ตอนที่ 743 ฟันลงไปในดาบเดียว เมื่อไม่เห็นก็ถือว่าไม่มี

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ประโยคนั้นทำเอาสมองของตี้หยูเอ๋อร์กลายเป็นความว่างเปล่า ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้ทำความเข้าใจคำพูดของซือเป่ย 

 

 

หมู่โฮ่ว …..ตั้งครรภ์ลูกของจ้านเสินเกอเกออย่างนั้นหรือ? 

 

 

พอนางได้สติขึ้นมา สายตาก็ต้องมองกลับไปกลับมาระหว่างฮว๋ายยู่และซือเป่ย 

 

 

ฮว๋ายยู่ถูกซือเป่ยทำเอาตกตะลึงไป นางอ้าปากค้างแต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา 

 

 

นางคิดไม่ถึงเลยว่า อยู่ๆซือเป่ยก็จะพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าหยูเอ๋อร์ 

 

 

ฝ่ามือของนางร่วงหล่นจากหน้าท้อง ในตามองเห็นแต่คนสองคนที่กำลังพัวพันกันอยู่ 

 

 

ซือเป่ยไม่คิดจะปล่อยร่างของตี้หยูเอ๋อร์ด้วยซ้ำ 

 

 

ในแววตาคู่นั้นมีแต่ความกักขฬะ แม้แต่รอยยิ้มก็เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย 

 

 

“ฮว๋ายยู่ เจ้าเกลียดข้ามากเลยใช่หรือไม่?” ซือเป่ยหัวเราะใส่นาง ในใจบังเกิดความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่าความชั่วร้ายที่ถูกกดเอาไว้มาโดยตลอดได้รับการปลดปล่อยออกมา 

 

 

ฮว๋ายยู่โกรธจนกัดฟันกรอด นางแค้นจนอยากจะฆ่าบุรุษผู้นี้ในทันที 

 

 

“เจ้าอย่าได้พูดจาไร้สาระ ข้ากับเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น” นางยืดตัวตรง พักใหญ่ค่อยสามารถพูดประโยคนั้นออกมา แต่กระทั่งตนเองก็ยังรู้สึกได้ว่าลมหายใจของนางผิดปกติ 

 

 

นางเบนสายตาออก ไม่คิดจะมองภาพตรงหน้าอีกต่อไป 

 

 

ฮว๋ายยู่รู้ดีว่า ซือเป่ยเป็นคนเช่นไร หากหยูเอ๋อร์ติดตามเขา ก็คงไม่อาจมีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน 

 

 

“เจ้าไม่อยากยอมรับก็ไม่เป็นไร รอให้เด็กในท้องออกมา ทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง” 

 

 

ขณะที่ซือเป่ยพูดไป หมอกสีดำรอบตัวก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกที 

 

 

เป็นไอมาร 

 

 

เขาฝึกวิชามารมานานแล้ว เดิมทีเขาก็เป็นคนใจหยาบที่มีแต่ความทะเยอทะยาน ตอนนี้ไอมารรอบกายยิ่งกำจายออกมาอย่างไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งได้อีก 

 

 

เพราะเมื่อครู่เขาพึ่งดูดซับพลังวิญญาณของตี้หยูเอ๋อร์มาจนเกือบหมด ไอมารจึงยิ่งพุ่งพล่านกว่าเดิม 

 

 

ตี้หยูเอ๋อร์เห็นกริยาของคนทั้งสอง ในใจก็ต้องเย็นวาบลงไปอีก 

 

 

สองตาของนางแดงก่ำ จดจ้องไปที่ฮว๋ายยู่ “หมู่โฮว่ ที่จ้านเสินเกอเกอพูดมาเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

ฮว๋ายยู่ปฏิเสธออกไป โดยไม่แม้แต่จะคิด “เจ้าไปฟังเขาพูดจาไร้สาระอะไร!” 

 

 

นางกำลังจะอธิบาย ซือเป่ยก็หัวเราะเฮอะๆออกมา “เจ้าไม่ต้องอธิบายหรอก แต่ไหนแต่ไรเทียนโฮ่วผู้สูงส่งย่อมไม่ต้องอธิบายสิ่งใดกับใครทั้งนั้น” 

 

 

ว่าแล้ว เขาก็ผลักไสตี้หยูเอ๋อร์ออกไปจากร่างโดยไม่ได้เหลือบแลนางแม้แต่น้อย 

 

 

“นางรู้ความลับที่สำคัญที่สุดของเจ้าแล้ว ก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป” 

 

 

ทันทีที่พูดออกมา ดาบในมือก็สะบัดออก ฟันฉับลงไป ศีรษะของตี้หยูเอ๋อร์ก็กลิ้งกหลุนๆลงไปบนพื้น 

 

 

ร่างแยกออกจากกัน ต่อหน้าต่อตาของฮว๋ายยู่! 

