ข่งหลิงมาแล้ว เพิ่มความสว่างให้กับบรรยากาศอันเงียบเชียบนี่
ผิวพรรณของนางราวกับหิมะน้ำแข็ง สง่างามราวกับเซียน รูปลักษณ์งดงาม สวมชุดคลุมห้าสีตัวหนึ่ง มีบุคลิกสูงส่งจนพาให้คนรู้สึกด้อยกว่า
“ศิษย์พี่ข่งหลิง!”
ฮว่าอวิ๋นเจินชะงัก สีหน้าอึมครึมสับสน
ความพ่ายแพ้เมื่อครู่นี้ทำให้เขาอายที่จะเผชิญหน้ากับข่งหลิง
“กระบี่นงคราญข่งหลิง!”
ห่างออกไปเหล่าผู้ฝึกปราณต่างหวั่นไหว สายตาแฝงความเคารพอย่างลึกล้ำ เหมือนเห็นเซียนท่านหนึ่งปรากฏบนโลก ท่วงท่าสูงส่งสง่าบริสุทธิ์ราวกับหิมะ ไม่อาจดูแคลน
สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีสิบสามกระบี่ ข่งหลิงอยู่ในลำดับที่สาม
นางครอบครองกระบี่นงคราญ ความสามารถเยี่ยมยอด สืบทอดพรสวรรค์ของเผ่านกยูงห้าสี เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าหญิงที่หายากแม้หนึ่งในหมื่น
บวกกับรูปลักษณ์ของนางโดดเด่นราวกับเทพธิดา แค่ในด้านอิทธิพลก็มากกว่ากระบี่เฉือนวิญญาณฮว่าอวิ๋นเจินอยู่มาก
ข่งหลิงเหมือนมีเรื่องในใจ แม้สังเกตได้ว่าบรรยากาศในที่นั้นแปลกประหลาดและละเอียดอ่อนมาก แต่กลับไม่สนใจ
ทันทีที่มาถึง นางก็ตรงไปหน้าหอสำแดงมรรค
นางมาหาคนที่กำลังทยอยทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋!
นอกจากนี้เรื่องอื่นไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้
เห็นการกระทำเช่นนี้ของนาง พวกของฮว่าอวิ๋นเจินต่างชะงัก หลังจากตระหนักบางอย่างได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจ้าคนเมื่อกี้นั่น คงไม่ใช่….
ตูม!
ในเวลานี้เอง คลื่นไพศาลระลอกหนึ่งแผ่กระจายออกจากหอสำแดงมรรค เกิดเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าดินสั่นไหว
จากนั้นท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคน รูปปั้นหินผีซิวที่นั่งอยู่หน้าหอสำแดงมรรคก็แปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันเขียว
ควันเขียวพัดพา ก่อตัวเป็นเงาคนอันคลุมเครือและเลือนรางกลางอากาศ
“รอคอยตราบพันหมื่นปี ข้าไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป!”
ท่ามกลางความมึนงง ทุกคนราวกับได้ยินเสียงหัวเราะอันภาคภูมิใจและเป็นอิสระดังขึ้น
แต่ยามแยกแยะอย่างละเอียดกลับไร้ซึ่งร่องรอย
หอสำแดงมรรคได้กลับคืนสู่ความเงียบสงบตั้งนานแล้ว มีเพียงรูปปั้นหินผีซิวที่นั่งอยู่หน้าประตูใหญ่ที่หายไป
ข่งหลิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคู่ใสวูบไหว
พวกฮว่าอวิ๋นเจินที่อยู่ห่างออกไปต่างชะงักงัน ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นโดยพร้อมเพรียง
“คนผู้นั้นล่ะ” จู่ๆ ข่งหลิงก็ถามขึ้น เสียงกระจ่างใสดังออกมา
“เพิ่งไป” ฮว่าอวิ๋นเจินพูด
“เหตุใดไม่บอกข้าตั้งแต่แรก”
“ข้า…” ฮว่าอวิ๋นเจินพูดไม่ออก สีหน้าอึมครึมสับสน ให้เขาเล่าเรื่องที่ถูกโจมตีพ่ายแพ้ออกมาเองงั้นหรือ นี่น่าอายเกินไปแล้ว
“ทำงานไม่สำเร็จ ดีแต่ทำให้เละเทะ!” ตอนที่ข่งหลิงพูด เงาร่างพลันกะพริบวาบแปรเป็นนกยูงห้าสีที่งดงามสูงส่งพุ่งทะลวงสู่ฟ้า
“ข้าทำงานไม่สำเร็จหรือ ข้าอยากดูนักว่าท่านศิษย์พี่ข่งหลิงจะสู้เจ้าหมอนั่นได้หรือไม่!” สีหน้าของฮว่าอวิ๋นเจินมืดทะมึนไม่น่าดู
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนอื่นๆ เงียบกริบ
จนถึงตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็กล้ามั่นใจแล้วว่า เจ้าหนุ่มที่พาเซียวชิงเหอออกไปเมื่อครู่นี้ก็คือเป้าหมายที่พวกเขาตามหา
และคนผู้นี้…
เกรงว่าคงทำลายสถิติในหอสำแดงมรรคแล้ว…
พวกเขาหันมองหอสำแดงมรรค จิตใจทั้งตะลึงทั้งสับสน
……
“พี่ชาย ขืนเจ้ายังไม่บอกว่าเจ้าเป็นใคร ข้าจะร้อนใจแล้วนะ!”
