บทที่ 1710 เปลี่ยนแปลงกระทันหัน! (1)

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่งฝั่งตะวันออกของสวนกลางเขียวขจี เฟยหงกำลังเดินลาดตระเวนอยู่กับแม่เฒ่าลวี่ เทพธิดากลุ่มหนึ่งกำลังนำดอกไม้ใบหญ้าแปลกตานานาชนิดที่ขุดขึ้นมาย้ายไปปลูกในกระถางดอกไม้ด้วยความระมัดระวัง นี่เป็นการบำรุงรักษาเพื่อส่งไปวางประดับในวังสวรรค์ กิ่งใบที่ไม่งดงามก็ต้องทำการตัดแต่ง

“เสี่ยวหนาน ในเซียนชิดจันทร์กระถางนี้ไม่ต้องใส่ปัญจธาตุเยอะเกินไป ดินก็อย่าใส่เยอะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้กลิ่นดอกไม้เข้มข้นเกินไป จะทำให้ชนชั้นสูงในวังไม่โปรดปราน” แม่เฒ่าลวี่พลันหยุดฝีเท้า แล้วถอนหายใจใส่เทพธิดาคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆ กลบดินอยู่ในแปลงดอกไม้ แล้วก็กวักมือไปตรงที่ไกลๆ อีก เรียกเทพธิดาอีกคนมากำชับ “นางเพิ่งมาไม่นาน ยังไม่ค่อยเข้าใจงาน เจ้าสอนนางสักหน่อย”

“ค่ะ” เทพธิดาที่เดินเข้ามาเอ่ยรับ ส่วนเทพธิดาที่ชื่อเสี่ยวหนานก็แอบแลบลิ้นเงียบๆ

แม่เฒ่าลวี่ไม่ได้เห็นฉากทะเล้นฉากนี้ เฟยหงที่อยู่ข้างกันกลับสังเกตเห็น อดไม่ได้ที่จะลอบหัวเราะ แล้วเดินตามแม่เฒ่าลวี่ไปข้างหน้าต่อ

ทว่าเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร จู่ๆ แม่เฒ่าลวี่ก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน เอาเป็นว่าสีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก หันขวับไปมองทางเฟยหง ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ “พวกเจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นเหมือนลมผ่านหูใช่มั้ย?”

“ท่านแม่บุญธรรม เป็นอะไรไปคะ?” เฟยหงทำท่าประหลาดใจ

แม่เฒ่าลวี่กัดฟัน “เจ้ากำลังแกล้งโง่กับข้าเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อถ่อไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วที่พระตำหนักอุทยานโดยพลการ!”

“หา!” เฟยหงทำสีหน้าตกใจมาก “เอ่อ…จะเป็นไปได้ยังไง เขาจะเข้าไปได้ยังไงคะ?”

พอพูดถึงตรงนี้แม่เฒ่าลวี่ก็กลุ้มใจเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อรู้รายละเอียดได้อย่างไรว่างานเลี้ยงเริ่มตอนไหน? ขนาดนางยังไม่รู้เลย ถ้าไปเร็วกว่านี้ ทหารยามที่อยู่แถวนั้นคงจะไม่ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าไปเดินเล่นสถานที่นั้นง่ายๆ หรอกมั้ง? นางเองก็คิดว่าเฟยหงไม่พูดโกหก เพราะนางรู้ว่าเฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย เอาเป็นว่านางไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องราวในนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ จึงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไม่รู้จริงเหรอ?”

เฟยหงเอาแต่ส่ายหน้า “ท่านแม่บุญธรรม ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะไปพระตำหนักอุทยาน…ข้าจะไปหาเขา” นางหันตัวเตรียมจะออกไป แต่กลับถูกแม่เฒ่าลวี่ดึงแขนไว้ เฟยหงหันกลับมามอง “ท่านแม่บุญธรรม…”

