นักเล่นฉินตาบอดออกจากห้อง แบกฉินไว้ด้านหลัง
อันหลินก็ตระหนักได้ว่าเขาเป็นใครเช่นกัน ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย ก่อนคำนับเล็กน้อยในฐานะผู้เยาว์
ราชันย์แห่งหลิงไห่ยังไม่ทันหายจากความตกใจครั้งแรกก็ต้องตกใจอีกรอบ
พรรคฉางเซิงก็คือหอบรรพชนของนิกายหลวงแดนใต้ ในฐานะมหามุขนายกแห่งนิกายหลวง เขากับอันหลินมีความเข้าใจเกี่ยวกับพรรคฉางเซิงมากกว่าเฉินฉางเซิง
พวกเขารู้ว่านักเล่นฉินตาบอดเคยเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของพรรคฉางเซิง
ตอนซูหลีบุกเข้าพรรคฉางเซิงพร้อมกระบี่ สระเย็นมีเลือดไหลนองและซากศพนับไม่ถ้วน
ผู้อาวุโสหลายคนที่สามารถรอดชีวิตมาได้ เป็นเพียงผู้อาวุโสรุ่นสองที่ไม่โดดเด่น ผู้อาวุโสรุ่นแรกที่เป็นตัวแทนของอำนาจพรรคฉางเซิงอย่างแท้จริงได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น การสืบสวนภายหลังเผยออกมาว่าผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนหนีรอดหายนะนี้มาได้เพราะกำลังกักตัวบำเพ็ญเพียร อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วแม้แต่พวกเขาก็หายตัวไป
ใครจะไปคาดคิดว่าผู้อาวุโสใหญ่ของพรรคฉางเซิงจะมาอยู่ที่ตระกูลถัง
……
……
“เว่ยซั่งวูเป็นเจ้ากรมราชทัณฑ์ของรัชกาลก่อน หลังจากได้รับความอยุติธรรม เขาก็มาดูแลหอลงทัณฑ์ของตระกูลข้า” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอธิบายต่อเฉินฉางเซิง “ตอนที่เขาเป็นขุนนางซั่งซู โจวทงเพิ่งจะเริ่มสร้างชื่อจากคดีเกี่ยวกับตระกูลมู่ท่า เขากราบเว่ยซั่งซูเป็นอาจารย์ตามประสงค์ของจักรพรรดินี วิธีการทั้งหมดที่โจวทงใช้ในภายหลังล้วนเรียนรู้มาจากเขา แต่ทั้งสองคนมีหลักการต่างกัน เว่ยซั่งซูไม่ชอบเขาอย่างล้ำลึก แม้ว่าโจวทงจะได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เขาก็ยังถูกเว่ยซั่งซูเล่นงานอย่างโหดเหี้ยม เรื่องนี้ดำเนินไปจนกระทั่งจักรพรรดิเซียนตาบอดและทั้งราชสำนักตกอยู่ในการควบคุมของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ จากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป”
เฉินฉางเซิงถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“เว่ยซั่งซูนับได้ว่าเป็นนักโทษรุ่นแรกของคุกโจว”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เขากล่าวต่อ “ข้าขอให้ซูหลีช่วยเขาออกมาจากจิงตู และเว่ยซั่งซูก้อยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ยมานับตั้งแต่นั้น”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงก็ถาม “แล้วอีกคนหนึ่งเล่า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบ “ตอนที่ซูหลีไปพรรคฉางเซิง เขาได้เว้นชีวิตสองคนเพื่อเห็นแก่ข้า”
เฉินฉางเซิงพอเข้าใจคร่าวๆ
ผู้อาวุโสที่รอดชีวิตทั้งสองล้วนอยู่ในเวิ่นสุ่ย
หนึ่งก็คือนักเล่นฉินตาบอด อีกคนเป็นผู้พิทักษ์ชราที่อยู่ในหอบรรพชน
“เรื่องนี้ทำให้ข้าติดหนี้น้ำใจซูหลี เขาให้ข้าสัญญาว่าจะทำตามคำขอของเขาหนึ่งอย่าง และวันนี้ข้าก็ได้ตอบแทนน้ำใจนั้นแล้ว”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่ร่มเก่าแล้วกล่าว “มันก็คือเวลาหนึ่งชั่วยามที่เจ้าขอ”