กลางอากาศ หลินสวินกลับเซียวชิงเหอกำลังเดินทาง เซียวชิงเหอถามอย่างไม่พอใจ
“รอออกจากนครหยกขาวก่อนค่อยว่ากัน”
หลินสวินตอบสบายๆ
“ได้!”
เซียวชิงเหอรับคำอย่างพอใจมาก
ทันใดนั้นเขาพลันมุ่นคิ้วพูด “ไม่ใช่สิ ในหอสำแดงมรรค… เจ้าได้ทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋หรือไม่”
หลินสวินขานรับว่าอืม
พูดถึงประสบการณ์ในหอสำแดงมรรค จนตอนนี้หลินสวินยังมีความรู้สึกเหมือนฝันไป
เพราะเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ขึ้นหอเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น กลับทำให้การหยั่งรู้ของเขาต่อมรรคดับดารากลืนกินบรรลุถึงระดับเจตจำนงมรรคขั้นสมบูรณ์ในคราเดียว!
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทุ่มเทความพยายามอย่างมาก ถึงพอจะทำให้มรรคนี้บรรลุสู่ระดับท่วงทำนองมรรคขั้นต้นเท่านั้น
แต่ขึ้นหอครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้น กลับทำให้มรรคนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เท่ากับประหยัดเวลาหยั่งมรรคไปราวเจ็ดปี!
ก็หมายความว่า เดิมทีหากหลินสวินต้องการบรรลุมรรคนี้ถึงระดับเจตจำนงมรรคขั้นสมบูรณ์ ด้วยรากฐานพลังและความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานานเจ็ดปี
แต่ตอนนี้ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วยามก็ทำได้แล้ว!
โอกาสระดับนี้เรียกได้ว่าน่าตกใจ ทำให้ในช่วงเวลาสั้นๆ หลินสวินเองยังยากจะสงบได้อย่างสิ้นเชิง
บนโลกนี้มีวาสนานับไม่ถ้วน
มีคนใช้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จในก้าวเดียว ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า
มีคนใช้สิ่งนี้หยั่งมรรค ก้าวสู่ระดับการฝึกปราณที่สูงกว่า
นี่ก็คือเหตุผลพื้นฐานที่บรรดาผู้ฝึกปราณแสวงหา ‘วาสนา’ และ ‘ศุภโชค’
ได้รับวาสนาครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ใครจะต้านทานการล่อลวงระดับนี้ได้
แต่สำหรับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติรุ่นเยาว์ที่ก้าวสู้ขอบเขตมกุฎแล้วอย่างพวกหลินสวิน มหายุคที่กำลังจะมาเยือนต้องเป็น ‘มหาศุภโชค’ ที่หายากและไม่เคยมีมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย!
……
‘เจ้าวิปริตนี่… ไม่ใช่คน!’
ได้รับคำยืนยันจากหลินสวิน ในใจเซียวชิงเหอเกิดความวู่วามอยากสบถขึ้นมา
พอมาเทียบกันแล้ว ช่างน่าโมโหเสียจริง!
