ตอนที่ 856 เสี่ยวจิน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

เหลยหู่พาเยี่ยเทียนลอยคออยู่ในน้ำสองวันถึงจะพบเรือประมงลำ ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะยังไม่ได้สติ แต่สองแขนก็มีเลือดกับเนื้องอกออกมาไม่มีอันตรายต่อชีวิตแล้ว เขาถึงรู้สึกโล่งใจและเกิดความคิดว่าจะกลับไปหาพลอยวิเศษถุงนั้น

เหลยหู่รู้ว่าพลอยวิเศษมีความสำคัญแค่ไหน ถ้าเยี่ยเทียนต้องการฟื้นฟูให้เร็วที่สุด จะต้องใช้พลอยวิเศษมากเพื่อเพิ่มพลังให้พลังปราณชีวิตดั้งเดิม เขาจึงส่งอาจารย์ให้กับชาวประมงลำนั้น จากนั้นก็ออกไปหาถุงที่เขาทิ้งไว้

แต่เหลยหู่คิดไม่ถึง บนผิวน้ำที่นิ่งสงบไม่มีคลื่นใต้น้ำกลับซ่อนความปั่นป่วนเอาไว้ เพราะถุงที่เขาโยนลงทะเล ถูกซัดไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้

โชคดีที่เหลยหู่คิดเผื่อไว้ตั้งแต่ตอนแรก ทำการถอดจิตของตัวเองไว้ที่ถุงบางส่วน แม้ว่าถุงที่เต็มไปด้วยพลอยวิเศษจะถูกคลื่นซัดไปไกลเป็นพันลี้ น่านน้ำที่ไร้ปราณวิเศษผืนนี้เหลยหู่ยังพอสัมผัสได้ว่าจิตของตัวเองอยู่ตรงไหน

เหลยหู่ใช้เวลาหาอยู่หลายวัน สุดท้ายก็เจอถุงอยู่กลางทะเลลึกไกลออกไปเกือบพันกิโลเมตร และถือว่าโชคดีมากที่หนังของสัตว์มีความเหนียว ทำให้พลอยวิเศษยังอยู่ครบทุกชิ้น

“ศิษย์น้องเล็กบอกว่าหน้าตาของแกเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่จิตใจที่เปลี่ยน เปลี่ยนไปทั้งคนเลย  ”

ตอนที่เหลยหู่เดินเข้าประตูมา สายตาของโก่วซินเจียจ้องอยู่ที่หน้าของเหลยหู่ จนถึงตอนนี้ โก่วซินเจียเพิ่งจะพยักหน้าและพูดว่า

“เมื่อก่อน แกจมูกโด่ง ตาเฉี่ยวดุจนกเหยี่ยว เป็นรูปลักษณ์ของคนชั่วร้าย ตอนนี้ทั้งหน้าตาและจิตใจเป็นคนมีคุณธรรม รู้จักแก้ไขเมื่อทำผิด ช่างดีเสียจริง!”

โก่วซินเจียเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สูญเสียแขนไปหนึ่งข้าง ตอนนี้เขาเห็นเหลยหู่ก็สูญเสียแขนไปข้างหนึ่งเช่นกัน มันทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดมากขึ้นอีก เพราะประสบชะตาชีวิตที่คล้ายคลึงกัน โก่วซินเจียจึงสั่งสอนเขาเล็กน้อย

สิ่งที่โก่วซินเจียพูดก็ไม่ผิด เมื่อก่อนเหลยหู่หลงอยู่กับสองสิ่ง “ชื่อเสียงและผลประโยชน์” อยากจะเป็นประมุขของสมาคมหงเหมิน จึงได้ทำสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม ซึ่งมีสาเหตุมาจากความคับแคบของจิตใจ

ก็เหมือนกับคนจนคนหนึ่งกัดก้อนแป้งทุกวัน ถ้าให้เขาจินตนาการชีวิตที่หรูหรา อย่างมากก็คงคิดได้แค่มีซาลาเปาไส้เนื้อให้กินสามมื้อเท่านั้น เมื่อก่อนเหลยหู่ก็เป็นคนแบบนั้น

แต่พอความแข็งแกร่งของเหลยหู่ในยุทธภพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีวรยุทธที่เหนือกว่าคนทั่วไป สิ่งที่เขาเคยเป็นเมื่อก่อน จึงดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโต

“อาจารย์ลุง ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนสอน ศิษย์จะจำใส่ใจครับ! ”

ที่จริงหลังจากที่ลงมาถึงบนเรือ เหลยหู่ตกใจมากเลยทีเดียว ตอนแรกเขาคิดว่าบนโลกใบนี้ นอกจากอาจารย์เยี่ยเทียนแล้ว ตนน่าจะเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าแค่เรือลำเดียว มีคนถึงสองคนที่มีพลังวิชาเทียบเท่าตน

