ตอนที่ 854 เรื่องราวทั้งหมด

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ไม่เพียงมีแต่โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นเท่านั้นที่พัฒนา แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังได้รับประโยชน์จากที่แห่งนี้ กำลังวิชาของเขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เขากลายเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ที่มีพลังสับเปลี่ยนแล้ว

แต่เมื่อสามวันก่อน ทิศทางลมบนทะเลเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำให้ปราณวิเศษเหล่านั้นหายหมดในเวลาเพียงไม่กี่นาที ถ้าปราณวิเศษคงอยู่อีกสักครึ่งปีหรือหนึ่งปี ไม่แน่ โจวเซี่ยวเทียนอาจพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนก็เป็นได้

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่มีปราณวิเศษเลยล่ะ? ”

หลังจากที่ฟังศิษย์พี่ใหญ่เล่าจบ เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว มหาสมุทรเป็นสถานที่ๆ ได้รับมลพิษน้อยที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นสถานที่ๆ มีปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์มาก แม้แต่ตอนนี้ที่เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขาก็สัมผัสไม่ได้แล้วเลยว่าที่นี่มีปราณวิเศษ

“ศิษย์น้องเล็ก อย่าว่าแต่ที่นี่เลย มหาสมุทรอินเดียทั้งผืนน้ำ ก็ไม่มีปราณวิเศษแล้ว…”

โก่วซินเจียยิ้มอย่างขมขื่นกับสิ่งที่ได้ยิน ระดับพลังของเขากับจั่วเจียจวิ้นเพิ่งจะเปลี่ยน พวกเขาจะต้องใช้ปราณวิเศษจำนวนมากเพื่อให้พลังวิชามั่นคง ดังนั้นหลังจากที่ปราณวิเศษในน่านน้ำหายไป เขาลงทุนนั่งเครื่องบินลอยน้ำออกหาสถานที่ๆ ที่มีปราณวิเศษมากพอ

แต่สิ่งที่ทำให้โก่วซินเจียตกตะลึงก็คือ พวกเขาบินอยู่บนน่านน้ำพันกว่ากิโลในวันเดียว กลับพบว่าตลอดทาง ไม่มีตรงไหนมีปราณวิเศษเลย น่านน้ำที่เคยมีชีวิตชีวา มันเงียบสงบเหมือนน่านน้ำแห่งความตาย บางทีก็มีซากศพของปลาวาฬลอยอยู่บนผิวน้ำ

เดิมทีอยากจะค้นหาต่อไป แต่พอได้ข่าวว่าหาเยี่ยเทียนเจอแล้ว ทุกคนก็รีบกลับไป พวกเขาสันนิษฐานว่าปราณวิเศษในมหาสมุทรน่าจะหายไปหมดแล้ว

“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน? ” เยี่ยเทียนปิดตาลงและนึกถึงเรื่องที่เขตแดนผสานกัน จากนั้นก็โพร่งออกมาว่า

“ผมเข้าใจแล้ว! ”

“ศิษย์น้องเล็ก เธอเข้าใจอะไร? เธอรู้ว่าปราณวิเศษหายไปได้ยังไงเหรอ? ”

โก่วซินเจียงงกับคำพูดครึ่งๆกลางๆของเยี่ยเทียน

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมจะเล่าให้ฟังว่าช่วงที่ผมหายไปมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง! ”

เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่นและเล่าเรื่องตอนที่เครื่องบินระเบิดแล้วบินอยู่แถวเขตฟ้าผ่า จนถึงเรื่องที่ฟ้าผ่าจนท้องฟ้ามีรอยแยกกลางอากาศอย่างละเอียดยิบ ที่เล่าเพราะคนตรงหน้าเหล่านี้เป็นคนที่เขาไว้ใจได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญพวกเขาทุกคนมีพลังวิชา เยี่ยเทียนจึงเชื่อว่าพวกเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเล่า

“อะไรนะ จางซันเฟิง? สิงห์ขนทอง? สวรรค์ นี่เธอไปถึงที่ไหนเนี่ย? เป็นโลกที่ถูกบรรยายไว้ในคัมภีร์ ซานไห่จิง อย่างนั้นเหรอ? ”