เฉินฉางเซิงนึกถึงผู้อาวุโสที่เขาไม่ได้พบมาเป็นเวลานานและเริ่มคิดถึงอยู่บ้าง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวในที่สุด “น้ำใจนี้มาจากพวกเขาสามคน ตอนนี้ก็เป็นพวกเขาสามคนตอบแทนกลับไป ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับว่าจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นชะตาลิขิตจริงๆ”
คำพูดนี้คือคำอธิบายเหตุการณ์ในวันนี้ และยังเป็นวิธีที่ใช้ฆ่าเวลาอีกด้วย
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับเฉินฉางเซิงกำลังรอใครบางคนอยู่
เป็นคนที่สำคัญที่สุด
ประมุขรองตระกูลถัง
……
……
ประมุขรองตระกูลถังปัดหิมะออกจากไหล่ แล้วยิ้มให้กับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง “วันนี้ท่านพ่อชนะไพ่นกกระจอกเท่าไร”
สีหน้าเขาเป็นปกติมาก น้ำเสียงก็สุขุมมาก เป็นเช่นเดียวกับตอนที่เขามายังจวนเก่าตามปกติ เขายังเป็นบุตรคนรองที่เฉลียวฉลาดที่เชี่ยวชาญในการทำให้บิดามีความสุข
ทว่าวันนี้ในจวนเก่าไม่ได้มีแค่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ยังมีเฉินฉางเซิงกับคนอื่นอยู่อีกด้วย
“ข้ามีการตกลงกับพรรคฉางเซิงในการสังหารเฉินฉางเซิงจริง”
ประมุขรองตระกูลถังกล่าวอย่างสุขุม “วางแผนลอบสังหารสังฆราชอาจฟังดูเป็นเรื่องชั่วร้ายอย่างมาก แต่ข้าไม่คิดว่ามันผิด”
ใช่แล้ว เมื่อเรื่องนี้มีผู้รับรู้แล้วก็ย่อมต้องมีการลงโทษ แต่จากมุมมองของตระกูลถังมันไม่ผิด
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ถกกันวันนี้ในจวนเก่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะไม่ใช่การลงโทษแต่เป็นถูกหรือผิด
‘ถูกหรือผิด’ นี้ไม่ใช่ถูกหรือผิดในสายตาคนทั่วไป แต่เป็นสายตาของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
อันที่จริงนี่ไม่ใช่แค่ประมุขรองกับพรรคฉางเซิง ทว่ามีอีกหลายขุมกำลังรวมถึงตระกูลชิวซานที่ต้องการให้เฉินฉางเซิงตายอย่างมาก แล้วจะทำไม
ราชันย์แห่งหลิงไห่กับอันหลินนอกห้องหน้าตาเคร่งเครียดมากขึ้น
เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเห็นด้วยกับมุมมองนี้ การพยายามฆ่าเฉินฉางเซิงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แม้ว่ามันค่อนข้างจะเป็นปัญหาที่รับมือยากอยู่บ้าง
แล้วเรื่องวางยาพิษประมุขใหญ่ตระกูลถังเล่า
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็ดูเหมือนจะไม่สนใจเช่นกัน
เหมือนกับที่เขาพูดกับเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้เมื่อชั่วยามที่ผ่านมา คนรุ่นอาวุโสที่ได้รับอิทธิพลจากจักรพรรดิไท่จงอย่างล้ำลึก ตราบใดที่ประมุขรองตระกูลถังไม่ได้นำพาตระกูลถังไปสู่หายนะและบางทีอาจถึงกับทำให้ก้าวหน้าขึ้นได้ เช่นนั้นอย่าว่าแต่พี่ใหญ่เลย ต่อให้เป็นพ่อตัวเองก็สามารถฆ่าได้
เฉินฉางเซิงถาม “ถ้าอย่างนั้นท่านอธิบายได้หรือไม่ว่าราชามารถสาปมารเปลี่ยนตัวกับฉูซูแล้วไปปรากฏตัวที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานได้อย่างไร แล้วความสัมพันธ์ของท่านกับเมืองเสวี่ยเหล่าเป็นอย่างไร
ห้องพลันเงียบลง พายุหิมะภายนอกดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม รบกวนจิตใจ
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “หลังจากวุ่นวายอยู่หนึ่งชั่วยาม เสี่ยวถังยังหาอะไรไม่ได้อีกหรือ”