ส่วนศิษย์พี่ใหญ่โจวเซี่ยวเทียนท่านนั้น ถึงแม้ว่ายังไม่เข้าถึงระดับเซียนเทียน แต่ก็อยู่ระดับโฮ่วเทียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ที่สำคัญปราณชีวิตภายในร่างกายเริ่มเปลี่ยนเป็นปราณแท้แล้ว อีกไม่นานก็คงเข้าถึงระดับเซียนเทียน

ตอนนี้เหลยหู่เพิ่งจะรู้ว่าตนนั้นโลกแคบแค่ไหน พอรู้แบบนี้แล้ว เขาซ่อนความยโสลึกๆ ไว้ในจิตใจทันที เหลยหู่เข้าใจดีว่าเขาเข้าถึงระดับเซียนเทียนได้ ก็เพราะความโชคดี ส่วนโก่วซินเจียและคนอื่นสามารถเข้าถึงระดับนั้นได้ แม้ว่าแทบจะไม่มีปราณวิเศษตรงนี้เลย มันคือพรสวรรค์ การฝึกฝนเช่นนี้ ขี่ม้าเร็วแค่ไหนก็ยังตามไม่ทัน

“พี่เหลย ในถุงนี้เป็นพลอยวิเศษทั้งหมดเลยเหรอ? ”

ความถ่อมตัวที่เหลยหู่แสดงออกมา ทำให้ความรู้สึกของโจวเซี่ยวเทียนที่มีต่อเหลยหู่เปลี่ยนไป เพราะคนตรงข้ามอายุมากกว่าตนตั้งยี่สิบกว่าปี จะให้เรียกศิษย์น้องก็กระไรอยู่ โจวเซี่ยวเทียนจึงตัดสินใจรียกว่าพี่น่าจะดีกว่า

“อย่าเลยครับศิษย์พี่โจว คนเข้าสำนักก่อนเป็นศิษย์พี่  ศิษย์พี่อย่าเรียกผมว่าพี่เลยนะครับ ผมรับไว้ไม่ไหว! ”

สมาคมหงเหมินเป็นพรรคหนึ่งในยุทธจักร มีการแบ่งลำดับศักดิ์ ให้ความสำคัญเรื่องการเรียกขานมาก บางคนที่เป็นตาแก่หกเจ็ดสิบปีเรียกเด็กสิบกว่าขวบว่าอาจารย์ก็ยังมี ฉะนั้นเหลยหู่จึงไม่ได้รู้สึกติดใจกับเรื่องนี้

“เซี่ยวเทียน แกไม่ต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป เหลยหู่พูดถูก คนเข้าสำนักก่อนเป็นศิษย์พี่ แกนั่นแหละที่เป็นลูกศิษย์คนโตของสำนักเสื้อป่าน คราวหลังห้ามพูดแบบนั้นอีก! ”

เยี่ยเทียนฟังไปพยักหน้าไป หันไปพูดกับโจวเซียวเทียนว่า

“ต่อไปให้เหลยหู่รับผิดชอบเรื่องรับศิษย์เข้าสำนัก แกตั้งใจฝึกวิชา จะได้เข้าถึงระดับเซียนเทียนเร็วๆ บนโลกใบนี้ก็ยังเป็นโลกที่ใครแกร่งกว่าก็ชนะ แกต้องพยายามเข้านะ! ”

พอเยี่ยเทียนพูดคำนี้ออกมา โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นต่างก็ลุกขึ้นพร้อมกัน โค้งคำนับ ตอบว่า

“น้อมฟังคำสั่งสอนของเจ้าสำนัก! ”

จากนั้นโก่วซินเจียก็นั่งลงและถามเยี่ยเทียนด้วยความสงสัยว่า

“ศิษย์น้องเล็ก ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น? อย่าบอกว่าบนโลกใบนี้ยังจะมีศัตรูปรากฏตัวมาอีก? ”

“คนระดับจินตันอาจจะไม่มี แต่ระดับเซียนเทียนก็ไม่แน่ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องคิดมากครับ มีผมอยู่ทั้งคน สำนักเสื้อป่านของเราไม่ถึงกับต้องเกรงกลัวใคร…”

เยี่ยเทียนส่ายหัวและไม่ได้พูดต่อ เขาเคยเห็นในบันทึกของจางซันเฟิน โลกในเวลานั้น ถ้าฝึกวิชาไปถึงระดับหยวนอิงแล้ว จะต้องออกจากพื้นที่และเข้าไปสู่อีกเขตแดนหนึ่ง

หากเป็นไปตามที่จางซันเฟิงคาดการณ์เอาไว้ น่าจะเป็นเพราะปราณวิเศษในโลกมนุษย์ไม่พอใช้สำหรับแสดงพลังของเซียนระดับหยวนอิง และยังมีความกดดันต่อการฝึกเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นในโลกมนุษย์ใบนี้ผู้ที่มีวิชาสูงสุดก็คือผู้ที่อยู่ในระดับจินตัน