ถึงแม้ว่าสิ่งที่สามคนนี้รับมือไหวมัน มากกว่าคนธรรมดาเยอะ แต่หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนเล่าเสร็จ พวกเขาอึ้งจนพูดไม่ออก และไม่ว่าพวกเขาจะมีจินตนาการสูงแค่ไหน ก็คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะหลงเข้าไปในโลกแห่งตำนานได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโก่วซินเจียที่มีความรู้รอบด้าน เขาคุ้นเคยกับสัตว์โบราณที่เยี่ยเทียนพูดถึงเป็นอย่างดี แล้วสัตว์โบราณแต่ละตัวก็ผุดขึ้นในความคิดทีละตัวตามคำบอกเล่าของเยี่ยเทียน

“เยี่ยเทียน บนโลกนี้มีคนที่ฝึกพลังจนบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคจริงเหรอ? ”

สิ่งที่จั่วเจียจวิ้นสนใจคือการแบ่งระดับพลังวิชา ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เขาสามารถลอยตัวโดยใช้ปราณแท้ แล้วการที่เขามีพลังแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าพลังวิชาของตัวเองถึงจุดสูงสุดแล้ว ส่วนการบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานแต่ไม่มีมูลก็เท่านั้น

แต่คำบอกเล่าของเยี่ยเทียนทำให้ความคิดของเขาต้องเปลี่ยนอีกครั้ง เขาใช้เวลาฝึกพลังทั้งขีวิต แต่ยังสู้สัตว์โบราณในเกาะเซียน “เผิงไหล” ไม่ได้ มันเลยทำให้อาจารย์จั่วรู้สึกรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่

“ใช่ อย่าว่าแต่ท่านนักพรตจาง ปีศาจสามตัวที่ผมเห็น ล้วนแต่มีวิชาสูงพอกับยอดฝีมือระดับจินตัน แล้วถ้าพวกมันหลุดเข้าโลกมนุษย์ คงไม่มีใครสามารถควบคุมได้! ”

เยี่ยเทียนพยักหน้า แม้ในใจจะรู้สึกชื่นชมปีศาจอีกสองตัวที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันกับสิงห์ขนทอง แต่อีกใจก็รู้สึกโชคดี เพราะถ้าเจ้าสามตัวนั่นมาถึงโลกมนุษย์จริง ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“พระเจ้า เป็นความจริงเหรอเนี่ย สิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ มันมีอยู่จริงๆ! ”

เขารู้ว่าศิษย์น้องเล็กไม่ใช่คนโกหก ไม่อย่างนั้นโก่วซินเจียคงคิดแล้วว่าเยี่ยเทียนกำลังแต่งเรื่องอยู่ เพราะไม่ว่าจะเป็นภูติผีปีศาจหรือสัตว์โบราณ ล้วนแต่ปรากฏอยู่ในนิทานตำนานโบราณ แล้วเกาะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิเศษนั่นอีก ยิ่งทำให้โก่วซินเจียตื่นเต้นมาก

โก่วซินเจียไม่มีญาตสนิทที่ไหน นอกจากเยี่ยเทียนกับศิษย์ในสำนัก เพราะฉะนั้นถ้าเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นจริง มันเหมือนได้อยู่สวรรค์ ด้วยใจที่ศรัทธาในเต๋า ไม่เคยรู้สึกเดียวดายอยู่แล้ว

แต่พอรู้ว่าบาดแผลทั้งตัวของเยี่ยเทียนเกิดจากการหนีออกจาก “เกาะเซียน” นั่น ความคิดที่จะค้นหาเกาะเซียนของเขาก็หายไปทันที

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิขุนนางหรือนักพรตเต๋า ล้วนแต่อยากไปเกาะเซียน แต่นอกจากเยี่ยเทียนผู้มีโชคชะตา ก็ไม่เคยมีใครไปถึงเกาะเซียนได้สำเร็จเลยสักคน แล้วหลังจากที่เขตแดนนั่นปิดลง เกาะเซียน”เผิงไหล”กับโลกมนุษย์ ก็แยกจากกันโดยสิ้นเชิง

