ผงแป้งที่เด็กสาวโยนนั้นย่อมเป็นพิษ
ฉูซูเป็นทายาทนรกภูมิ เป็นสิ่งที่เหลือจากวิชาตัดศพ ดังนั้นร่างกายเขาจึงเต็มไปด้วยพิษเย็นชั่วร้ายเน่าเหม็น ว่าตามเหตุผลเขาไม่ควรกลัวพิษใดก็ตาม
แต่ทว่าผงเครื่องแป้งเหล่านี้ไม่ใช่พิษธรรมดา เสียแต่เป็นพิษของตระกูลถัง
หากผู้อาวุโสที่แท้จริงอย่างซางสิงโจวมาเห็นเข้า ต้องนึกถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ห่างไกลยิ่งขึ้น
ตระกูลถังจากตะวันตกเฉียงใต้สามารถผ่านเวลาหลายปีใต้การเฝ้ามองของยอดฝีมือเขตแดนนับไม่ถ้วนได้อย่างไร
เหตุใดประมุขตระกูลถังทุกคนถึงได้ลึกลับน่ากลัวนัก
เพราะวิชาที่ตระกูลถังเชี่ยวชาญที่สุด น่ากลัวที่สุดก็คือการใช้พิษ
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป น้อยคนนักจะจำเรื่องนี้ได้
……
……
ฉูซูรู้สึกว่าเส้นลมปราณแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ว่าเลือดแท้ไหลออกไป สุดท้ายก็เป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ในสายตาเขา คนงานทางการ พ่อค้าและหมอดูล้วนอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือการบำเพ็ญเพียร
ปกติแล้วเขาย่อมสามารถรับมือกับผู้อาวุโสที่รู้วิชาสุริยันแผดเผาและเด็กสาวที่ใช้พิษได้ เสียแต่ว่าพวกมันร่วมมือกันอย่างไร้รอยต่อ ไม่เปิดโอกาสให้เขาตอบโต้ กักเขาเอาไว้ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมาก
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาหงุดหงิด โมโหและรวดร้าวอย่างมาก
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากริมฝีปากเปื้อนเลือดของเขา
คลื่นเล็กๆ นับไม่ถ้วนเกิดขึ้นบนผิวน้ำ ตัดซากปลาและงูที่โดนพิษตายเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เลือดสีดำหลายสายพุ่งไปทั่ว แล้วก็ถูกเขาใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ดั้งเดิมที่สุดของพรรคฉางเซิงเปลี่ยนให้กลายเป็นหมอกดำ
ลมพัดหมอกดำให้กลายเป็นไอนับไม่ถ้วน ไอควันแต่ละก้อนดูราวกับมีชีวิต เปลี่ยนสภาพเป็นงูเลื้อยแล้วค่อยๆ ก่อตัวเป็นใบหน้า
ใบหน้าพวกนี้ตอนแรกก็พร่าเลือน แต่ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น องคาพยพชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งเขียวทั้งกระดูก กรงเล็บก่อตัวเป็นรูปร่าง ทั้งดุร้ายทั้งเลือดเย็น ดูราวกับผีร้าย
ผีร้ายนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นจากหมอกเลือดพุ่งเข้าหาคนบนฝั่ง ถือมีดไว้ในมือ
โซ่หกเส้นส่งเสียงเคล้งคล้างในขณะที่จุดดำนับไม่ถ้วนผุดขึ้นบนตะบอง
ริ้วธงของหมอดูสั่นพลิ้วในสายลม ในขณะที่มือเหล่าพ่อค้าได้วางไว้บนแบบจำลองแล้ว
ผู้เฒ่าขายขนมทั้งสองเตรียมที่จะต่อยอีกครั้งและเด็กสาวก็เตรียมผงแป้งไว้เต็มกำมือแล้ว