“ที่เขาไปพระตำหนักอุทยานจะต้องมีเหตุผลแน่นอน ทางหน่วยตรวจการซ้ายรู้แล้ว เจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งแล้ว มิหนำซ้ำเขาก็เข้าไปแล้วด้วย พระตำหนักอุทยานมีทหารยามเฝ้าเข้มงวด อาศัยฐานะของเจ้า คงบุกเข้าไปง่ายๆ อย่างเขาไม่ได้หรอก เขาคำนวณเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว” ขณะที่พูด แม่เฒ่าลวี่ก็ปล่อยแขนนางแล้ว จากนั้นส่ายหน้าแล้วหันตัวเดินออกไป พร้อมกับพึมพำตลอดทาง “เฮ้อ! ช่างกล้าหาญจริงๆ รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเขาไม่ต้อนรับก็ยังจะถ่อไป ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาไม่กลัวหัวหลุดหรือไง? คิดจะทำอะไรกันแน่! จากที่ข้าเห็น นายท่านบ้านเจ้าไม่เหมือนคนที่จะสร้างความอัปยศให้ตัวเองนะ พอมาดูแบบนี้แล้ว เหมือนเขาจะเตรียมตัวมาก่อน ไม่แน่เจ้าอาจจะโดนเขาหลอกใช้แล้วก็ได้ เฮ้อ เป็นคนมีฝีมือมากความสามารถ ก็เลยไม่ยอมอยู่ในกรอบอย่างสงบ จะมาตบตายายแก่อย่างข้าทำไม ยายแก่อย่างข้าไม่มีความกล้า ไม่มีสมองเหมือนพวกตัวละครที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินพวกนั้นหรอก หวังเพียงความสงบสุขเท่านั้น นางหนูเอ๊ย ในปีนั้นยายเคยเห็นคนมีฝีมือหัวขาดเลือดกระฉูดมาเยอะเกินไป เพื่อชื่อเสียง เพื่อผลประโยชน์ เพื่อประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าย่อมสละทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นฉากนองเลือดที่น่าอนาถ มีคนโดนฆ่าจนหัวหัวลอยกลิ้งเต็มท้องฟ้า ศพลอยเอื่อยเฉื่อย…”

นางเดินพึมพำไม่หยุดตลอดทาง เฟยหงฟังอยู่ข้างหลังเงียบๆ ไม่รู้เป็นสถานการณ์น่าอนาถในปีไหน

พระตำหนักอุทยาน

เมื่อเห็นแขกทยอยกันนั่งลง เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่พาเหมียวอี้มากลับไม่รู้ว่าควรจะจับไปแทรกตรงไหนดี เรียกได้ว่าปวดประสาทมาก

เหมียวอี้เองก็ตระหนักได้ถึงความอึดอัดของเจ้าภาพ กวาดสายตามองไปรอบๆ

ตระกูลโค่วนั่งแถวแรกใต้บันไดหน้าตำหนัก โค่วฉินสังเกตได้ว่าเหมียวอี้ค่อนข้างอึดอัดเก้อเขิน จึงบอกโค่วเหมี่ยนทันทีว่า “เจ้าสาม เจ้าไปเรียกหนิวโหย่วเต๋อมานั่งด้วยแล้วกัน”

โค่วเหมี่ยนอดไม่ได้ที่จะงง ท่านพ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามคบหากับหนิวโหย่วเต๋อ?

ไม่ใช่แค่เขา คนอื่นในตระกูลโค่วที่ได้ยินอย่างนั้นก็มองไปที่โค่วฉินอย่างแปลกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ยังเห็นโค่วฉินพูดจาไร้มารยาทต่อหนิวโหย่วเต๋ออยู่เลย

โค่วฉินสีหน้าขรึมลงทันที “ให้เจ้าไปเจ้าก็ไปสิ อย่าให้เกิดเสียงหัวเราะ” เขาเองก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่จนใจที่พี่ใหญ่โค่วเจิงสั่งเขาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าตำหนัก

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจทันที ถึงอย่างไรก็ยังมีความสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อในนาม ในโอกาสและสถานที่อย่างนี้ถ้าปล่อยใหนิวโหย่วเต๋อไม่มีแม้แต่ที่นั่ง หนิวโหย่วเต๋อปล่อยไก่นั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่การที่ตระกูลโค่วใจแคบต่างหากที่น่าหัวเราะเยาะ

โค่วเหมี่ยนพยักหน้า แล้วลุกขึ้นตามไปทันที

เดิมเหมียวอี้เล็งที่นั่งไว้แล้ว เตรียมจะเข้าไปแทรกโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะไม่ต้อนรับ กลัวก็แต่คนอื่นจะต้อนรับ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ โค่วเหมี่ยนจะทำอย่างนี้ ทำเอาเขาไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงรับน้ำใจแล้วตามโค่วเหมี่ยนไปนั่งประจำที่

