ตอนที่ 2233 รอยประทับจิตวิญญาณ

อัจฉริยะสมองเพชร

ทันทีที่เรามีชื่อเสียงโด่งดังมากพอ ก็จะมีกระแสจิตปรารถนาไหลบ่ามาอย่างไม่หยุดหย่อน…สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ก็คือทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาล

เราคงเข้าไปในสระบาดาลของจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นไม่ได้ แต่การใช้สระบาดาลของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนน่าจะไม่มีปัญหา จางเซวียนคิดขณะลุกขึ้นยืน

เขาเองก็มีงานต้องทำเหมือนกัน

สิ่งแรกก็คือทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาล เพราะไม่อย่างนั้น ก็คงไม่อาจรวบรวมกระแสจิตปรารถนาได้ ต่อให้มีชื่อเสียงโด่งดังแล้วก็ตาม

จางเซวียนพอรู้จักสถานที่ต่างๆในเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอยู่บ้างจากการอ่านหนังสือที่สภาปรมาจารย์ จึงพอรู้เส้นทาง ซึ่งในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลา ก็น่าจะรีบทำให้เสร็จๆไป เผื่อวันหน้าเขาอาจหลงลืม

จางเซวียนจึงออกจากที่พักและมุ่งหน้าสู่สระบาดาล

…..

4 ชั่วโมงต่อมา ตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าก็ปรากฏตรงหน้า

“คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตำหนักบาดาล! คุณมีธุระอะไร?”

ทันทีที่จางเซวียนเดินไปถึงทางเข้า องครักษ์ 2 คนที่ประจำการก็ชูหอกขึ้นสกัดกั้นเขา

“ผมอยากเข้าสู่สระบาดาล” จางเซวียนตอบ

“คุณอยากเข้าสู่สระบาดาล? จองไว้หรือเปล่า? นัดหมายกับใครไว้ไหม?”

องครักษ์คนหนึ่งตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ผมไม่ได้นัดใครไว้ แต่อยากทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลเพื่อรวบรวมจิตปรารถนา” จางเซวียนตอบ

องครักษ์ออกจะงุนงงกับคำตอบของจางเซวียน “ไม่ใช่ทุกคนนะที่จะมีพลังของจิตปรารถนา และผู้ที่ไม่ได้ทำคุณงามความดีให้กับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับจิตปรารถนาเช่นกัน แต่ถ้าคุณอยากทำแบบนั้นจริงๆ สระบาดาลก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะยับยั้ง แต่ก็นั่นแหละ คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเงิน 10,000 เหรียญสวรรค์”

“10,000 เหรียญสวรรค์?” จางเซวียนพยักหน้า “ได้สิ”

ฉีหลิงเอ๋อมอบเงินที่ได้จากหัวหน้าตระกูลฉีให้เขาแล้ว สำหรับนักรบส่วนใหญ่ 10,000 เหรียญสวรรค์คือทรัพย์สินของทั้งครอบครัว แต่สำหรับจางเซวียน ถือเป็นจำนวนเงินที่หาได้ไม่ยาก

เขานำบัตรออกมาแล้วจ่ายค่าธรรมเนียม

หลังจากแน่ใจว่าได้รับเงินแล้ว องครักษ์ก็ปล่อยให้จางเซวียนเข้าสู่ตำหนักบาดาล

สระบาดาลตั้งอยู่ลึกเข้าไป มันไม่เหมือนกับทะเลสาบจันทร์กระจ่าง พลังงานที่อยู่ในนั้นอบอุ่นและมีอานุภาพปลอบประโลม ดูเหมือนมันสั่งสมพลังงานที่สามารถบ่มเพาะใครก็ตามที่ลงไปอยู่ในสระ

จางเซวียนรับรู้ถึงพลังงานนั้นได้อย่างเลือนราง แต่ไม่อาจเข้าถึงได้ เหมือนภูตผีที่ทำได้แค่มองเห็นมัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“นี่คือสระบาดาล สำหรับการทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระ ก็ต้องหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนแผ่นหินที่อยู่ตรงนั้น” องครักษ์ชี้นิ้วไป

