบคุมพลังมรรคดับดารากลืนกินของตนกำลังเพิ่มพูนด้วยความเร็วน่าตระหนก ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หยั่งรู้นัยมากขึ้น…

ผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น การหยั่งรู้เช่นนี้กลับหยุดลงอย่างกะทันหัน!

หืม?

หลินสวินลืมตาขึ้น ยังคิดอยากทำต่อ การหยั่งรู้มหามรรคถูกหยุดลงเช่นนี้ย่อมน่าหงุดหงิดอย่างไม่ต้องสงสัย

ทันใดนั้นเขาก็พบสาเหตุ เบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงที่เขานั่งลงไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่สีสันทั้งหมดหายไป แปรเปลี่ยนเป็นมอซอ หมองคล้ำหม่นแสง ไม่มีจิตวิญญาณอีกสักนิด

‘ใช้เบาะรองนั่งมหามรรคที่มีคุณภาพสูงสุดอันหนึ่งจนหมดไป ทำให้ข้าหยั่งรู้ระดับท่วงทำนองแห่งมรรคในมรรคดับดารากลืนกินราวเจ็ดแปดส่วน นี่เพิ่งผ่านไปเท่าไรเอง’

หลินสวินตะลึงพรึงเพริดในใจ

เขารู้ดีว่ามรรคดับดารากลืนกินซับซ้อนและลึกลับขนาดไหน แก่นอัศจรรย์ที่เก็บซ่อนอยู่ภายในสามารถใช้คำว่าไพศาลราวทะเลควันมาบรรยายได้อย่างสมบูรณ์!

ก่อนหน้านี้เขาทุ่มเทจิตใจและผ่านการเคี่ยวกรำมากมาย ถึงได้บรรลุระดับท่วงทำนองแห่งมรรคในมหามรรคนี้ ยังถือได้ว่าเป็นช่วงเริ่มต้น

แต่ตอนนี้เพียงแค่นั่งทำสมาธิหยั่งรู้บนเบาะรองนั่งสีม่วงเพียงครู่เดียว อีกแค่สามส่วนก็จะทำให้มหามรรคนี้บรรลุขั้นสมบูรณ์ของระดับท่วงทำนองแห่งมรรคแล้ว!

ความเร็วในการเพิ่มพูนเช่นนี้ดูน่าตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย

‘ก็ไม่รู้ว่าคุณประโยชน์ของเบาะรองนั่งสีทองนี้จะเป็นเช่นไรแล้ว…’ หลินสวินลุกขึ้น นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะรองนั่งมหามรรคสีทองที่อยู่ติดกันโดยไม่ลังเล

วิ้ง!

ทันใดนั้นกลิ่นอายของสัจจะมหามรรคที่คุ้นเคยสายนั้นก็ปกคลุมทั้งร่างอีกครั้งหนึ่ง

ครู่หนึ่งผ่านไปหลินสวินก็ลืมตาขึ้น ทั้งร่างมีกลิ่นอายคลื่นมหามรรครางเลือนที่น่าหวาดผวาไหวเคลื่อนออกมา

ท่วงทำนองแห่งมรรคขั้นสมบูรณ์!

หลินสวินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบนร่างตนและพยายามเก็บกลั้นความปรีดาในใจเอาไว้ เขาไม่เสียเวลาอีกแต่อย่างใด นั่งลงบนเบาะรองนั่งมหามรรคสีเงินที่อยู่ติดกันอีกครั้ง

ไม่นานนัก…

บรรลุ!

ระดับเจตจำนงแห่งมรรค!

เมื่อเบาะรองนั่งมหามรรคสีเงินสูญเสียจิตวิญญาณทั้งหมดไป หลินสวินก็สัมผัสได้เต็มที่ว่าความเข้าใจต่อมรรคดับดารากลืนกินของตนเกิดการแปรสภาพโดยสมบูรณ์ จากระดับท่วงทำนองแห่งมรรคเหยียบย่างเข้าสู่ระดับเจตจำนงแห่งมรรคในครั้งเดียว!