ได้เป็นพยานในความสามารถตะลึงโลกต่างๆ ของหลินสวินในหอลองกระบี่ หอเกลาจิต หอหลอมจิตวิญญาณ หอแจ้งสัจจะและหอสำแดงมรรค
แม้แต่เซียวชิงเหอผู้เย่อหยิ่งยังรู้สึกถูกกระทบกระเทือนจิตใจจนยับเยิน
เขาเป็นถึงหนึ่งในสิบหกสุริยันผู้กล้าแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา แม้ในยุคปัจจุบันก็เป็นบุคคลแห่งยุคที่สะดุดตาและชื่อเสียงเลื่องลือ
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวิน เขากลับมีความรู้สึกสู้ไม่ได้
ความรู้สึกเช่นนี้… ไม่เจอกับตัวยากจะจินตนาการออกอย่างแน่นอน
พวกความเย่อหยิ่ง รากฐานพลังและที่พึ่งพิงอะไร ล้วนถูกบดขยี้ทั้งหมด ใครจะทนได้เล่า
เซียวชิงเหอเคยได้ยินว่าตอนที่อวิ๋นชิ่งไป๋ท่องเที่ยวทั่วโลก ผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกับเขาต่างคิดว่า การอยู่ในยุคเดียวกับอวิ๋นชิ่งไป๋คือเคราะห์ร้ายอย่างหนึ่ง
ตอนนั้นเซียวชิงเหอยังดูถูกเรื่องนี้ แต่ตอนนี้พอเห็นฝีมือต่างๆ ของหลินสวินแล้ว ในที่สุดเขาก็พอจะเข้าใจรสชาติของ ‘เคราะห์ร้าย’ เช่นนี้บ้างแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไม่ทะลวงด่านต่อแล้วหรือ”
จู่ๆ เซียวชิงเหอก็ถามคำถามนี้
“ไม่แล้ว”
หลินสวินส่ายหน้า ในสิบสองหอ ห้าหอแรกที่เขาทะลวงผ่านก่อนหน้านี้ มีผลต่อการส่งเสริมการฝึกปราณที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับอีกเจ็ดหอที่เหลือ มีหกหอเป็นสถานที่ที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชันเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้
ส่วนอีกหอ ‘หอชำระกาย’ มีไว้สำหรับผู้ฝึกปราณในมรรคา ‘กายหยาบบรรลุอริยะ’ โดยเฉพาะ ซึ่งขัดแย้งกับมรรคาของเขาในตอนนี้
บวกกับความเคลื่อนไหวที่เขาก่อขึ้นตอนนี้ได้ทำให้สำนักกระบี่เทียมฟ้าตื่นตัว เขาไม่อยากเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้หรอกนะ
‘ภายในวันเดียวทำลายสถิตินับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของห้าหอ แม้เป็นอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นก็คงต้องหวาดเกรงอยู่บ้าง’
เซียวชิงเหอถอนหายใจไม่หยุด
เขาแอบตัดสินใจว่ารอกลับสำนักไปแล้ว จะต้องเล่าข้อมูลทั้งหมดของหลินสวินให้ศิษย์พี่หมีเหิงเจินฟัง!
เพราะในใจเขา ไม่ว่าจะเป็นรากฐานพลัง พรสวรรค์หรือพลังต่อสู้ หมีเหิงเจินอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถเทียบกับหลินสวินได้
ส่วนบุคคลชั้นยอดคนอื่นๆ ในบรรดาสิบหกสุริยันผู้กล้าจะสู้หลินสวินได้หรือไม่นั้น เซียวชิงเหอไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็กำลังใคร่ครวญ
การมาเยือนนครหยกขาวในครั้งนี้ ผลเก็บเกี่ยวที่เขาได้รับมามีมากกว่าที่เห็น
ก่อนอื่นบนหอลองกระบี่ ทำให้เขามั่นใจอย่างสิ้นเชิง ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนสู้ตนไม่ได้อย่างแน่นอน
บนหอเกลาจิต เขามั่นใจว่าการฝึกสภาวะจิตของตน ถึงระดับ ‘กระจ่างจิต’ แล้ว เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันทั้งในอดีตและปัจจุบัน
บนหอหลอมจิตวิญญาณ การฝึกจิตวิญญาณได้บรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์ของขั้นแรกในระดับดอกเทพรวมยอดแล้ว!
ที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ไม่ว่าจะเป็นพลังสภาวะจิตระดับกระจ่างจิต หรือพลังจิตวิญญาณระดับดอกเทพรวมยอดขั้นแรก ล้วนเห็นได้เพียงในตัวสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันเท่านั้น!
อีกทั้งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั่วไปยังไม่มีพลังระดับนี้!
