บทที่ 1706 คนเก่ามาขอพึ่งพา

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สำหรับคำพูดนี้ เหมียวอี้เพียงฟังเงียบๆ โดยไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้เห็นด้วย

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา สีหน้าชื่นชมของอวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ เลือนหายไป นางเลิกคิ้วข้างเดียวพร้อมถามว่า “ตอนนี้เหมือนข้าจะเข้าใจแล้วนิดหน่อย”

“หืม?” เหมียวอี้ดึงสติกลับมา แล้วมองนาง “เข้าใจอะไร?”

อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างไม่เกรงใจสักนิดเลยว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะน่ะ ที่เจ้าไม่ได้ปรึกษาหยางชิ่งก็ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่อยากปรึกษาเขาหรอก ที่จริงในใจเจ้ารู้ดีว่าเขาคือคนที่เหมาะสมจะปรึกษาด้วยที่สุด และไม่ใช่เหตุผลนั้นที่เจ้าบอกด้วย แต่เจ้าจงใจจะหลีกเลี่ยงเขาต่างหาก หรือไม่เจ้าก็อิจฉาที่เขาฉลาดกว่า เจ้าอยากพิสูจน์ว่าเรื่องบางเรื่องต่อให้ไม่มีหยางชิ่งเจ้าก็ทำได้ดีเหมือนกัน”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่น “ฮูหยินตรรกะพังแล้ว ข้าจำเป็นต้องไปแข่งกับเขาด้วยเหรอ?”

“เจ้าก็กำลังแข่งกับเขาอยู่ไง” อวิ๋นจือชิวพูดเย้ย

เหมียวอี้สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน “หรือว่าในสายตาฮูหยิน ข้าเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวแววตาวูบไหวเล็กน้อย สีหน้าจริงจังพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าทะเล้น กระพริบตาถามว่า “ทำไม ล้อเล่นด้วยไม่ได้แล้วเหรอ?”

เหมียวอี้กลอกตามองบน แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก

อวิ๋นจือชิวก็ตั้งใจเปลี่ยนประเด็นสนทนาเช่นกัน วกกลับมาพูดประเด็นก่อนหน้านี้ “แผนนี้ของหยางชิ่งจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แล้วเจ้าเตรียมจะลงมือยังไง?”

“ให้ข้าไตร่ตรองดูสักหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ

ในขณะนี้เอง เสวี่ยเอ๋อร์มาปรากฏตัวอยู่นอกห้องสมาธิแล้วรายงานว่า “นายท่าน มีแขกมาค่ะ”

สองสามีภรรยาเดินออกจากห้องสมาธิ เหมียวอี้ถามว่า “ใคร?”

“มู่หรงซิงหัวตอบ” เสวี่ยเอ๋อร์ตอบ

“หืม…” เหมียวอี้ตะลึงงัน แปลกใจว่ามู่หรงซิงหัวถ่อมาสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้ทำไม เขาไม่คิดว่ามู่หรงซิงหัวจะมาหาเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องในปีนั้นที่นางไม่ยอมมากับเขา พอได้เจอกันอีกก็อึดอัดอยู่บ้าง แล้วเขาเองก็ล่วงเกินตระกูลอิ๋งรุนแรงขนาดนั้น ถึงแม้วันนี้จะวางความแค้นต่อกันชั่วคราว ทว่าอย่างไรเสียมู่หรงซิงหัวกับเฉาว่านเสียงก็ยังทำงานอยู่ใต้สังกัดตระกูลอิ๋ง การที่นางมาหาเขาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือด้านความรู้สึกก็ล้วนไม่เหมาะสม

ขณะกำลังครุ่นคิด ใครจะคิดว่าพอหันมาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวมองประเมินเขาด้วยสีหน้าระแวงสงสัย ทำอย่างกับเขากับมู่หรงซิงหัวเคยทำเรื่องน่าอายด้วยกันมาก่อน จึงกล่าวอย่างเกินความจำเป็นว่า “ความสัมพันธ์ของข้ากับนางธรรมดามาก”

อวิ๋นจือชิวสีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก กล่าวด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย เจ้าจะอธิบายอะไรขนาดนั้น? ยังอยากจะอธิบายอะไรก็พูดต่อเลย ข้ากำลังฟังอยู่”

เสวี่ยเอ๋อร์ยืนเม้มปากอยู่ข้างๆ เหมือนกำลังกลั้นขำ

รับไม่ไหวกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เหมียวอี้ไอแห้งหนึ่งที แล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป “ข้าจะไปรับแขก”

อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเรียบ “ข้าอาจจะไม่เคยเห็นนาง ไปดูด้วยกันเถอะ ไม่ถือสาใช่มั้ย?” ไม่ว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงหรือไม่ นางก็จะตามไปอยู่ดี

ในโถงรับแขกยังคงมีร่องรอยของชาวพุทธ มู่หรงซิงหัวสวมชุดกระโปรงสีดำ รูปร่างลักษณะเหมือนวันเก่าๆ ใบหน้าไม่เปลี่ยนไป นางไม่ได้แตะต้องน้ำชาที่เชียนเอ๋อร์นำมาวางรับแขก แต่มองสำรวจไปรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นจวนแม่ทัพภาคใหม่อันเลื่องชื่อแห่งนี้ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง

ตอนที่ยังไม่มา หลังจากได้ยินประวัติของจวนแม่ทัพภาคใหม่แห่งนี้ มู่หรงซิงหัวก็แอบทอดถอนใจด้วยความทึ่ง พบว่านายท่านหนิวยังมีลักษณะการทำงานแบบเดิม ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็สร้างความเคลื่อนไหวที่นั่น แต่ไหนแต่ไรมาวัดพระกษิติครรภ์กับจวนแม่ทัพภาคก็เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่หลังจากท่านนี้มา ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะสลับที่กันแล้ว ทั้งยังวางกับดักอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งกล้าหาญด้วย

จนกระทั่งสองสามีภรรยาปรากฏตัวจากโถงด้านหลัง มู่หรงซิงหัวรีบเข้ามาทำความเคารพ “นายท่าน ฮูหยิน”

“เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น แถมตอนนี้เจ้าก็ไม่ใช้ลูกน้องข้าแล้วด้วย ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น คิดเสียว่าสหายเก่ามาเจอหน้ากัน นั่งลงเถอะ!” หลังจากเหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้นั่ง ตัวเองก็นั่งลงที่หัวโต๊ะข้างอวิ๋นจือชิวที่พยักหน้ายิ้มทักทาย

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว หลังจากนั่งลง มู่หรงซิงหัวก็ค่อนข้างสงบเสงี่ยม แต่ปากก็ยังกล่าวพูดรักษาบรรยากาศ “ในปีนั้นที่จากกับนายท่านที่ตลาดสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่ปี นายท่านก็ได้ขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคแล้ว เลื่อนตำแหน่งได้เร็วมาก”

“เหอะๆ ไม่ต้องพูดตามมารยาทแล้ว เจ้ามาที่นี่ได้ แสดงว่าคงได้ยินสถานการณ์ของข้ามาบ้างแล้ว ชีวิตแขวนอยู่บนความเป็นความตายแท้ๆ ตำแหน่งแม่ทัพภาคอะไรนั่นก็มีประดับไว้เฉยๆ เท่านั้น” เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง แล้วถามอย่างสนใจว่า “พูดเรื่องของเจ้าดีกว่า ตอนนี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงมีเวลาว่างมาที่นี่ได้?”

พอพูดถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ มู่หรงซิงหัวก็ฝืนยิ้มนิดหน่อย “สถานการณ์ของข้าตอนนี้ทำให้ข้าหัวเราะเยาะ เฉาว่านเสียงหย่ากับข้าแล้ว”

“…” เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วขณะ ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วอวิ๋นจือชิวก็ถามหยั่งเชิงว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

มู่หรงซิงหัวยิ้มเรียบๆ “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก หลังจากข้าออกจากตลาดสวรรค์แล้ว ก็ไปเป็นผู้บัญชาการท่ามกลางกำลังพลใต้สังกัดเฉาว่านเสียง มีศักดิ์ศรีของเฉาว่านเสียงอยู่ ก็นับว่าใช้ชีวิตได้ดั่งใจ ตอนหลังตำหนักสวรรค์เกิดเหตุเปลี่ยนแปลง ท่านโหวเทียนหยวนถูกถอดจากตำแหน่ง เฉาว่านเสียงที่เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านโหวเทียนหยวนก็เลยลำบากไปด้วย เดิมทีจะต้องถูกกวาดล้างไปพร้อมกัน แต่โชคดีที่เทียนหยวนมีคนสนิทอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งอยู่บ้าง เทียนหยวนดันทุรังรั้งลูกน้องคนสนิทไว้ได้จำนวนหนึ่ง เฉาว่านเสียงก็เป็นหนึ่งในนั้น ถูกย้ายไปรับตำแหน่งอีกแห่งของทัพเหนือ ข้าก็เลยถูกพาไปด้วย ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะรอดจากการถูกกวาดล้าง แต่ก็ถูกลดตำแหน่ง เปลี่ยนจากหัวหน้าภาคกลายเป็นรองหัวหน้าภาค แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายเหมือนกัน ตอนหลังเฉาว่านเสียงรู้จักกับญาติห่างๆ คนหนึ่งของท่านโหวผู้บังคับบัญชา อืม นางเป็นผู้หญิง แล้วทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดี”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว พอฟังถึงตอนหลัง ก็พอจะเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ แล้ว