และตั้งแต่เริ่มจนจบ เพิ่งใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น…

หากถูกเซียวชิงเหอเห็นภาพนี้เข้าก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างแน่

เขาคงไม่คิดว่าพลังปราณมหามรรคของหลินสวินจะเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แต่จะคิดว่าช้าเกินไปแล้ว!

เพราะในอดีต ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่สามารถมาถึงบนแท่นมรรคได้ แค่อาศัยเบาะรองนั่งมหามรรคใบหนึ่งก็สามารถเพิ่มระดับให้กับมหามรรคที่ตนครอบครองสายหนึ่งได้หนึ่งระดับใหญ่

อีกทั้งคุณภาพของเบาะรองนั่งมหามรรคมรรคที่นั่งสูง การเพิ่มพูนระดับก็ยิ่งน่าตกใจ!

แต่หลินสวินเสียอีก หลังจากใช้เบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงที่มีคุณภาพสูงสุดกับเบาะรองนั่งมหามรรคที่เรียกได้ว่ามีคุณภาพสูงอีกสองใบ กลับเพียงทำให้มรรคดับดารากลืนกินเลื่อนขึ้นมาระดับหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วกลับดูผิดปกติ

ทว่าจากจุดนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า มรรคดับดารากลืนกินสลับซับซ้อนและเป็นปริศนาปานใด

ในฐานะเป็นมหามรรคที่ลี้ลับและแข็งแกร่งที่สุดสายหนึ่ง ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันคลุมเครือราวกับเป็นตำนาน ผู้ฝึกปราณที่ได้ครอบครองจึงมีน้อยนัก!

……

ในเวลาต่อมาหลินสวินก็ดำดิ่งลงไปในการแจ้งมรรคอันลึกลับ

ทุกครั้งที่เบาะรองนั่งมหามรรคใบหนึ่งถูกใช้จิตวิญญาณทั้งหมด เขาก็เคลื่อนตัวไปนั่งบนเบาะใบถัดไป ไม่ได้อ้อยอิ่ง

และในระหว่างนี้ หลินสวินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเข้าใจที่ตนมีต่อมรรคดับดารากลืนกินกำลังพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด และกำลังอยู่ในระดับเจตจำนงมรรค

แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าเทียบกับเบาะรองนั่งสีม่วงแล้ว พลังของเบาะรองนั่งมหามรรคใบอื่นเหล่านี้มีคุณภาพลดลง

นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เบาะรองนั่งมหามรรคที่อยู่บนแท่นมรรคเก้าใบแบ่งออกตามคุณภาพสูงต่ำ คุณภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งส่งเสริมการแจ้งมรรคได้มากขึ้นตามไปด้วย

ในทางกลับกัน คุณภาพยิ่งต่ำก็ยิ่งส่งเสริมได้น้อย

และก่อนหน้านี้เพราะกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไร หลินสวินจึงเริ่มหยั่งรู้จากเบาะรองนั่งมหามรรคที่มีคุณภาพสูงสุดก่อน

ดังนั้นในเวลาต่อมา แม้พลังปราณมหามรรคจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ช้าลงไม่น้อย

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังเรียกได้ว่าน่าตกใจดังเดิม

ตามที่หลินสวินประเมิน เพียงประสบการณ์แจ้งมรรคครั้งนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เขาประหยัดเวลาหยั่งรู้ไปราวห้าปี!

ประหยัดเวลาห้าปี ในอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่ารากฐานการหยั่งรู้มหามรรคตกตะกอนมากกว่าคนในรุ่นเดียวกัน!

ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่เพียงน่าตระหนกในหมู่ผู้คน แต่เรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงในโลกแล้ว!