จางเซวียนมองตาม เห็นแผ่นหินขนาดเล็กตั้งอยู่บริเวณด้านข้างสระบาดาล มีอักษรจารึกประหลาดอยู่บนนั้น ดูคล้ายกับสิ่งที่ใช้ในพิธีกรรม

มองแวบแรก แผ่นหินนี้ดูคล้ายกับแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่ก็ต่างกันหลายข้อ

เขาจำได้ว่าเคยถามใครสักคนว่ากลุ่มอำนาจไหนในสรวงสวรรค์ที่เชี่ยวชาญการใช้แท่นบูชา ซึ่งคำตอบที่ได้รับในครั้งนั้นก็คือผู้เชี่ยวชาญของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน จางเซวียนจึงสงสัยว่าน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนอาจมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่อักษรจารึกบนแผ่นหินดูจะปฏิเสธความเป็นไปได้ข้อนั้น

เห็นได้ชัดว่าอักษรจารึกบนแผ่นหินต่างกันมากกับอักษรจารึกที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นและตำหนักคว้าดาวใช้ ทั้งในแง่ของโครงสร้างและรายละเอียด

ดูเหมือนเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคงไม่เกี่ยวข้องกับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน

ขณะที่จางเซวียนกำลังจะเดินไปที่แผ่นหินเพื่อหยดเลือดของเขาลงไปบนนั้น สระบาดาลก็เดือดพล่าน ภาพลวงตาชุดหนึ่งโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ

มีผู้คนหลากหลายประเภทที่อยู่ในสภาพของภาพลวงตา พวกเขามีความสูงราว 1 จ้าง (3.33 เมตร) และมีบางส่วนที่สูงเพียงแค่นิ้วหัวแม่มือ รวมแล้วมากกว่าพันคน

เพราะผืนน้ำเบื้องล่างเกิดการเดือดพล่าน พวกเขาจึงเคลื่อนไหว

กระแสพลังงานที่จางเซวียนเคยรู้สึกก่อนหน้านี้แตกฉานซ่านเซ็นไปเพราะภาพลวงตาที่ปรากฏ

ราวกับมีแสงอาทิตย์สาดส่องพวกเขา ภาพลวงตาที่มีขนาดใหญ่กว่าดูจะเด่นชัดจนแทบจับต้องได้ ขณะที่ภาพลวงตาที่เล็กกว่าสั่นพร่าราวกับแสงเทียน ดูพร้อมจะแหลกสลายได้ทุกขณะ

ฟึ่บ!

ภาพลวงตาที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสลายตัวและหายวับไป

“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนสงสัย

“ภาพลวงตาที่มีขนาดใหญ่กว่าคือผู้ที่ยังมีผู้คนจำนวนมากมายระลึกถึง เขาจึงได้รับกระแสจิตปรารถนาในปริมาณมาก ส่วนภาพลวงตาที่มีขนาดเล็กกว่าคือผู้ที่มีแต่สมาชิกในครอบครัวและมิตรสหายเท่านั้นที่ยังระลึกถึงเขา ซึ่งเมื่อเวลาล่วงเลยไป ญาติมิตรของเขาเริ่มล้มหายตายจาก ก็ไม่เหลือใครอีกแล้วที่ยังจดจำพวกเขาได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะสูญเสียพลังงานและสลายตัวไป”

องครักษ์ชำเลืองมองจางเซวียนและส่ายหน้า “ในแต่ละปี จะมีคนกลุ่มหนึ่งยอมจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อทิ้งรอยประทับจิตวิญญาณของพวกเขาไว้ หวังว่าจะมีโอกาสได้ฟื้นคืนชีพจากความตาย แต่ความรุ่งโรจน์ของชีวิตจะคงอยู่ก็ต่อเมื่อคุณยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพียงแค่มีชีวิตก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว ผู้คนจะมีเวลามากมายแค่ไหนกันที่จะเก็บคุณไว้ในหัวใจของพวกเขาในเมื่อคุณไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้ว? บ่อยครั้งที่จิตปรารถนาที่พวกเขาได้รับจะมาจากญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น”