ส่วนในหอแจ้งสัจจะ แม้จะไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ เลย แต่กลับทำให้หลินสวินตัดสินได้ว่า อย่างน้อยในเรื่องของความสามารถในการหยั่งรู้ ตนก็ไม่แพ้ใครในยุคนี้
ผลเก็บเกี่ยวชิ้นใหญ่ที่สุดก็คือประสบการณ์ในหอสำแดงมรรค
เบาะรองนั่งมหามรรคทั้งเก้าที่คุณลักษณะต่างกัน ทำให้ในระหว่างการแจ้งมรรคของเขา พลังปราณมหามรรคได้ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ด้อยกว่าการได้รับวาสนาที่หายากอย่างแน่นอน
และการทะลวงผ่านห้าหอนี้ สิ่งที่หลินสวินเสียไปมีเพียงแค่แกนวิญญาณขั้นสูงห้าหมื่นกว่าก้อนเท่านั้น แม้จะเป็นเงินก้อนโต แต่เมื่อเทียบกับผลเก็บเกี่ยวก็เล็กน้อยมาก
“เจ้าอย่าดูถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ คนผู้นี้รากฐานพลังลึกล้ำยากคาดเดา เมื่อสิบปีก่อนก็เป็นรองเพียงแค่ระดับราชันแล้ว และตอนนี้เขาก็ปิดด่านเก็บตัวฝึกมานานเกือบสิบปี!”
จู่ๆ เซียวชิงเหอก็ส่งเสียง “ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้และพรสวรรค์ของเขา เวลาสิบปีเพียงพอที่จะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน!”
“อริยะผู้หนึ่งในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้าเคยกล่าวว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้นี้ถูกกำหนดให้เป็นบุคคลแห่งยุคที่จะนำพากระแสมหายุค จะแข่งกับเขายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์!”
ฟังถึงตอนท้ายสุดหลินสวินเองก็อดตกใจไม่ได้ คำวิจารณ์ของอริยะ นี่เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถมองข้ามและดูแคลนได้
“ข้าย่อมไม่มีทางดูถูกเขา แต่ก็จะไม่ให้ความสำคัญกับเขามากเกินไป”
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “มหายุค มีนัยถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ อวิ๋นชิ่งไป๋จะเป็นผู้นำแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ ก็ยังมีตัวแปรอยู่เช่นกัน”
เซียวชิงเหอชะงัก รับรู้ได้อย่างมีไหวพริบ ว่าตอนที่หลินสวินพูดถึงอวิ๋นชิ่งไป๋เจือนัยเยียบเย็นที่ยากจะสังเกตเสี้ยวหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รอให้เขาตอบสนองหลินสวินก็พูดขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้นระดับกระบวนแปรจุติก็คือระดับกระบวนแปรจุติ แม้ให้เขาตกตะกอนสั่งสมเป็นร้อยปี ขอแค่พลังปราณไม่เปลี่ยน ท้ายที่สุดพลังต่อสู้ก็มีขีดจำกัด”
“เขากำลังรอมหายุคมาเยือน ผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกนี้ก็กำลังรอเช่นกัน ส่วนข้า…”
“เหตุใดไม่เป็นเช่นนี้เล่า”
หลินสวินยิ้มบางๆ สีหน้าราบเรียบ ไม่ได้มีน้ำเสียงตื่นเต้นใดๆ กลับมีความมั่นใจที่ไม่สามารถมองข้ามและดูถูกได้
ในใจเซียวชิงเหอกระตุกวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ พลันพูดอย่างฮึกเหิม “เจ้าพูดถูก ผู้ฝึกปราณรุ่นเราไม่ประชันเวลา ประชันเพียงมหามรรค ประชันเพียงแค่ว่ามรรคาของใครจะไปได้ไกลกว่า!”
เพียงแต่ตอนนี้เองกลับมีเสียงเย็นชาดังขึ้นอย่างกะทันหัน “หึ ข้าว่าตอนนี้พวกเจ้าคงไปได้ไม่ไกลมากแล้ว!”
พร้อมกับเสียงนั่น รุ้งศักดิ์สิทธิ์งดงามสว่างไสววาดมา ราวกับเคลื่อนไหวพริบตา เร็วจนเหลือเชื่อ
จู่ๆ ก็เข้ามาใกล้
พอมองไปอีกที รุ้งศักดิ์สิทธิ์นั่นพลันพริบไหว แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวงดงามที่ผิวพรรณงามดั่งหยก สง่างามปานเทพธิดาคนหนึ่ง
กระบี่นงคราญข่งหลิง!
……………