“หรือว่าปราณวิเศษในมหาสมุทรถูกเกาะนั่นดูดไปหมด? ” เมื่อความคิดอยากเข้าเกาะตัดออกไป เขาคิดถึงเรื่องปัจจุบันทันที พลังปราณชีวิตดั้งเดิมที่เคยเกาะตัวแน่นอยู่ในมหาสมุทรแล้วหายไป จะต้องเกี่ยวข้องกับค่ายกลในเกาะนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ก็น่าจะใช่ครับ ผมว่าไม่ใช่แค่พลังชี่ดั้งเดิมที่มีความเกี่ยวข้องกับค่ายกลนั่น แม้แต่ปราณวิเศษเจือจางที่อยู่บนโลกก็น่าจะเกี่ยวด้วย! ”

เยี่ยเทียนมีความสงสัยตั้งแต่ได้ข่าวว่าศิษย์พี่ทั้งสองถึงระดับเซียนเทียน ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้วว่า การทำงานของค่ายกลกับการป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้าออกเขตแดน น่าจะเป็นเพราะได้รับพลังจากโลก

ซึ่งมีเพียงเยี่ยเทียนที่รู้ว่าเกาะมีขนาดใหญ่แค่ไหน ถ้าจะบอกว่ามีพื้นที่พอกับประเทศจีนก็คงไม่มากเกินไป แล้วที่ฟ้าดินผิดปกติ ปราณวิเศษไม่เพียงพอในวันนี้ คงต้องใช้พลังปราณชีวิตฟ้าดินของทั้งโลก ถึงจะเพียงพอให้กับค่ายกลและเขตแดนนั้นคงอยู่ต่อไปได้

สิ่งที่เยี่ยเทียนเดาเอาไว้ไม่มีผิด ก่อนที่ฟ้าดินจะเปลี่ยนไป บนโลกมีปราณวิเศษมากมาย มากพอที่จะส่งเข้าไปในค่ายกลเพื่อให้ค่ายกลทำงานได้ แต่เพราะเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่เข้าสู่ยุคธรรม ปราณวิเศษจึงน้อยลงทุกวัน

“ศิษย์พี่ แล้วลูกศิษย์ที่ผมเพิ่งรับละ? ”

หลังจากเล่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอตลอดทั้งปีเสร็จ เยี่ยเทียนเพิ่งจะนึกถึงบางอย่าง พูดคุยกันเกือบครึ่งค่อนวัน ไม่เห็นแม้แต่เงาของเหลยหู่ ถึงแม้ว่าไอ้หนุ่มนี้เป็นคนเหลาะแหละไร้ความยุติธรรม แต่ความกตัญญูไม่เคยขาดตกบกพร่อง หรือทิ้งตนเสร็จหนีไปแล้ว?

“ศิษย์ใหม่? ”

โจวเสี่ยวเทียนอึ้งไปครู่นึง เอ่ยปากถามว่า

“อาจารย์หมายถึงศิษย์น้องหญิงเจียงซานเหรอ? น้องมีพรสวรรค์ด้านการทำนายมากครับ เพราะศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนสอนเองกับมือ แต่เมื่อสองเดือนก่อน พวกเราส่งแกไปเรียนมหาลัยแล้วครับ เพราะแกอายุยังน้อย! ”

ความสามารถด้านการพยากรณ์เรื่องโชคและการทำนายกว้าของเจียงซาน ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก มีปัญหามากมายที่อธิบายแค่ครั้งเดียว เธอก็จำได้ขึ้นใจ แล้วความแม่นยำเกี่ยวกับกว้า ถ้าจะนำไปเทียบกับจั่วเจียจวิ้นก็คงไม่มากเกินไป ทุกคนชอบเธอมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนที่เยี่ยเทียนเลือกไว้แล้ว โก่วซินเจียคงจะรับเธอมาเป็นลูกศิษย์เอง

“เจียงซาน? เด็กนี่ก็ไม่เลวเลยนะ! ”

เมื่อได้ยินโจวเซี่ยวเทียนพูดถึงพรสวรรค์วิชาทำนายของเจียงเซาน เยี่ยเทียนรู้สึกดีใจเป็นพิเศษ พูดคุยกันไปไม่นาน หัวข้อสนทนากลับมาที่เหลยหู่อีกครั้ง

“เซี่ยวเทียน คนที่ฉันหมายถึงไม่ใช่เจียงซาน แต่เป็นศิษย์น้องของนาย เหลยหู่ ลูกชายของเหลยเจิ้นเทียนแห่งสมาคมหงเหมิน!”