เซี่ยโห้วหู่เฉิงกำลังครุ่นคิดว่าจะช่วยคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่กำลังง่วนอยู่กับการหาโต๊ะให้เหมียวอี้นั่ง เนื่องจากตระกูลเซี่ยโห้วก็มีมาดของตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน นอกเสียจากว่าจะไม่ให้แขกเข้าประตูมา ในเมื่อแขกเข้าประตูมาแล้ว ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงต่ำก็ต้องรับรองแขกให้ดี ไม่มีหลักการไหนที่จะปล่อยให้แขกเก้อเขินหาทางลงไม่ได้ นี่ก็คือความสามารถและบุคลิกที่ตระกูลใหญ่ควรจะมี! ผลปรากฏว่าช่วยลดความยุ่งยากให้คนของตระกูลโค่วแล้ว มีคนของตระกูลโค่วคอยดูให้ ถ้าเห็นแก่หน้าตระกูลโค่ว คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อก็คงไม่ก่อเรื่องอะไร เซี่ยโห้วหู่เฉิงโล่งอกแล้ว

แปลกมาก เซี่ยโห้วหู่เฉิงเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร ไม่น่าเชื่อว่าตอนแรกจะกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะก่อเรื่องในงานเลี้ยง

เหมียวอี้ที่นั่งลงกับตระกูลโค่วดึงดูดสายตาของคนไม่น้อย ส่วนคนของตระกูลโค่วก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป เหมียวอี้ดูสุขุมเยือกเย็น ในใจมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องจัดการ ไม่ขวยเขินเพราะสีหน้าของคนพวกนี้ มีโลกอีกใบอยู่ในใจตัวเอง ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม

ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว เสียงกลองสะท้านฟ้าดังขึ้น หงส์มังกรร้องพร้อมกัน

ซ่างกวนชิง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ที่อยู่ในตำหนักอ่านหนังสือสวรรค์อวยพรวันเกิดที่ราชันสวรรค์ประทานให้ด้วยเสียงดังฟังชัด เป็นคำสรรเสริญทั้งบท กล่าวบทกลอนยอเกียรติ

มีระกาสประทานของขวัญแยกอีก สมบัติล้ำค่าต่างๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เซี่ยโห้วท่ากล่าวขอบพระคุณสวรรค์เสียงดัง คำกล่าวซาบซึ้งในบุญคุณก็ทำให้คนฟังรู้สึกตื้นตันใจอย่างลึกซึ้งเช่นกัน

แขกที่อยู่ทั้งในและนอกตำหนักยืนขึ้นส่งเสียงอวยพรพร้อมกัน อวยพรให้ท่านปู่สวรรค์

ภายใต้การชี้แนะจากประมุขชิง ซ่างกวนชิงประกาศเสียงดังว่างานเลี้ยงวันเกิดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เสียงดนตรีดังขึ้น การร้องระบำทำเพลงในตำหนักก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

นอกตำหนัก เทพธิดาเดินเรียงแถวนำสุราอาหารมาวาง คนตระกูลเซี่ยโห้วเดินขวักไขว่รับแขกตามโต๊ะในงาน

ผ่านไปไม่นานทั้งข้างนอกข้างในก็มีเสียงชนจอกสุราดังเป็นแถบ ฝั่งตระกูลโค่วที่ได้รับการชี้แนะจากโค่วฉิน อย่างน้อยภายนอกก็ขายผ้าเอาหน้ารอดคุยกับเหมียวอี้อยู่บ้าง ส่วนเหมียวอี้ก็ยิ้มเรียบๆ เป็นฝ่ายดื่มสุราคำนับก่อน

หลังจากชนจอกสุราดื่มกับคนในครอบครัวตัวเองแล้ว ก็ต้องเดินไปดื่มทักทายกับบ้านอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่เข้าไปประสมโรง กำลังครุ่นคิดว่าจะลงมือจัดการงานของตัวเองอย่างไร เป็นเพราะมีหลายเรื่องที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน หยางชิ่งจึงไม่สามารถวางแผนอย่างละเอียดได้ ทำได้เพียงบอกทิศทางใหญ่ๆ ให้เหมียวอี้ไปตัดสินใจเองตามสถานการณ์

