บทที่ 1703 ประกาศโถงชุมนุมอัจฉริยะ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ประมุขชิงรู้สึกงง ถามว่า “หมายความว่าอะไร?”

ซ่างกวนชิงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เหมือนจะบอกว่าไม่เล่นแล้ว ฝ่าบาทจะจัดการหนิวโหย่วเต๋ออย่างไรก็ตามใจ ตระกูลโค่วเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

ประมุขชิงขมวดคิ้วครุ่นคิด เงียบไปนานโดยไม่พูดอะไร…

สุดท้ายตำหนักนารีสวรรค์ก็ไม่ได้ถือสาคนความรู้พื้นๆ อย่างเหมียวอี้ ตอบตกลงให้เหมียวอี้รับกำลังพลที่ไม่ใช่คนของทางการมาทำงานให้ สาเหตุย่อมเป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนเหมียวอี้เองก็เข้าใจดีว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงช่วยเขา ต่อให้ยืนฝั่งตำหนักสวรรค์ แต่เรื่องราวก็ราบรื่นเหนือความคาดหมาย ประมุขชิงไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็รักษาความเงียบไว้เช่นกัน ไม่มีใครกล่าวโทษเรื่องนี้ แม้แต่เสียงคัดค้านเล็กน้อยก็ไม่มี ปล่อยเหมียวอี้ให้ผ่านตลอดทาง ไม่มีการขัดขวางใดๆ

ป้ายประกาศเชิญชวนผู้เก่งกล้าอัจฉริยะ ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ แผ่นหนึ่งติดอยู่นอกจวนแม่ทัพภาคแห่งใหม่ คนที่แวะเวียนมาดูประกาศมีไม่น้อย ผู้ที่ตอบสนองกับสิ่งนี้มีไม่กี่คน บางคนที่เข้ามาสอบถามก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ ไม่มีใครอยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับน้ำขุ่นอย่างแม่ทัพภาคหนิว

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในที่สุดโค่วหลิงซวีที่อยู่ในจวนท่านอ๋องชั่วคราวก็ตอบว่า “โถงชุมนุมอัจฉริยะนั่นรับสมัครคนได้เท่าไรแล้ว?”

“ตอนนี้ยังไม่มีสักคนเลยขอรับ” โค่วเจิงตอบ

โค่วหลิงซวีอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “อายุป่านนี้แล้ว ทำแต่เรื่องเหลวไหล”

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าที่ประคองไม้เท้าเดินช้าๆ ก็ถามอย่างสนใจเช่นกัน “โถงชุมนุมอัจฉริยะที่ตลาดผีนั่นรับสมัครคนได้กี่คนแล้ว?”

เว่ยซูตอบพร้อมรอยยิ้ม “ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนถามเลย เพียงแต่คนที่ยินดีจะเข้าร่วมอย่างเป็นทางการไม่มีสักคน”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะหึหึ แล้วถามอย่างแปลกใจ “โอกาสก็ให้เขาแล้ว แต่กลับไม่เห็นเขาดึงคนออกมา เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร?”

“เกรงว่าคงต้องสังเกตการณ์ไปก่อน” เว่ยซูกล่าว

จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลอิ๋ง ยามว่างอิ๋งจิ่วกวงก็ถามถึงเช่นกัน “โถงชุมนุมอัจฉริยะนั่นเป็นยังไงบ้าง?”

จั่วเอ๋อร์ตอบกลั้วหัวเราะ “จากการสนับสนุนจากตระกูลโค่ว ไร้เงิน ไร้อิทธิพลไร้อำนาจ ยังจะทำอะไรได้อีก ตอนนี้ยังไม่มีคนเข้าร่วมสักคน”

“เหลวไหลลวงโลก!” อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้ม

จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลฮ่าว สถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นกำลังเดินเล่นด้วยกัน คุยไปคุยมาฮ่าวเต๋อฟางก็เกิดความหวั่นไหว จู่ๆ ก็ยื่นมือไปคว้ามือที่เรียวสวยของซูอวิ้น นางรีบหดมือกลับแล้วถอยออกไป กุมหมัดคารวะพร้อมส่ายหน้าอย่างขื่นขม “ท่านอ๋อง!”

ใบหน้าของฮ่าวเต๋อฟางก็เต็มไปด้วยความขมขื่นเช่นกัน ชั่วขณะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สุดท้ายก็ยังหาประเด็นสนทนามากลบเกลื่อน “โถงชุมนุมอัจฉริยะของตลาดผีรับคนได้กี่คนแล้ว?”