ควรรู้ว่าในดินแดนรกร้างโบราณอันกว้างใหญ่ บุคคลระดับผู้กล้าที่บรรลุขอบเขตมกุฎเช่นเดียวกับหลินสวินไม่ได้มีน้อย ทั้งปีศาจไร้เทียมทานและบุตรเทพที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดบางส่วนก็มีไม่ขาด

สามารถประหยัดเวลาแจ้งมรรคในระดับเดียวกันได้มากขนาดนี้ ย่อมทำให้หลินสวินได้เปรียบไม่น้อยในสงครามมหายุคในภายภาคหน้า!

……

‘ทำไมถึงยังไม่ออกมานะ’

นอกหอสำแดงมรรค เซียวชิงเหอออกจะหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนหน้านี้ตอนฝ่าด่านที่หอลองกระบี่ หอเกลาจิต หอหลอมจิตวิญญาณและหอแจ้งสัจจะ ความเร็วในการทำลายสถิติของหลินสวินก็เร็วจนเหลือเชื่อเหมือนลมระลอกหนึ่ง

แต่คราวนี้เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ แล้ว กลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด นี่ทำให้เซียวชิงเหอมีสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

‘เจ้าวิปริตคนนี้คราวนี้คงไม่ได้ล้มเหลวจริงๆ ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนี้จริง แกนวิญญาณขั้นสูงห้าหมื่นชิ้นก็เท่ากับโยนทิ้งไปเปล่าๆ แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ อยู่ต่อหน้าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ เขาก็ทำได้เพียงหยุดลงเท่านี้แล้ว…’ เซียวชิงเหอลอบพึมพำ

นึกไปแล้วก็จริง คราอวิ๋นชิ่งไป๋ขึ้นหอสำแดงมรรค ได้รับเบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงที่มีคุณภาพดีที่สุดไป สถิติเช่นนี้เรียกได้ว่าสูงสุดแล้ว มีหรือจะถูกทำลายลงได้

‘แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าเจ้าวิปริตผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างเหลือล้นไปทุกด้าน หาไม่แล้วต้องทำข้าสะเทือนใจตายแน่’

เซียวชิงเหอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาไม่น้อยในทันใด

ก่อนหน้านี้ได้เห็นวีรกรรมที่เรียกได้ว่าวิปริตของหลินสวินครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนในขอบเขตมกุฎที่หยิ่งทระนงหาใดเทียบอย่างเซียวชิงเหอถูกกระทบกระเทือนจิตใจ

แต่ตอนนี้เมื่อสังหรณ์ว่ามีเป็นไปได้สูงมากที่หลินสวินจะคว้าน้ำเหลว ก็ทำให้เขาถอนใจโล่งอกได้จริงๆ

เขาถึงกับคิดไว้เรียบร้อยว่ารอเมื่อหลินสวินล้มเหลวกลับมา จะไปปลอบประโลมจิตใจอีกฝ่ายอย่างไร อาจจะสามารถชนะใจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีด้วยได้บ้าง แล้วให้อีกฝ่ายออกตัวเล่าเรื่องที่ตนอยากรู้บางเรื่อง

เช่นฐานะ ที่มาที่ไป เป็นต้น

หืม?

ตอนเซียวชิงเหอกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าในห้วงอากาศไกลออกไปมีเสียงทะลวงอากาศราวกระแสน้ำระลอกหนึ่งดังขึ้น

เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นแสงกระบี่งดงามหาใดเทียมแสงแล้วแสงเล่าเคลื่อนผ่านอากาศมาทางนี้ราวรุ้งเทพ มากมายมืดฟ้ามัวดิน

แต่ละคนล้วนเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่สวมชุดสีดำสนิท เท้าเหยียบลงบนแสงกระบี่ มีทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กทั้งแก่ แต่ละคนต่างโดดเด่นเหนือธรรมดา ในสายตาของคนทั่วไปในโลก นี่ประหนึ่งผู้คนบนสวรรค์ เหมือนดั่งเซียนกระบี่กลุ่มหนึ่ง!