ตอนที่ฉูซูหมายจะใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุด ตั้งใจจะเสี่ยงร่างกายและวิญญาณแตกสลายเพื่อเข่นฆ่าผู้คนทั้งหมดบนชายฝั่ง…
เสียงฉินก็พลันดังขึ้นจากชายฝั่ง
เสียงฉินนั้นด้อยกว่าเสียงที่ราชามารดีดบนเทือกเขา แต่ก็กระชากวิญญาณคล้ายคลึงกัน
หากจูเช่อยังมีชีวิตมาฟังเสียงฉินนี้ ปฏิกิริยาแรกของเขาต้องคิดหาวิธีในการหลบหนีออกไปให้ได้
ฉินนี้เคยเล่นบนฝั่งตรงข้ามอารามเต๋ามาก่อน
คนที่เล่นฉินก็คือนักดนตรีตาบอด
นักเล่นฉินตาบอดมาถึงริมฝั่งตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
นักเล่นฉินตาบอดเงยหน้าขึ้นดูราวกับจ้องมองไปที่ฉูซู
ดวงตาเขาไร้ตาดำ มีแต่สีขาว ทว่าเมื่อเลือดสีดำและผีร้ายสะท้อนบนดวงตา ตานั้นก็ดูเป็นสีเทา
ฉูซูรู้ดีว่านักเล่นฉินไม่อาจมองเห็นแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจถูกมองจนทะลุ
ความหวาดกลัวไร้สิ้นสุดพุ่งขึ้นในใจเขา แทบจะทำให้ใจหยุดเต้น
เขาไม่กล้าโจมตีต่อไป เขาดิ้นหลุดจากโซ่ทั้งหกและกระโดดลงเวิ่นสุ่ยด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขาสามารถรวบรวมได้
……
……
เสียงฉินดังไม่ขาดสาย ลอยผ่านพายุหิมะออกไปไกล
เมื่อสายฉินเคลื่อนไหว โลกก็เปลี่ยนตาม เกล็ดหิมะอ่อนนุ่มเปลี่ยนเป็นมีดบินไร้รูป
เสียงโศกเศร้าแปลกแปร่งหูดังก้องทั่วท้องฟ้าเหนือแม่น้ำ เสียงร้องน่าอนาถของผีร้ายนับไม่ถ้วนดังขึ้นในขณะที่พวกมันถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เกล็ดหิมะถูกย้อมเป็นสีเทาดำยามที่มันตกลงไปในแม่น้ำและหายไปจากสายตา
เช่นเดียวกับฉูซูที่กระโดดลงไปในแม่น้ำ
แสงส่องบนแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ทว่าไม่เห็นร่างของฉูซู มีเพียงความเลือนรางของน้ำ
เขาเร็วเกินไป เร็วยิ่งกว่าตอนที่เวลาที่ใช้ในการทำให้ภาพของเขาหายไปเสียอีก
นักดนตรีตาบอดมองไกลออกไป มือยังคงดีดสายฉินต่อไปแต่ทำนองกลับเปลี่ยนไป
เพลงที่เขาเล่นคือ ‘แม่น้ำเหลือง’ เพลงเดียวกับที่ชิวซานจวินร้องในยามสนธยาวันนั้น
เสียงฉินดูราวกับเป็นวัตถุจริง ตกลงบนแม่น้ำ น้ำที่กระเซ็นออกมาดูราวกับทองคำเหลว
เสียงฉินตัดภาพพร่าเลือนอย่างเงียบเชียบ
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากไหนไม่ทราบ
หางเปื้อนเลือดขาดและร่วงลงจากท้องฟ้า
กลายเป็นว่าฉูซูไม่ได้ซ่อนอยู่ในแม่น้ำ แต่ซ่อนตัวอยู่ในแสงของใจกลางค่ายกล
เกิดเสียงโลหะเสียดสีกัน โซ่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและพันรอบหางที่ขาด
เด็กสาวโปรยเครื่องแป้งไปทั่วหางนั่น ราวกับกำลังทำอาหารหรือดองผัก
หางนั่นยังคงดิ้นรนแม้ว่าจะถูกโซ่มัดเอาไว้แน่น ดูเหมือนกับมีชีวิต มันค่อยๆ นิ่งลงและตายไปอย่างแท้จริงในที่สุด
ผู้เฒ่าขายขนมคนหนึ่งเดินออกมา ใช้กระดาษน้ำมันที่ใช้ห่อขนมมาห่อหางนี้เอาไว้
หลังจากทั้งหมดนี้จบลง ทุกคนก็มองไปยังนักเล่นฉินตาบอด