 

 

เลือดสดๆสาดกระจายไปทั่วร่างของฮว๋ายยู่ เลือดที่อุ่นร้อน กลับทำให้นางเหน็บหนาวเข้าไปถึงในกระดูก 

 

 

ศีรษะของตี้หยูเอ๋อร์กลิ้งมาอยู่แทบเท้าของฮว๋ายยู่ ต่อให้ตายไปนางก็ยังไม่คิดจะเชื่อ คนรักที่เมื่อครู่พึ่งจะพลิกลมพลิกฟ้ากับนาง กลับสังหารนางทิ้งในชั่วพริบตา! 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ ดวงตาคู่นั้นได้แต่จดจ้องไปที่ฮว๋ายยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

 

คราวนี้ ในดวงตาของฮว๋ายยู่กลับมีแต่ความมืดสนิท คนเป็นลมจนล้มลงไป 

 

 

แต่ว่าซือเป่ยก็รวดเร็วกว่าก้าวหนึ่ง เขาโอบนางเข้าไปในอ้อมอกอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ยู่เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กลัว ข้าแม่ทัพจะไม่มีวันทำร้ายเจ้าอย่างเด็ดขาด” ใบหน้าของซือเป่ยมีแต่รอยยิ้ม พยายามทำตัวให้อ่อนโยน 

 

 

“ในใต้หล้านี้ เรายอมให้เจ้าเพียงผู้เดียวเข้าใกล้ เจ้าดูสิ สตรีอื่นมายั่วยวนข้า มีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น” 

 

 

“ความรักที่ข้าแม่ทัพมีต่อเจ้า ฟ้าดินเป็นพยานได้” 

 

 

“หากมิใช่เพราะว่านางเป็นบุตรสาวของเจ้า ก่อนตายคงไม่มีทางได้รับสายฝนจากข้า นี่เป็นเพราะว่าข้าแม่ทัพเห็นแก่หน้าเจ้าหรอกนะ” 

 

 

คำพูดของเขาช่างพิลึกพิลั่นนัก 

 

 

“เจ้ามันเป็นปีศาจ!” ฮว๋ายยู่แสนจะทรมานใจ แม้แต่น้ำเสียงที่ร้องออกมาก็แหบพร่า 

 

 

“อย่าได้พูดเช่นนั้น ข้าแม่ทัพกับเจ้าล้วนเป็นคนประเภทเดียวกันมิใช่หรือ?” ซือเป่ยไม่โกรธแม้แต่น้อย แต่กลับโอบกอดนางอย่างแนบแน่นกว่าเดิม 

 

 

ริมฝีปากของเขากระซิบลงที่ข้างใบหู เอ่ยเสียงกระซิบว่า “ตอนนั้น เจ้าเองก็กระทำเรื่องที่โหดร้ายเกินไปกับจู่ฮว๋ายเหมือนกันมิใช่หรือ? 

 

 

“จู่ฮว๋าย คือผู้ที่มอบชีวิตให้กับเจ้าแท้ๆ” 

 

 

สมองของฮว๋ายยู่ยังไม่ทันจบเรื่องของตี้หยูเอ๋อร์ เขาก็พูดเรื่องของจู่ฮว๋ายขึ้นมา 

 

 

พริบตานั้น ภาพมากมายไหลผ่านแววตาของไป สีของเลือดแดงฉูดฉาด 

 

 

ฮว๋ายยู่ตัวแข็งค้าง 

 

 

ไม่….ไม่….นางไม่ได้ทำอะไรทั้งนัน! 

 

 

จู่ฮว๋ายสมควรตายอยู่แล้ว! 

 

 

นางปิดหู สายศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต แต่ว่าซือเป่ยกลับจับปลายคางของนางเอาไว้แน่น 

 

 

“ไม่ต้องกลัว ยู่เอ๋อร์ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป” ตอนนี้เมื่อเขายิ้มออกมา แววตาก็อาบย้อมไปด้วยสีแดงเลือด น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง 

 

 

“อีกไม่นาน ผู้ครอบครองแดนสวรรค์ก็จะกลายเป็นข้าแล้ว” 

 

 

“ถึงตอนนั้น เหล่าคนที่ขวางหูขวางตาเจ้า พวกเราก็ฆ่าทิ้งไปให้หมดดีหรือไม่?” 