ซูอวิ้นยืนรักษาระยะห่างกับเขาเล็กน้อย ถึงได้ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าร่วม”

จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลก่วง คนที่สนใจเหมียวอี้มาตลอดยังมีอีก ยกตัวอย่างเช่นเม่ยเหนียง

ขณะที่เดินชมจันทร์ชมดอกไม้กับก่วงลิ่งกง โกวเยว่ก็เข้ามารายงานเรื่องบางอย่าง แต่ตอนที่จะออกไปถูกเม่ยเหนียงเรียกไว้ “พ่อบ้านโกว โถงชุมนุมอัจฉริยะที่ตลาดผีรับสมัครคนเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

โกวเยว่มองก่วงลิ่งกงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่คัดค้านอะไร ก็ตอบกลับไปว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าร่วมขอรับ”

“ไม่มีสักคนเลยเหรอ?” เม่ยเหนียงซักไซ้

“เหมือนจะไม่มีเลยสักคนเดียว แต่ต่อให้มีก็แค่ไม่มีคน” โกวเยว่ไม่แน่ใจ

“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้” เม่ยเหนียงส่ายหน้าทอดถอนใจ เหมือนรู้สึกเสียดายแทนเหมียวอี้ นางย่อมรู้จากปากของก่วงลิ่งกงแล้วว่าอีกไม่นานคนของตระกูลโค่วจะถอนตัวออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ส่วนเหมียวอี้จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังรับคนไม่ได้สักคน

รอจนกระทั่งโกวเยว่ออกไปแล้ว ก่วงลิ่งกงก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “หวังเฟยเหมือนจะใส่ใจหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากเลยนะ ทำไมล่ะ? ยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องที่เจ้าทำให้เขากลายเป็นลูกเขยเจ้าไม่สำเร็จอีกเหรอ?”

เม่ยเหนียงอยากจะปฏิเสธ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด นางรู้สึกว่าหลายปีมานี้ท่านอ๋องปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง พยักหน้าเบาๆ ตอบว่า “ทั้งใช่และไม่ใช่ค่ะ”

“หมายความว่ายังไง? อ๋องผู้นี้อยากจะฟังสักหน่อย” ก่วงลิ่งกงถามอย่างสนใจ

เม่ยเหนียงจัดระเบียบความคิด แล้วกล่าวช้าๆ ในขณะที่ไตร่ตรอง “รู้สึกว่าน่าเสียดายจริงๆ ข้ารู้สึกว่าเขาเหมาะสมกับเม่ยเอ๋อร์มาก ที่สำคัญคือข้าดูออกว่าเม่ยเอ๋อร์หวั่นไหวกับเขาแล้วเหมือนกัน ทั้งยังไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะข้ารู้สึกว่ากิเลนทองไม่ใช่สัตว์ในบ่อน้ำ หนิวโหย่วเต๋อนั่นเดินผ่านลมฝนมาตลอดทางจนถึงทุกวันนี้ นับว่าไม่ธรรมดา อนาคตจะมาหยุดชะงักที่ตลาดผีได้ยังไง ข้าเฝ้าคอยให้เขาประสบความสำเร็จจริงๆ ค่ะ”

“ดึงดูดความสนใจจากคนมากมายขนาดนั้น…” ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “ถ้าไม่มีอำนาจฝ่ายไหนหวังให้เขาผงาดขึ้นมา ข้าก็บอกได้เลยว่าเขาจะไม่มีวันผงาดขึ้นมาได้อีก จะถูกกดไว้ที่นั่นทั้งชีวิต ด้วยศักยภาพของเขาในตอนนี้ ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานได้”

เม่ยเหนียงขมวดคิ้วครุ่นคิด “แต่ทำไมข้าชอบรู้สึกว่ามันจะไม่จบอย่างนี้ล่ะ? เวลาตอนนี้ยังสั้นนัก ตอนหลังยังมีเวลาอีกนาน ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันไหนที่เขาได้แสดงฝีมือเต็มที่ก็ได้”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะเสียงดัง “สงสัยหวังเฟยจะชอบเขาแบบไม่ธรรมดา!”

เม่ยเหนียงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ในเมื่อท่านอ๋องพูดอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะรวบรวมความกล้าถามสักหน่อย ถ้าตัดอำนาจอิทธิพลที่หนุนหลังทิ้งไป ถ้าพูดถึงความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น ท่ามกลางคนมีฝีมือรุ่นใหม่ระดับเขา ถามหน่อยว่ามีคนไหนที่เก่งกว่าเขาบ้าง? ข้ารู้สึกว่าในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เขาถือเป็นอันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดผิดตรงไหนหรือเปล่า?” นางยกนิ้วหัวแม่มือพลางกล่าวชื่นชม

ก่วงลิ่งกงครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบว่า “ถ้าเจ้าดึงดันจะพูดอย่างนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญหรือการสร้างผลกระทบ เขาก็ล้วนเป็นที่หนึ่ง แต่แล้วยังไงล่ะ?”

