ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 27 ชายชราดีดฉินคนหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ผงแป้งที่เด็กสาวโยนนั้นย่อมเป็นพิษ

ฉูซูเป็นทายาทนรกภูมิ เป็นสิ่งที่เหลือจากวิชาตัดศพ ดังนั้นร่างกายเขาจึงเต็มไปด้วยพิษเย็นชั่วร้ายเน่าเหม็น ว่าตามเหตุผลเขาไม่ควรกลัวพิษใดก็ตาม

แต่ทว่าผงเครื่องแป้งเหล่านี้ไม่ใช่พิษธรรมดา เสียแต่เป็นพิษของตระกูลถัง

หากผู้อาวุโสที่แท้จริงอย่างซางสิงโจวมาเห็นเข้า ต้องนึกถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ห่างไกลยิ่งขึ้น

ตระกูลถังจากตะวันตกเฉียงใต้สามารถผ่านเวลาหลายปีใต้การเฝ้ามองของยอดฝีมือเขตแดนนับไม่ถ้วนได้อย่างไร

เหตุใดประมุขตระกูลถังทุกคนถึงได้ลึกลับน่ากลัวนัก

เพราะวิชาที่ตระกูลถังเชี่ยวชาญที่สุด น่ากลัวที่สุดก็คือการใช้พิษ

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป น้อยคนนักจะจำเรื่องนี้ได้

……

……

ฉูซูรู้สึกว่าเส้นลมปราณแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ว่าเลือดแท้ไหลออกไป สุดท้ายก็เป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ แล้ว

ในสายตาเขา คนงานทางการ พ่อค้าและหมอดูล้วนอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือการบำเพ็ญเพียร

ปกติแล้วเขาย่อมสามารถรับมือกับผู้อาวุโสที่รู้วิชาสุริยันแผดเผาและเด็กสาวที่ใช้พิษได้ เสียแต่ว่าพวกมันร่วมมือกันอย่างไร้รอยต่อ ไม่เปิดโอกาสให้เขาตอบโต้ กักเขาเอาไว้ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมาก

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาหงุดหงิด โมโหและรวดร้าวอย่างมาก

เสียงกรีดร้องดังออกมาจากริมฝีปากเปื้อนเลือดของเขา

คลื่นเล็กๆ นับไม่ถ้วนเกิดขึ้นบนผิวน้ำ ตัดซากปลาและงูที่โดนพิษตายเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เลือดสีดำหลายสายพุ่งไปทั่ว แล้วก็ถูกเขาใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ดั้งเดิมที่สุดของพรรคฉางเซิงเปลี่ยนให้กลายเป็นหมอกดำ

ลมพัดหมอกดำให้กลายเป็นไอนับไม่ถ้วน ไอควันแต่ละก้อนดูราวกับมีชีวิต เปลี่ยนสภาพเป็นงูเลื้อยแล้วค่อยๆ ก่อตัวเป็นใบหน้า

ใบหน้าพวกนี้ตอนแรกก็พร่าเลือน แต่ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น องคาพยพชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งเขียวทั้งกระดูก กรงเล็บก่อตัวเป็นรูปร่าง ทั้งดุร้ายทั้งเลือดเย็น ดูราวกับผีร้าย

ผีร้ายนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นจากหมอกเลือดพุ่งเข้าหาคนบนฝั่ง ถือมีดไว้ในมือ

โซ่หกเส้นส่งเสียงเคล้งคล้างในขณะที่จุดดำนับไม่ถ้วนผุดขึ้นบนตะบอง

ริ้วธงของหมอดูสั่นพลิ้วในสายลม ในขณะที่มือเหล่าพ่อค้าได้วางไว้บนแบบจำลองแล้ว

ผู้เฒ่าขายขนมทั้งสองเตรียมที่จะต่อยอีกครั้งและเด็กสาวก็เตรียมผงแป้งไว้เต็มกำมือแล้ว

ตอนที่ฉูซูหมายจะใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุด ตั้งใจจะเสี่ยงร่างกายและวิญญาณแตกสลายเพื่อเข่นฆ่าผู้คนทั้งหมดบนชายฝั่ง…