 

 

“ข้าแม่ทัพจะครองรักกับเจ้าไปชั่วชีวิต พวกเราจะมีลูกด้วยกันให้มากๆ มีให้เยอะๆ เจ้าจะมีลูกกับข้าเท่านั้น” 

 

 

ใช่แล้ว ที่เขาสังหารตี้หยูเอ๋อร์อย่างปราศจากความลังเล ก็ยังมิใช่เพราะว่านางเป็นลูกของตี้เสียหรอกหรือ? 

 

 

เมื่อเห็นตี้หยูเอ๋อร์ ก็ทำให้เขาต้องคิดถึงเรื่องที่ตี้เสียกับฮว๋ายยู่รักใคร่กันอย่างดูดดื่ม ดังนั้นฟันทิ้งไปในดาบเดียว เมื่อไม่เห็นก็ถือว่าไม่มี  

 

 

นับจากวันนี้ไป ฮว๋ายยู่กับตี้เสียก็จะไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกันอีก ใช่ไหมเล่า? 

 

 

ฮว๋ายยู่ถูกเขาทรมานจนจะเป็นบ้าไปแล้ว 

 

 

ใต้ฝ่าเท้าของนาง ดวงตาของตี้หยูเอ๋อร์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ 

 

 

นางเป็นราชธิดา ต่อให้ถูกตัดศีรษะลงมา ก็ยังไม่ตาย ดวงวิญญาณยังสถิตย์อยู่ในร่าง เรื่องที่พวกเขาพูดกัน นางล้วนได้ยินชัดเจน 

 

 

 

 

 

ที่ผ่านมาเทพธิดาองค์ใดที่เข้าใกล้ซือเป่ย ขอเพียงนางรู้เข้า เป็นต้องถอดกระดูกพวกนางออกมา โยนลงไปในโลก ให้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง 

 

 

สตรีที่หลงรักซือเป่ยทุกคนล้วนไม่มีจุดจบอันดี 

 

 

และยิ่งเทพธิดาองค์ใดที่ซือเป่ยมองมากไป ยิ่งต้องตกตายอย่างอนาถ 

 

 

แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในใจของซือเป่ยนั้น สตรีที่เขารักที่สุดก็คือหมู่โฮ่วของนางเอง! 

 

 

แถมพวกเขายังมีสัมพันธ์กันมานานแล้วด้วย! 

 

 

นางเกลียดชังฮว๋ายยู่! 

 

 

รู้ทั้งรู้ว่าตนเองรักเทพสงคราม แต่ก็ยังจะมาแย่งเขาไป! 

 

 

สตรีเช่นนี้ ไม่คู่ควรจะเป็นมารดาของนาง! 

 

 

ในแววตาของนางมีแต่ความเคียดแค้น ดวงตาของนางจดจ้องไปที่ฮว๋ายยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาที่มองมาทำให้ฮว๋ายยู่ต้องขนลุก 

 

 

แต่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นบุตรสาวแท้ๆของนาง เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่นางคลอดออกมาด้วยตนเอง แล้วจะไม่ให้นางรักและห่วงใยได้อย่างไร? 

 

 

“เจ้ารีบช่วยชีวิตหยูเอ๋อร์ หากว่านางตายไปจริงๆ ข้าจะไม่มีทางให้อภัยเจ้าชั่วชีวิต” 

 

 

ฮว๋ายยู่สงบใจลง นางรู้ดีว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ควรใช้ไม้แข็งกับซือเป่ย 

 

 

“ข้าแม่ทัพบอกแต่แรกแล้ว นางยั่วยวนข้าแม่ทัพสมควรต้องตาย จะช่วยชีวิตมาทำไม ให้ใจเจ้าหวาดผวาหรือ?” 

 

 

ซือเป่ยกอดนางแนบแน่นกว่าเดิม “พวกที่เป็นอันตรายต่อเจ้า ต่อให้เป็นบุตรสาวของเจ้าก็สมควรจะต้องตาย” 

 

 

ว่าแล้ว เขาก็กระซิบที่ริมใบหูของฮว๋ายยู่ “อ้อ แต่ถ้าเกิดว่าเจ้าเต็มใจพลีกาย บางที่ข้าแม่ทัพจะลองคิดทบทวนดูว่าจะช่วยนางดีหรือไม่?” 

 

 

ฮว๋ายยู่ “!” 

 

 

“หยูเอ๋อร์ ดวงจิตของนางกำลังแตกสลาย หากยังไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วยแล้ว ทางที่ดีเจ้ารีบคิดดูหน่อยก็แล้วกัน” 

 

 

ร่างกายของซือเป่ย 

 

 

เบียดเข้าไปหานาง “ข้าแม่ทัพยังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า สามารถเริ่มได้ในทันที” 

 

 

………