หลังจากคนของตระกูลโค่วทยอยกันกลับมาแล้ว คนฝั่งตระกูลอิ๋งก็ตามมาแล้วเช่นกัน ผู้ที่นำมาก็คืออิ๋งอู๋เชวีย

“พี่โค่ว…” อิ๋งอู๋เชวียที่เดินเข้ามาชูจอกสุราชนกับโค่วฉินเหล่ตามองเหมียวอี้ “มีคนนั่งผิดที่แล้วรึเปล่า ทำไมข้ารู้สึกว่าตระกูลโค่วของพวกเจ้าพูดจาไม่เป็นคำพูดล่ะ?” เพราะเขาเห็นเหมียวอี้แล้วข่มไฟโกรธไม่ไหวจริงๆ อิ๋งฮุยลูกชายเขาตายอย่างอนาถใต้คมทวนของเหมียวอี้ที่อุทยานหลวง จะไม่แค้นได้อย่างไร แต่จนใจที่คนในครอบครัวสั่งไว้ว่าไม่ให้ไปหาเรื่องเจ้าเวรนี่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้ แล้วพูดเหน็บแนมโดยไม่เอ่ยชื่อ

ถึงแม้เขาจะไม่เอ่ยชื่อแซ่ แต่ในใจเหมียวอี้กลับแอบบันเทิง ขนาดตัวเขาเองยังสงสัยเลยว่าตัวเองเกิดมาเพื่อขัดแย้งกับตระกูลอิ๋งโดยธรรมชาติหรือเปล่า ทำไมถึงเป็นตระกูลอิ๋งอยู่เรื่อย จะมีตระกูลซู[1]มาบ้างไม่ได้เหรอ? ทำไมถึงเป็นตระกูลอิ๋งอีกแล้วที่มาชนคมดาบของตน?

มีแผ่นกระดานโลงศพหนาขนาดนี้รองอยู่ยังจะมีอะไรน่ากลัวอีก ตราบใดที่ท่านนี้หัวไม่หลุด ก็ไม่กลัวหรอกว่าตัวเองจะหัวหลุด

“พี่อิ๋ง…” โค่วฉินส่ายหน้าอย่างจนใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก ก็ตกใจกับเสียงสะเทือนเสียงหนึ่งแล้ว

ปั้ง! เหมียวอี้ตบฝ่ามือลงบนผิวโต๊ะ คำพูดคลุมเครือของอิ๋งอู๋เชวียเพิ่งจบไป โค่วฉินเพิ่งจะพูดต่อ เขาก็ตบเก้าอี้อย่างไม่ลังเลแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากฝ่ามือทำให้เกิดแรงสะเทือน เรียกได้ว่าตบโจนมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยิน

กระทันหันจนน่าตกใจ! เมื่อครู่นี้ยังมาอย่างอบอุ่นเป็นมิตรอยู่เลย เกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันจนน่าตกใจ!

เสียงผลักจอกสุรารับแขกเงียบลงอย่างฉับพลัน ทุกคนพากันมองมาทางนี้ด้วยความตกใจ แม้แต่พวกเทพธิดาที่เดินไปเดินมาก็หยุดอยู่กับที่แล้ว คนตระกูลเซี่ยโห้วที่คอยรับแขกก็อ้าปากค้างด้วยความงง เซี่ยโห้วหู่เฉิงขมับเต้นตุ้บๆ ในใจร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง อย่าบอกนะว่าสิ่งที่กลัวกำลังจะมาถึง?

เสียงฝ่ามือนี้ทำให้โค่วฉินตกใจจนต้องกลืนคำพูดกลับลงไป เขามองเหมียวอี้ราวกับมองตัวประหลาด ถึงขั้นว่าในดวงตาเริ่มฉายแววหวาดกลัวว่าไฟจะลนมาถึงตัว ทุกคนของตระกูลโค่วและคนของตระกูลอิ๋งที่ตามเข้ามาก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน ความเงียบสงัดโดยรอบทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงเสียงดนตรีระบำในตำหนักดังออกมา แต่กลับทำให้คนยิ่งรู้สึกกดดัน

…………………………………………………..

[1] ตระกูลซูพ้องเสียงกับคำว่าฝ่ายแพ้ ตระกูลอิ๋งพ้องเสียงกับคำว่าฝ่ายชนะ