เสียงฉินก็พลันดังขึ้นจากชายฝั่ง

เสียงฉินนั้นด้อยกว่าเสียงที่ราชามารดีดบนเทือกเขา แต่ก็กระชากวิญญาณคล้ายคลึงกัน

หากจูเช่อยังมีชีวิตมาฟังเสียงฉินนี้ ปฏิกิริยาแรกของเขาต้องคิดหาวิธีในการหลบหนีออกไปให้ได้

ฉินนี้เคยเล่นบนฝั่งตรงข้ามอารามเต๋ามาก่อน

คนที่เล่นฉินก็คือนักดนตรีตาบอด

นักเล่นฉินตาบอดมาถึงริมฝั่งตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

นักเล่นฉินตาบอดเงยหน้าขึ้นดูราวกับจ้องมองไปที่ฉูซู

ดวงตาเขาไร้ตาดำ มีแต่สีขาว ทว่าเมื่อเลือดสีดำและผีร้ายสะท้อนบนดวงตา ตานั้นก็ดูเป็นสีเทา

ฉูซูรู้ดีว่านักเล่นฉินไม่อาจมองเห็นแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจถูกมองจนทะลุ

ความหวาดกลัวไร้สิ้นสุดพุ่งขึ้นในใจเขา แทบจะทำให้ใจหยุดเต้น

เขาไม่กล้าโจมตีต่อไป เขาดิ้นหลุดจากโซ่ทั้งหกและกระโดดลงเวิ่นสุ่ยด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขาสามารถรวบรวมได้

……

……

เสียงฉินดังไม่ขาดสาย ลอยผ่านพายุหิมะออกไปไกล

เมื่อสายฉินเคลื่อนไหว โลกก็เปลี่ยนตาม เกล็ดหิมะอ่อนนุ่มเปลี่ยนเป็นมีดบินไร้รูป

เสียงโศกเศร้าแปลกแปร่งหูดังก้องทั่วท้องฟ้าเหนือแม่น้ำ เสียงร้องน่าอนาถของผีร้ายนับไม่ถ้วนดังขึ้นในขณะที่พวกมันถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เกล็ดหิมะถูกย้อมเป็นสีเทาดำยามที่มันตกลงไปในแม่น้ำและหายไปจากสายตา

เช่นเดียวกับฉูซูที่กระโดดลงไปในแม่น้ำ

แสงส่องบนแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ทว่าไม่เห็นร่างของฉูซู มีเพียงความเลือนรางของน้ำ

เขาเร็วเกินไป เร็วยิ่งกว่าตอนที่เวลาที่ใช้ในการทำให้ภาพของเขาหายไปเสียอีก

นักดนตรีตาบอดมองไกลออกไป มือยังคงดีดสายฉินต่อไปแต่ทำนองกลับเปลี่ยนไป

เพลงที่เขาเล่นคือ ‘แม่น้ำเหลือง’ เพลงเดียวกับที่ชิวซานจวินร้องในยามสนธยาวันนั้น

เสียงฉินดูราวกับเป็นวัตถุจริง ตกลงบนแม่น้ำ น้ำที่กระเซ็นออกมาดูราวกับทองคำเหลว

เสียงฉินตัดภาพพร่าเลือนอย่างเงียบเชียบ

เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากไหนไม่ทราบ

หางเปื้อนเลือดขาดและร่วงลงจากท้องฟ้า

กลายเป็นว่าฉูซูไม่ได้ซ่อนอยู่ในแม่น้ำ แต่ซ่อนตัวอยู่ในแสงของใจกลางค่ายกล

เกิดเสียงโลหะเสียดสีกัน โซ่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและพันรอบหางที่ขาด

เด็กสาวโปรยเครื่องแป้งไปทั่วหางนั่น ราวกับกำลังทำอาหารหรือดองผัก

หางนั่นยังคงดิ้นรนแม้ว่าจะถูกโซ่มัดเอาไว้แน่น ดูเหมือนกับมีชีวิต มันค่อยๆ นิ่งลงและตายไปอย่างแท้จริงในที่สุด

ผู้เฒ่าขายขนมคนหนึ่งเดินออกมา ใช้กระดาษน้ำมันที่ใช้ห่อขนมมาห่อหางนี้เอาไว้

หลังจากทั้งหมดนี้จบลง ทุกคนก็มองไปยังนักเล่นฉินตาบอด

คนงานทางการ พ่อค้า หมอดู ผู้เฒ่าขายขนมและเด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งคือคนห้าเหล่าของตระกูลถัง

แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด

พวกเขาคือเหล่าทั้งห้าของคนห้าเหล่า ทว่ายังมีอีกคนที่จำเป็นต้องกล่าวถึง

คนที่เป็นอาจารย์ของพวกเขาและยังเป็นหัวหน้าอีกด้วย

“ตะวันตกสามลี้”

พ่อค้าทั้งเจ็ดยังควบคุมค่ายกลอยู่ เมื่อริ้วธงปลิวไปตามสายลม หมอดูก็สืบหาตำแหน่งของฉูซูอีกครั้ง

คนงานทางการยกโซ่ขึ้นและกำตะบอง เตรียมจะไล่ล่าต่อไป

ผู้เฒ่าขายขนมและเด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งเริ่มเก็บของ

ใบหน้าของพวกเขาสงบนิ่งไร้อารมณ์

เมื่อนักเล่นฉินตาบอดลงมือแล้ว ไม่ว่าฉูซูจะมีทักษะการหลบซ่อนดีแต่ไหน การโจมตีจะชั่วร้ายเพียงใดก็มีแต่ความตายรออยู่

นักเล่นฉินตาบอดไม่ได้เคลื่อนไหว

คนงานทางการ พ่อค้า ผู้อาวุโสและเด็กสาวต่างมองไปที่เขา

“พอแล้ว”

นักเล่นฉินตาบอดหลับตาและเล่นฉินต่อไป

……

……

เวลาไม่ได้ผ่านไปด้วยความเร็วที่เท่ากันสำหรับทุกคน ดังนั้นในอารมณ์ที่ต่างกันกับคนที่ต่างกันและในตอนเริ่มต้นและตอนจบของเหตุการณ์ เวลาจึงต่างกัน

เมื่อใกล้ขอบเขต เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่ามาก

การเล่นไพ่นกในจวนเก่าตระกูลถังได้หยุดลงแล้ว

การเล่นไพ่นกกระจอกในหอบรรพชนก็ใกล้ช่วงสุดท้ายเข้ามาแล้ว

เวลาหนึ่งชั่วยามก็แทบจะหมดลงแล้ว

คนสามคนที่โต๊ะก็เป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อาสิบหก ท่านกับอาสิบเจ็ดเป็นฝาแฝด สนิทสนมกันมาตลอด ข้าจึงคิดว่าท่านต้องอยากจะล้างแค้นให้เขา”

ถังซานสือลิ่วมองไปที่อาของตนและกล่าว “แต่ท่านต้องเข้าใจว่าเขาไม่ได้ถูกราชามารหรือสังฆราชฆ่า เขาถูกอารองฆ่า”

ได้ยินเช่นนี้ ประมุขสิบหกตระกูลถังก็พลันหน้าเปลี่ยนไป จ้องมองกลับไปและกล่าว “หลักฐาน”

ถังซานสือลิ่วกล่าว “เพราะเรื่องยาจูซา มุขนายกตำหนักอิงหัวถูกขับออกจากพระราชวังหลี ท่านน่าจะรู้จักคนผู้นั้น”

ประมุขสิบหกตระกูลถังหน้าคล้ำขึ้น “เขาติดตามเจ้าสิบเจ็ดไปหมู่บ้านเกาหยาง”

ถังซานสือลิ่วมองดูไพ่ในมือแล้วกล่าว “เขาไม่ได้ตาย”

ประมุขสิบหกตระกูลถังกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใคร ต่อให้เป็น…พี่รอง ก็ไม่มีเหตุผลที่คนผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

ถังซานสือลิ่วเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วกล่าว “นี่แสดงถึงหลักการบางอย่าง การฆ่าตัวตายนั้นยากเย็นยิ่งกว่าการฆ่าผู้อื่นมากนัก”

ประมุขสิบหกตระกูลถังลุกขึ้นอย่างฉับพลันและกล่าว “มอบเขาให้ข้า”

ถังซานสือลิ่วก้มหน้ากลับไปและเริ่มจัดไพ่ “ขึ้นอยู่กับอาสิบหกว่าจะมอบสิ่งที่ข้าต้องการออกมาหรือไม่”