ปฏิคมจวนเก่านำคำตอบกลับมา
เขามีสีหน้าไม่สบายอยู่บ้าง ราวกับประหลาดใจกับคำตอบจากหอบรรพชน
“คุณชายพูดตั้งแต่แรกแล้วว่าหากเขาต้องการพิสูจน์ว่าประมุขรอง…ร่วมมือกับเผ่ามารก็เป็นเรื่องง่ายมาก แค่ประโยคเดียวก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าประโยคไหนกันที่สามารถพิสูจน์ว่าบุตรชายข้าร่วมมือกับเผ่ามาร”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างเรียบเฉย
ปฏิคมเงยหน้าขึ้นมองประมุขผู้เฒ่า เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “คุณชายบอกว่าหลักฐานไม่จำเป็น แค่ความเห็นของคนผู้หนึ่งเท่านั้นที่จำเป็น หากประมุขผู้เฒ่ายินดีจะเชื่อว่าประมุขรองบริสุทธิ์ เช่นนั้นเขาก็บริสุทธิ์ แต่หากประมุขผู้เฒ่าไม่ยินยอมจะเชื่อในตัวประมุขรอง เช่นนั้นเขาก็ย่อมไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์”
ห้องเงียบยิ่งกว่าเดิม ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน
ไม่มีใครเข้าใจท่านปู่ดีไปกว่าถังซานสือลิ่วอีกแล้ว
ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน ไม่ต้องให้เขาหรือเฉินฉางเซิงลงมือทำอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
คนเดียวที่สามารถตัดสินใจได้ก็คือเขา ดังนั้นการกระทำอื่นใดจะมีความหมายอันใด
ประมุขรองตระกูลถังยิ้มเงียบๆ เพราะเขาเองก็เข้าใจบิดาตัวเองดีเช่นกัน
“แล้วทำไมเขาต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วย” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม
ปฏิคมกล่าวด้วยเสียงสั่น “คุณชายกล่าวว่าเขาไม่อาจทนสายตาของพวกผู้อาวุโสได้ และจะทำความสะอาดเรื่องสกปรกในบ้านต่างๆ ที่ควรทำความสะอาดสักที นอกจากนี้… เขาต้องการเผากระท่อมไม้ถงที่ประมุขรองรักที่สุดให้ปวดใจเล่น”
ประมุขรองตระกูลถังได้ยินเช่นนี้แล้วนึกถึงกระท่อมนั่นที่ตอนนี้กลายเป็นพื้นดินไหม้เกรียมไม่อาจฟื้นฟูได้ ก็ไม่อาจยิ้มต่อไปได้
“ข้าควรเชื่อเจ้าไหม” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถามบุตรชายตัวเอง
ประมุขรองตระกูลถังตอบอย่างสุขุม “แน่นอน”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองตาเขาแล้วถาม “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน”
ประมุขรองตระกูลถังยิ้มและตอบ “ข้าไม่เคยตกลงอะไรกับเมืองเสวี่ยเหล่า และไม่ได้พบกับใครทั้งนั้น ก็แค่ชุดดำพบข้าผ่านพรรคฉางเซิง ข้ารู้ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไร มันจึงเป็นความสะดวกสำหรับข้าที่จะช่วยผลักดันพวกเขา แน่นอนว่าข้าคิดแค่พวกเขาต้องการจะฆ่าเฉินฉางเซิง ข้าไม่รู้เลยว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาจะเป็นราชามาร”
ทุกคนในที่นี้ล้วนได้ยินว่าเขาไม่ได้โกหกหรือพยายามปกปิดอันใด
หากทุกอย่างที่เขากล่าวเป็นเรื่องจริง ความผิดที่ร่วมมือกับเผ่ามารยังจะทนรับได้อยู่หรือ
ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร สำหรับคนในห้องความผิดยังคงอยู่เพราะ…
เจ๋อซิ่วกล่าว “ความสะดวกถือว่าไม่ดี”
‘เจ้าทำให้เผ่ามารสะดวก ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก’
ห้องเงียบลงอีกครั้งหนึ่ง