“เป็นเพราะญาติห่างๆ คนหนึ่งของท่านโหว ก็เลยหย่ากับเจ้าเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถามด้วยสีหน้าโมโห

มู่หรงซิงหัวยิ้มอย่างขื่นขม “เขาก็มีการเตรียมตัวของเขาเหมือนกัน ไปโทษเขาไม่ได้หรอก ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่ลูกน้องของเทียนหยวนแล้ว รอบข้างมีแต่คนแปลกหน้า ไม่มีคนของตัวเอง อีกทั้งพอเขาไปถึงก็เบียดตำแหน่งคนอื่น ใช้ชีวิตไม่ได้ดั่งใจเท่าไร การแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นสามารถสร้างเส้นสายกับท่านโหวได้ อาจจะมีส่วนช่วยเรื่องอนาคตของเขา พอได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับญาติท่านโหว อย่างน้อยคนอื่นจะได้ไม่กล้ากลั่นแกล้งเขาเกินไป ตอนแรกข้าก็เบียดตำแหน่งฮูหยินคนเดิมของเฉาว่านเสียงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จะมีสิทธิ์ไปว่าอะไรคนอื่นล่ะ นี่อาจจะเป็นเวรกรรมที่ตามสนองข้าก็ได้ มิหนำซ้ำก็นับว่าเขาพยายามช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยดึงข้าให้ขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ก่อนแล้วค่อยหย่ากับข้า ก่อนหน้านี้พวกเราก็คุยกันเรียบร้อยดี ข้าไม่มีอะไรจะพร่ำบ่นด้วย เขาเองก็บอกเช่นกัน ว่าถ้าวันไหนเขาลืมตาอ้าปากอีกครั้ง เขาก็จะไม่ปล่อยข้าไว้โดยไม่สนใจ เขาจะหาทางดูแลข้า เพียงแต่ว่า…ในเมื่อจบกันแล้ว ข้าคิดว่าต่อไปนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเกี่ยวพันกันอีก แบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งกับข้าและกับเขา คนใหม่ที่เขาแต่งงานด้วยก็ไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร ยังไงก็มีท่านโหวหนุนหลัง จะมีนิสัยเอาแต่ใจหน่อยก็พอเข้าใจได้”

“เฉาว่านเสียงนั่นใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น อาศัยรูปร่างเตี้ยล่ำอย่างเขาเนี่ยนะ ญาติของท่านโหวคนนั้นจะต้องตาถั่วขนาดไหนกัน?” อวิ๋นจือชิวถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

มู่หรงซิงหัวยิ้มเบาๆ “ที่ฮูหยินพูดก็มีเหตุผล แต่ช่วยไม่ได้ที่ฮูหยินคนใหม่ก็หน้าตาไม่น่ามองเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงคราวให้เฉาว่านเสียงได้ประจบหรอก”

ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ถึงความเจ็บความช้ำในใจตัวเอง ไม่ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยผ่านเรื่องน่าอับอายอะไรมาจากการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต แต่ถึงอย่างไรเฉาว่านเสียงก็เป็นผู้ชายคนแรกของนางอย่างแท้จริง ถูกเฉาว่านเสียงครอบครองตอนที่ยังมีร่างกายบริสุทธิ์ ทั้งยังอยู่กับเฉาว่านเสียงทั้งแบบลับและแบบเปิดเผยมาหลายปี ตอนแรกที่นางไม่ได้ติดตามเหมียวอี้มา ก็เพราะอยากจะใช้ชีวิตสงบสุขกับเฉาว่านเสียง ไม่สนใจความอัปลักษณ์ของเฉาว่านเสียง แค่อยากจะใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ตอนนี้กลับถูกเฉาว่านเสียงทิ้งแล้ว มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ถึงรสชาตินี้

อวิ๋นจือชิวโมโหเพราะยืนอยู่ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน แต่ผ่านไปครู่เดียวก็สงบลงเร็วมาก รู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรน่าพูดถึง เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ในโลกนี้ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่ทิ้งทุกอย่างเพื่ออนาคตของตัวเอง มีแค่เฉาว่านเสียงเสียที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ถึงคราวให้นางไปยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น นางทำได้เพียงทอดถอนใจด้วยความปลง

ใครจะคิดว่าต่อจากนั้นมู่หรงซิงหัวจะยืนขึ้น แอบทอดถอนใจแล้วกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้ “มู่หรงเหมือนตัวคนเดียวไม่มีพันธะ ได้ยินว่านายท่านขาดคน ไม่รู้ว่านายท่านเต็มใจจะรับหรือเปล่า? มู่หรงยินดีจะทำงานรับใช้นายท่านอีกครั้ง!”