คนงานทางการ พ่อค้า หมอดู ผู้เฒ่าขายขนมและเด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งคือคนห้าเหล่าของตระกูลถัง
แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด
พวกเขาคือเหล่าทั้งห้าของคนห้าเหล่า ทว่ายังมีอีกคนที่จำเป็นต้องกล่าวถึง
คนที่เป็นอาจารย์ของพวกเขาและยังเป็นหัวหน้าอีกด้วย
“ตะวันตกสามลี้”
พ่อค้าทั้งเจ็ดยังควบคุมค่ายกลอยู่ เมื่อริ้วธงปลิวไปตามสายลม หมอดูก็สืบหาตำแหน่งของฉูซูอีกครั้ง
คนงานทางการยกโซ่ขึ้นและกำตะบอง เตรียมจะไล่ล่าต่อไป
ผู้เฒ่าขายขนมและเด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งเริ่มเก็บของ
ใบหน้าของพวกเขาสงบนิ่งไร้อารมณ์
เมื่อนักเล่นฉินตาบอดลงมือแล้ว ไม่ว่าฉูซูจะมีทักษะการหลบซ่อนดีแต่ไหน การโจมตีจะชั่วร้ายเพียงใดก็มีแต่ความตายรออยู่
นักเล่นฉินตาบอดไม่ได้เคลื่อนไหว
คนงานทางการ พ่อค้า ผู้อาวุโสและเด็กสาวต่างมองไปที่เขา
“พอแล้ว”
นักเล่นฉินตาบอดหลับตาและเล่นฉินต่อไป
……
……
เวลาไม่ได้ผ่านไปด้วยความเร็วที่เท่ากันสำหรับทุกคน ดังนั้นในอารมณ์ที่ต่างกันกับคนที่ต่างกันและในตอนเริ่มต้นและตอนจบของเหตุการณ์ เวลาจึงต่างกัน
เมื่อใกล้ขอบเขต เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่ามาก
การเล่นไพ่นกในจวนเก่าตระกูลถังได้หยุดลงแล้ว
การเล่นไพ่นกกระจอกในหอบรรพชนก็ใกล้ช่วงสุดท้ายเข้ามาแล้ว
เวลาหนึ่งชั่วยามก็แทบจะหมดลงแล้ว
คนสามคนที่โต๊ะก็เป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อาสิบหก ท่านกับอาสิบเจ็ดเป็นฝาแฝด สนิทสนมกันมาตลอด ข้าจึงคิดว่าท่านต้องอยากจะล้างแค้นให้เขา”
ถังซานสือลิ่วมองไปที่อาของตนและกล่าว “แต่ท่านต้องเข้าใจว่าเขาไม่ได้ถูกราชามารหรือสังฆราชฆ่า เขาถูกอารองฆ่า”
ได้ยินเช่นนี้ ประมุขสิบหกตระกูลถังก็พลันหน้าเปลี่ยนไป จ้องมองกลับไปและกล่าว “หลักฐาน”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “เพราะเรื่องยาจูซา มุขนายกตำหนักอิงหัวถูกขับออกจากพระราชวังหลี ท่านน่าจะรู้จักคนผู้นั้น”
ประมุขสิบหกตระกูลถังหน้าคล้ำขึ้น “เขาติดตามเจ้าสิบเจ็ดไปหมู่บ้านเกาหยาง”
ถังซานสือลิ่วมองดูไพ่ในมือแล้วกล่าว “เขาไม่ได้ตาย”
ประมุขสิบหกตระกูลถังกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใคร ต่อให้เป็น…พี่รอง ก็ไม่มีเหตุผลที่คนผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ถังซานสือลิ่วเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วกล่าว “นี่แสดงถึงหลักการบางอย่าง การฆ่าตัวตายนั้นยากเย็นยิ่งกว่าการฆ่าผู้อื่นมากนัก”
ประมุขสิบหกตระกูลถังลุกขึ้นอย่างฉับพลันและกล่าว “มอบเขาให้ข้า”
ถังซานสือลิ่วก้มหน้ากลับไปและเริ่มจัดไพ่ “ขึ้นอยู่กับอาสิบหกว่าจะมอบสิ่งที่ข้าต้องการออกมาหรือไม่”