เม่ยเหนียงคิดไปคิดมา จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน “ก็ไม่ยังไงหรอกค่ะ บางทีข้าอาจจะแค่อยากพิสูจน์สายตาตัวเองก็ ถึงยังไงข้าก็เคยเฝ้ารอเขาซะขนาดนั้น หวังว่าข้าจะมองคนไม่ผิดก็แล้วกัน”

ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะ “เจ้านี่นะ! คิดมากไปแล้ว”

วังสวรรค์ ประมุขชิงที่ตื่นขึ้นจากการฝึกวิชาสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้น พอเปิดประตูตำหนัก ก็เจอหมอกหนาทึบลอยสูงบ้างต่ำบ้าง เดินออกจากตำหนักชีพนิรันดร์เพียงลำพังแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีงาน ปกติจะเว้นช่วงออกมาจัดการธุระเล็กน้อยในระหว่างที่ฝึกตนอยู่ พอออกจากลานตำหนัก ซ่างกวนชิงก็เข้ามาต้อนรับ

“ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?” ประมุขชิงเอ่ยถามอย่างสบายๆ ในขณะที่เดินเล่น

ซ่างกวนชิงยิ้มตาหยีพร้อมตอบว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไร ทุกอย่างล้วนสงบราบรื่น แต่ละฝ่ายก็สงบสุขมากเช่นกันขอรับ” ที่จริงทุกครั้งหลังการประชุมใหญ่ อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนจำศีลสักระยะ แทบจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ไปแล้ว ในเวลานี้จะไม่มีใครก่อเรื่อง

จู่ๆ ประมุขชิงก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าแปลงดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกงามแห่งหนึ่ง เข้าไปใกล้แล้วดอมดมเบาๆ บางทีสิ่งของอาจจะทำให้คิดถึงใครบางคน เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สถานการณ์ทางด้านสนมสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ยังเงียบสงบมาตลอดขอรับ ถึงแม้จะอยู่ในบ้านบิดามารดาของตัวเอง แต่ก็แทบจะไม่ออกจากเรือนเลย มีคนนอกไปมาหาสู่ด้วยน้อยมาก”

“นี่ก็คือนิสัยที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบาก” ประมุขชิงส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้อีก ถามว่า “ทางด้านตลาดผี โถงชุมนุมอัจฉริยะของหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว รับสมัครคนได้หรือยัง?”

“ไม่มีคนขอรับ” ซ่างกวนชิงอดหัวเราะไม่ได้

“ไม่มีคนมาสมัครสักคนเลยเหรอ?” ประมุขชิงแปลกใจ

“น่าจะเป็นอย่างนี้ขอรับ มีคนมามุงดูกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ก็ไม่มีใครสมัคร” ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงหัวเราะหึหึ “ยังนึกว่าเขาจะเล่นลูกไม้ใหม่ๆ ให้ข้าแปลกใจสักหน่อย แต่ก็เท่านี้เอง คนพิลึกก็ทำเรื่องพิลึกอย่างนี้!” จากนั้นก็โบกมือ “ไม่สนใจเขาแล้ว ไปดูที่ตำหนักนารีสวรรค์สักหน่อยเถอะ”

ช่วงนี้ความเคลื่อนไหวที่ตลาดผีสร้างความแปลกใจให้ใต้หล้าไม่หยุดหย่อน ทำให้ชื่อของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโด่งดังอย่างต่อเนื่อง นักพรตในใต้หล้าพากันวิพากษ์วิจารณ์

ตอนแรกก็เรื่องที่จวนแม่ทัพภาคกับวัดพระกษิติครรภ์สลับที่กัน เรื่องนี้แปลกใหม่พอสมควร ควรค่าแก่การให้ทุกคนพูดถึง ตอนหลังก็มีข่าวออกมาว่า สงสัยฝั่งวัดพระกษิติครรภ์จะถูกหนิวโหย่วเต๋อวางกับดักแล้ว ทำให้ถูกคนหัวเราะเยาะอีก นึกไม่ถึงว่ายังมีเรื่องอย่างนี้อยู่ด้วย ต่อมาก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีก ไม่น่าเชื่อว่าตลาดผีจะมีป้ายประกาศ ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ รับสมัครผู้มีฝีมือโดดเด่นในใต้หล้า ทำให้ใต้หล้าพากันพูดถึงอีก คนส่วนใหญ่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก ต่างก็แปลกใจว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเป็นอะไรไปแน่ เรื่องแปลกเกิดขึ้นทุกปี แต่ปีนี้ค่อนข้างเยอะ มีบางคนอุทานอย่างสะเทือนใจ ทำไมรู้สึกเหมือนจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเป้นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งเลยล่ะ ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อวาดสิ่งต่างๆ ได้ตามใจชอบ ทำไมไม่มีใครสนใจสักหน่อยเลย ทำไมปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างความปั่นป่วนล่ะ?

และสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพวกนี้ ก็มองเห็นเป็นเรื่องตลกเท่านั้น โดยเฉพาะพวกที่ไม่พอใจเหมียวอี้ พวกลูกหลานผู้มีอำนาจนั่งรวมอยู่โต๊ะเดียวกัน ขณะกำลังดื่มสุรากัน มีคนชี้ห้นาดูถูกมาตั้งแต่ไกลๆ คอยดูว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อจะรอดไปได้อย่างไร!

ตามเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป ข่าวหนิวโหย่วเต๋อโดนเนรเทศเริ่มแพร่ออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อไม่มีอนาคตแล้ว ข่าวที่บอกว่าเขาจะแก่ตายอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีแพร่ออกไปทั่วไป

“เฮ้อ!” ฝูชิงที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “ทุกเรื่องควรมีขอบเขตนะเจ้าห้า!”

คนมากมายที่รู้จักเหมียวอี้ต่างก็คิดไม่ถึง หนิวโหย่วเต๋อคนก่อนหน้านี้ที่ทำตัวโดดเด่นและมีตระกูลโค่วหนุนหลัง ทำไมถึงเดินลงทางชันอย่างนั้นแล้วล่ะ

“ครึ่งค่อนปีแล้ว ทำไมไม่ใครมาสมัครสักคน?”

จวนแม่ทัพภาคใหม่ เหมียวอี้ที่เก็บตัวฝึกวิชาได้ระยะหนึ่งออกจากการฝึกวิชาแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เขาเรียกหยางเจาชิงกับสวีถังหรานมาถามถึงสถานการณ์ทันที ไม่พอใจกับความก้าวหน้าในการทำงานเป็นอย่างมาก

“ทุกคนเหมือนจะไม่ค่อยยอมรับกับวิธีการกึ่งทางการกึ่งไม่ทางการ…” หยางเจาชิงบอกเหตุผลอย่างตะกุกตะกัก

สวีถังหรานยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ ที่จริงเขารู้สึกตั้งนานแล้วว่าวิธีการนี้ไม่ได้เรื่อง ฐานะตัวตนแบบนี้ไม่ชัดเจน กอปรกับมองไม่ออกว่าผลประโยชน์อยู่ตรงไหน มีแต่คนที่สมองมีปัญหาเท่านั้นแหละที่จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้ามาร่วมด้วย นายท่านเหมือนจะระเมินเสน่ห์ของตัวเองสูงไปหน่อย

“เจ้ายิ้มอะไร?” พอเหมียวอี้เห็นใบหน้ายิ้มของสวีถังหราน ความโมโหที่สะสมไว้ก็ปะทุทันที ชีเขาพร้อมบอกว่า “เจ้า เจ้าก็แล้วกัน ต่อไปนี้ให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องรับสมัครคน”

“หา! ข้าน้อยมีความสามารถจำกัด…”

สวีถังหรานรีบปฏิเสธ นี่คือภารกิจที่ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จเลย ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดตัดบทเสียเลยว่า “ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร ก็ต้องรีบดึงตัวกลุ่มคนที่สามารถทำงานได้ กำลังพลที่สามารถอาศัยกำลังทรัพย์ตัวเองมาให้โถงชุมนุมอัจฉริยะโดยเร็วที่สุด ให้เวลาเจ้าสิบปี ถ้างานไม่ได้ประสิทธิภาพข้าจะมาเอาเรื่องเจ้า!”

“นายท่าน…” สวีถังหรานแทบจะร้องไห้ นายท่านให้ตนทำเรื่องแสวงหากำไรโดยไม่ลงทุนอีกแล้ว คุยโม้เรื่องครั้งก่อนไปแล้ว ข้าใช้ทุนเก่าไปไม่น้อยเลย จะให้หาคนมาทำงานให้โดยไม่จ่ายเงินเนี่ยนะ ทำไมเจ้าถึงคิดวิธีการพวกนี้ได้เรื่อยๆ นะ!

บังเอิญพอดี ด้านนอกมีเสียงสาวงามดังขึ้น “นี่! ทำไมพอมาถึงก็เจอคนระบายอารมณ์ใส่คนอื่นเลยล่ะ ใครกันที่อารมณ์ร้อนขนาดนั้น ให้ข้าดูหน่อยซิ!”

พวกเขามองไปด้านนอก เห็นอวิ๋นจือชิวที่สวยสง่าภูมิฐานแลดูมีชีวิตชีวาเดินเนิบนาบเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง เดินผ่านมาได้ตลอดทาง ไม่มีใครเข้ามาขวาง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ เฟยหง เสวี่ยหลิงหลงและหลินผิงผิงติดตาม ข้างหลังยังมีผู้คุ้มกันติดตามอีกสองคน

…………………………