“ผู้คนส่วนใหญ่ที่ทิ้งรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ที่นี่ล้วนแต่เสียเงินเปล่า มีจำนวนน้อยเต็มทีที่ได้รับกระแสจิตปรารถนามากพอสำหรับการฟื้นคืนชีพ แต่ผมคิดว่ามีความหวังไว้ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะถึงอย่างไรความตายก็น่ากลัว”

จางเซวียนพอเข้าใจคำพูดนั้น

สำหรับมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นความสำนึกบุญคุณ ความรัก หรือความเกลียดชัง ก็ล้วนเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงได้ พวกมันคือสิ่งที่เราเคยบอกตัวเองว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเหล่านั้น แต่เวลามีอานุภาพลึกลับในการสร้างความชาชิน จนสุดท้ายเราก็หลงลืมมันไป

สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนนึกถึงเว็บไซต์ของนักเขียนนิยายในชีวิตเก่าของเขา หากคนพวกนั้นหยุดการอัพเดทไปเพียงไม่กี่วัน ผู้อ่านก็พร้อมจะลืมเลือน

ทันทีที่ใครคนหนึ่งถูกคนส่วนใหญ่หลงลืม จิตปรารถนาที่เคยได้รับก็จะลดน้อยถอยลงเสียจนแม้แต่จะรักษาสภาพเดิมไว้ก็ทำได้ยาก นับประสาอะไรกับการฟื้นคืนชีพ

อย่างที่องครักษ์พูด ความหวังว่าจะได้ฟื้นคืนชีพช่วยปลอบประโลมจิตใจของผู้คนไม่ให้หวาดกลัวความตาย แต่ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสรวงสวรรค์ มีผู้คนเพียงไม่ถึงหยิบมือที่ทำแบบนั้นได้สำเร็จ

“ภาพลวงตาที่มีร่างสูงที่สุดตรงนั้นคือใคร? ดูเหมือนเขาใกล้จะฟื้นคืนชีพแล้ว” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้

เท่าที่องครักษ์พูดมา ดูเหมือนขนาดของภาพลวงตาที่ปรากฏจะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงปริมาณจิตปรารถนาที่พวกเขาสะสมไว้ ผู้ที่ขยายขนาดร่างของตัวเองได้จนถึงระดับหนึ่งก็น่าจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพ

เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างที่มีความสูงราว 1 จ้างนั้นทำอย่างไรถึงเป็นที่รักใคร่ของผู้คนมากมายรอบตัว

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาเป็นใคร เขาปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่ 40 ปีก่อน เราเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ชัด และไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเขาด้วย จึงไม่แน่ใจว่าเขาคือใคร” องครักษ์ตอบ

“คนไร้ชื่อเสียงก็ได้รับกระแสจิตปรารถนาจากสระบาดาลได้หรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ

“โดยทั่วไป ปริมาณจิตปรารถนาที่ได้รับขึ้นอยู่กับว่าผู้คนจดจำเขาได้มากแค่ไหน ขอแค่มีคนจํานวนหนึ่งจารึกชื่อของเขาไว้ในหัวใจ ผู้นั้นก็จะได้รับกระแสจิตปรารถนาอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นหรอกว่าทุกคนจะต้องจดจำเขาได้ มีราชันย์เทพเจ้าจำนวนหนึ่งที่ฝากจิตวิญญาณของพวกเขาไว้ในสระบาดาลมาแล้วกว่าพันปี จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนส่วนใหญ่หลงลืมพวกเขาไปหมดแล้ว”

จางเซวียนพยักหน้าและเดินตรงไปที่แผ่นหิน เขากัดนิ้วโป้งแล้วหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป

ครืนนนน!