“ลูกชายของเหลยเจิ้นเทียน? ”

โจวเซี่ยวเทียนปากค้าง และถามออกไปอย่างไม่เชื่อหูว่า

“อาจารย์ ก็อาจารย์บอกเองว่าเจ้านั่นมันเป็นคนน้ำเต็มท้องแล้วไม่ใช่เหรอครับ? แล้ว…แล้วทำไมอาจารย์ถึงรับเป็นลูกศิษย์ละครับ? ”

ตอนที่เยี่ยเทียนเข้าพิธีรับศิษย์ที่ซานฟรานซิสโก โจวเซี่ยวเทียน โก่วซินเจียและคนอื่นรู้ดีว่า เหลยหู่กับซ่งเสี่ยวหลงเคยรวมหัวกันทำร้ายซ่งเวยหลัน พอได้ยินว่าเยี่ยเทียนรับเหลยหู่เป็นศิษย์ ไม่ได้มีแค่โจวเซี่ยวเทียนที่ไม่เชื่อ แม้แต่โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น ก็มองเยี่ยเทียนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเช่นกัน

เยี่ยเทียนโบกมือและอธิบายว่า

“นิสัยที่แท้จริงของเหลยหู่ไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด อย่างน้อยเขาก็เป็นคนกตัญญู เอาเถอะ แล้วพวกท่านหาผมเจอได้ยังไง? ”

“ตอนที่พวกเราพบเธอ เธออยู่บนเรือชาวประมงลำหนึ่ง พวกเราได้ข่าวว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งส่งเธอขึ้นเรือเสร็จ เขาก็จากไปเลย อย่าบอกนะว่าคือเหลยหู่? ”

หนึ่งปีที่ผ่านมา โก่วซินเจียและคนอื่นฝึกพลังวิชาที่นี่ตลอดหนึ่งปี และไม่เคยลดความพยายามในการค้นหาเยี่ยเทียนเลยสักวัน เรือที่เทียบมหาสมุทรเกือบทุกลำ มีรูปของเยี่ยเทียนแปะเอาไว้

ดังนั้นตอนที่เรือประมงลำนั้นเห็นเยี่ยเทียน เขาติดต่อโก่วซินเจียและคนอื่นผ่านโทรศัพท์ไร้สายทันที ชาวประมงโชคดีมาก เพราะเงินรางวัลจากถังเหวินหย่วนก็มากพอกับรายได้รวมสิบปีของพวกเขา ถือว่าได้รับโชคครั้งใหญ่เลยทีเดียว

ครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก็สายหัว จั่วเจียจวิ้นพูดต่อว่า

“เหลยหู่ใกล้จะสี่สิบแล้ว จะเป็นคนหนุ่มได้ไงกัน น้องเล็ก ฉันว่าเรื่องนี้แปลก”

“แปลกยังไงเหรอครับ? ”

เยี่ยเทียนขำ

“ศิษย์พี่ทั้งสอง ลองส่องกระจกดูก่อนสิครับ ถ้าจะบอกว่าพี่ทั้งสองอายุเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ใครจะเชื่อ? เหลยหู่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนตั้งแต่ครึ่งปีก่อน แล้วพลังวิชาของเขาต่างจากศิษย์พี่ไม่เท่าไหร่ มันจะดูหนุ่มหน่อยก็เป็นเรื่องปกตินะครับ! ”

จากระดับโฮ่วเทียนเข้าสู่ระดับเซียนเทียน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะบอกว่าเหมือนเกิดใหม่ก็คงไม่เกินไป เพราะตอนนี้โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นเองก็เหมือนคนวัยกลางคนที่อายุราวสี่สิบปี แทบจะมองไม่ออกถึงความแก่เลยด้วยซ้ำ

…………………………………….