‘บ้าเอ๊ย สุดท้ายความยุ่งยากก็มาจนได้!’ เซียวชิงเหอลอบด่าทอในใจ

ตั้งแต่ตอนอยู่ในเมืองนภาม่วง เขาก็เดาได้ว่า ‘วีรกรรม’ ที่หลินสวินทำจะต้องดึงดูดคลื่นลูกมหึมาแน่ เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงว่าความยุ่งยากจะมาไวเช่นนี้

นครหยกขาวแห่งนี้เป็นถึงอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า!

หลินสวินทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยสร้างไว้แต่ละที่อย่างต่อเนื่อง นี่จะต้องก่อให้เกิดการโต้กลับอย่างรุนแรงจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าแน่

ภาพตรงหน้านี้ได้พิสูจน์เรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ชั่วครู่เดียวเซียวชิงเหอก็สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทั้งอยากชักตัวถอยหนี ด้วยแม้เขาจะหยิ่งทระนงภาคภูมิ มีพลังเป็นที่พึ่ง แต่ก็ไม่อยากถูกดึงเข้าไปในคลื่นลมครั้งนี้ด้วย

อีกทั้งเขากล้าแน่ใจด้วยว่า ด้วยนิสัยใจคอราวกระบี่ สังหารอย่างดุดันของผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้น ทันทีที่เห็นหลินสวินจะต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!

แต่สุดท้ายเซียวชิงหเหอก็อดทนไว้ไม่ได้หนีไป

ด้านหนึ่งเพราะสงสัยฐานะที่มาที่ไปของหลินสวินถึงที่สุด อีกด้านหนึ่งก็เพราะหลังจากเห็นการแสดงความสามารถของหลินสวินแต่ละอย่างแล้ว เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสสร้างมิตรภาพอีกขั้นหนึ่งครั้งนี้ไป

สวบๆๆ!

แสงกระบี่แสงแล้วแสงเล่าคำรามออกมา พลันลงมาถึงหน้าหอสำแดงมรรค เงาร่างไหววูบ อย่างน้อยก็มีมากกว่าร้อยคน

ชั่วขณะเดียว หน้าหอสำแดงมรรคที่เงียบเชียบและรกร้างแห่งนี้ก็กลายเป็นคึกคักขึ้นไม่น้อย

“เด็กนี่ออกจากหอแจ้งสัจจะไปเมื่อหนึ่งก้านธูปก่อน ไม่เหนือความคาดหมาย ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในหอสำแดงมรรค!”

มีคนเอ่ยปากเสียงขรึม

“หึ ไอ้เด็กนี่มันกำเริบเสิบสานเสียจริง คิดว่าทำลายสถิติที่ศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นในตอนนั้นบางอัน ก็สามารถวางก้ามที่หอสำแดงมรรคแห่งนี้ต่อได้หรือ”

มีคนไม่ยินยอมถึงที่สุด สีหน้าขัดเคือง

“ข้าล่ะอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเจ้าเด็กนี่มันเป็นอริยเทพจากที่ใดกัน!”

มีคนเอ่ยปากแฝงความเป็นอริ

“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านโปรดระงับโทสะ ระหว่างยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเด็กนี่แน่ชัดก็อย่าใช้อารมณ์จัดการเรื่องราวไปก่อน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ผู้ร่วมมรรคอื่นๆ หัวเราะเยาะว่าพวกเราสำนักกระบี่เทียมฟ้าใจกว้างไม่เป็น”

ในที่สุดบุรุษผอมแห้งหนวดเคราเผ้าผมราวน้ำหมึก ดวงตาเย็นชาราวกระบี่ที่นำหน้ามาก็เอ่ยเสียงขรึม กำราบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่นอกหอไว้ได้

และต่อมา เขาก็กวาดสายตามองไปยังร่างโดดเดี่ยวของเซียวชิงเหอที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของหอสำแดงมรรค

——