ทันทีที่เลือดหยดนั้นสัมผัสแผ่นหิน คลื่นพลังงานสั่นสะเทือนก็แผ่ซ่านไปทั่ว จากนั้น จางเซวียนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของเขา

พร้อมกันนั้น ภาพลวงตาขนาดเล็กประมาณนิ้วหัวแม่มือก็โผล่ขึ้นมาในสระบาดาล

“นั่นคือรอยประทับจิตวิญญาณของผมหรือ?” จางเซวียนพูดไม่ออกกับความเล็กจ้อยของมัน

องครักษ์มองตาม “ก็ไม่เลวนะ เพราะคุณเพิ่งสร้างมันขึ้นมา…”

สำหรับการทิ้งรอยประทับจิตวิญญาณไว้เป็นครั้งแรก ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจสร้างภาพลวงตาขึ้นเป็นรูปเป็นร่างได้ด้วยซ้ำ การที่ชายหนุ่มทำได้ก็บ่งบอกชัดว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งระลึกถึงเขาอยู่เสมอ

“ภาพลวงตาที่เพิ่งเกิดครั้งแรกมีขนาดต่างๆกันด้วยหรือ?”จางเซวียนถาม

“นักรบส่วนใหญ่มีภาพลวงตาที่เล็กกว่านี้ ภาพลวงตาของบางคนเล็กจิ๋วจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าด้วยซ้ำ” องครักษ์ตอบ “ตลอด 20 ปีที่ผมทำงานที่นี่ ภาพลวงตาขนาดใหญ่ที่สุดที่ผมได้เห็นก็คือภาพลวงตาของราชันย์เทพเจ้าไป๋อี้ เขาถูกสังหารระหว่างการไหลบ่าของพลังจิตวิญญาณ บริวารของเขาจึงฝากรอยประทับของจิตวิญญาณไว้ในสระบาดาลแห่งนี้ ในครั้งนั้น เกิดภาพลวงตาที่มีขนาดราวฝ่ามือ ผู้คนต่างตกอกตกใจกันใหญ่!”

“ราชันย์เทพเจ้าไป๋อี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจนผู้คนรู้จักกันทั่วน่ะหรือ?” จางเซวียนถาม

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ที่จริงเป็นเพราะเขามีบริวารที่ทรงพลังอยู่กลุ่มหนึ่ง คนพวกนั้นมีส่วนทำให้กระแสจิตปรารถนาไหลมาอย่างต่อเนื่อง” องครักษ์ตอบ

“อ้อ แล้วจิตปรารถนาเกี่ยวข้องกับระดับความแข็งแกร่งของผู้คนที่ระลึกถึงเขาหรือเปล่า?”

“เกี่ยวแน่! ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็มีอิทธิพลต่อโลกมากขึ้นเท่านั้น อีกอย่าง อายุขัยที่ยาวนานกว่าก็หมายความว่าพวกเขาสามารถปลดปล่อยจิตปรารถนาได้ตลอดระยะเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยทั่วไป ปริมาณจิตปรารถนาที่เทพเจ้าสวรรค์สร้างปลดปล่อยออกมาจะมีมากกว่าเทพเจ้าราว 100 เท่าส่วนจิตปรารถนาของราชันย์เทพเจ้าก็มีมากกว่าเทพเจ้าสวรรค์สร้างราว 100 เท่าเช่นกัน เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ” องครักษ์อธิบาย

จางเซวียนพยักหน้า

ถ้าจิตปรารถนาคือพลังงานจากธรรมชาติที่นักรบคนหนึ่งปลดปล่อยออกมา ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมระดับพละกำลังของนักรบถึงเกี่ยวข้องกับปริมาณของมัน

เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะผูกพันกับผู้ที่มีความคล้ายกับพวกเขา การที่นักรบที่มีวรยุทธสูงกว่ามีโอกาสฟื้นคืนชีพมากกว่าไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ที่สำคัญกว่าก็เพราะวงศ์วานว่านเครือและมิตรสหายของเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลัง ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงมีโอกาสฟื้นคืนชีพมากกว่า