ที่จริงหลังจากเลิกกับเฉาว่านเสียงแล้ว นางก็อยากจะมุ่งตรงมาขอพึ่งพาเหมียวอี้เสียเลย ท่ามกลางคนที่นางรู้จัก คนที่นางนับถือและเชื่อใจที่สุดก็คือเหมียวอี้ ทว่าด้วยปัจจัยทางด้านความรู้สึกบางอย่าง นางไม่อยากให้เหมียวอี้ดูถูกนางอีกแล้ว กอปรกับในปีนั้นไม่ได้ติดตามทำงานกับเหมียวอี้ ถ้ามาขอพึ่งพาเหมียวอี้ตอนที่ชีวิตโดดเด่นรุ่งโรจน์ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แบบนั้นไม่นับว่าเป็นการเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1]ด้วยซ้ำ นางทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนั้นไป แต่ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปี สถานการณ์ของเหมียวอี้ของพลิกผันดิ่งลงอีก นางได้ยินข่าวในช่วงนี้มาเหมือนกัน ถึงได้มาขอพึ่งพาอย่างไม่ลังเล

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้และฮูหยินก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ทำสีหน้าซาบซึ้งใจเบาๆ ทั้งสองเชื่อว่ามู่หรงซิงหัวได้ยินข่าวเหมียวอี้ช่วงนี้มาแล้วเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่โถงชุมนุมอัจฉริยะหาคนมาสมัครไม่ได้ แต่ยังมีคนเต็มใจจะเอาอนาคตมาฝากไว้ มายังสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวันแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นรสชาติของการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ

“เจ้าเต็มใจมา ข้าก็ต้องอ้าแขนต้อนรับอยู่แล้ว เพียงแต่ทางนั้นจะยอมปล่อยคนเหรอ?” เหมียวอี้ลังเล

มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ข้าอยู่กับเฉาว่านเสียงก็อึดอัดเหมือนกัน ฮูหยินของเฉาว่านเสียงก็ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ แล้วคนที่อยู่ข้างบนและข้างล่างข้าก็อึดอัดเพราะข้าเป็นอดีตฮูหยินของเฉาว่านเสียงด้วย จะล่วงเกินก็ไม่ดี จะไม่ล่วงเกินก็ไม่ดี แล้วพอข้าออกมาก็ยังมีตำแหน่งว่างอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ทุกคนคงอยากให้ข้าเดินออกมาจะแย่อยู่แล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขอเพียงนายท่านยินดีจะรับไว้ มู่หรงก็จะกลับไปจัดการเรื่องนี้ทันที”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง เขาเองก็อยากรับไว้ แต่ก็กังวลว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจผิด

อวิ๋นจือชิวเหมือนจะเดาความคิดเขาออก จึงหรี่ตายิ้ม “ดูท่าแล้วข้าจะต้องยินดีที่นายท่านกำลังจะได้ลูกน้องคนสนิทเพิ่มอีกคน”

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงทางนั้นยินดีปล่อยคน ทางข้าก็ย่อมไม่มีปัญหา แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับตระกูลอิ๋งไม่ค่อยดีเท่าไร ข้าไม่สะดวกออกหน้าให้เจ้า ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ผลตรงกันข้าม”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” มู่หรงซิงหัวตื่นเต้นดีใจทันที

หลังจากคุยกันแล้ว มู่หรงซิงหัวก็รีบกลับไปที่จวน นางไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว ส่วนที่อวิ๋นจือชิวบอกว่า ในเมื่อมาแล้วก็เดินเที่ยวที่ตลาดผีให้ทั่วเพื่อดูประเพณีของตลาดผีสักหน่อย นางก็ตอบว่า ในภายหลังพอมารับตำแหน่งที่ตลาดผีแล้วยังกลัวจะไม่มีเวลาเยี่ยมชมอีกเหรอ? นางรีบบอกลาแล้วจากไปทันที

…………………………

[1] เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น 锦上添花 หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น