ต่อจากสมัยของจางซันเฟิง ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ส่งผลให้ปราณวิเศษน้อยลงกว่าเดิม หลังจากที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา เขารู้สึกว่าจิตของตนเหมือนถูกกดทับเอาไว้บางส่วน เวลาใช้ มันไม่อิสระเหมือนตอนอยู่ที่เกาะ “เผิงไหล”

เยี่ยเทียนจึงกล้าฟันธงว่า เซียนระดับจินตันบางทีก็ไม่สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้ แล้วคนระดับเจี่ยตันอย่างเขา น่าจะเป็นคนที่มีพลังวิชาสูงที่สุดในโลกแล้ว

“พวกเราต้องขยันฝึกซ้อม ถ้ามีคนระดับเซียนเทียนขั้นปลายออกมา เขาสามารถฆ่าพวกเราให้ตายกันหมดได้! ”

ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้พูดว่าไม่ต้องเป็นห่วง โก่วซินเจียขมวดคิ้ว เป็นหลักการของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน กันไว้

ดีกว่าแก้ เหลยหู่หันไปหาโก่วซินเจียด้วยความงุนงง พูดว่า

“อาจารย์ลุงครับ ขอแค่ไม่ใช่ระดับจินตันมา พวกเราไม่ต้องกลัว อาจารย์มีพลังระดับครึ่งทางของระดับจินตันแล้ว! ”

“ครึ่งทางของระดับจินตัน? ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์หลานเหลยพูดจริงเหรอ? ”

โก่วซินเจียเบิกตากว้างหลังจากได้ยินเหลยหู่พูดแบบนั้น เขามองหน้าเยี่ยเทียนอย่างไม่เชื่อสายตา เดิมทีเขาคิดว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักขนาดนี้ มีพลังระดับไม่ต่ำกว่าเซียนเทียนก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว แต่ไม่คิดว่าระดับของเยี่ยเทียนจะเกินความคาดหมายของเขาขนาดนี้

“ครับ แต่ครั้งนี้ผมบาดเจ็บอาการสาหัสไปหน่อย คงต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นฟู! ”

เยี่ยเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม พลังในร่างกายของเขามั่วไปหมด เนื่องจากปราณวิเศษรอบตัวที่แทบจะไม่มีให้ใช้ ทำให้ความเร็วในการแปลงจากตันเถียนเป็นปราณแท้จึงช้าเหมือนหอยทาก โก่วซินเจียกับคนอื่นมองไม่ออกก็ไม่น่าแปลก

แต่ถ้ามีพลอยวิเศษมาช่วย อาการบาดเจ็บเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กมาก มีเพียงการรักษาเนื้อหนังและชีพจรเท่านั้นที่ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เรื่องนี้เร่งไม่ได้อยู่แล้ว

“เธอ…เธอนี่มันปีศาจชัดๆ! ”

โก่วซินเจียจ้องเยี่ยเทียนอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดิมทีเขาคิดว่าพลังวิชาของตัวเองใกล้เคียงกับศิษย์น้องเล็กมากแล้ว ไม่คิดเลยว่ามันยังห่างกว่าเดิมอีก

“วู วู! ”

เจ้าสิงห์ขนทองที่เกาะอยู่บนบ่าของเหลยหู่เริ่มเบื่อและส่งเสียงออกมา มันยื่นกรงเล็บข่วนไปที่หัวไหล่ของเหลยหู่ จากนั้นก็ยิ้มปากกว้างและทำหน้าตลกใส่ทุกคน

กรงเล็บของสิงห์ขนทองคมมาก ที่ข่วนไปเมื่อครู่ถึงกับเป็นรอยมีเลือดออก เหลยหู่อดขำไม่ได้จึงยื่นมือไปแกะถุงหนังใบนั้น หยิบพลอยวิเศษธาตุทองให้กับมัน พูดออกไปว่า

“พลอยวิเศษเหลือแค่นี้แล้วนะ ถ้ากินหมดแล้วฉันก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนให้แกแล้วนะ! ”

ที่จริง เหลยหู่อยากจะทิ้งสิงห์ขนทองตัวนี้ตั้งนานแล้ว แม้ว่ามันเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปี แต่พลังวิชาของมันเก่งกว่าตัวเองอีก แล้วเจ้าตัวเล็กก็คิดว่าไหล่ของตนเป็นอ้อมอกของแม่มัน เลยทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างบนไหล่ของเขา จนเหลยหู่รู้สึกลำบากใจแต่ก็พูดไม่ออก

เหลยหู่เองก็ไม่กล้าใช้ความรุนแรงกับมัน เพราะเขาเห็นเจ้าสิงห์ขนทองกลืนกินสมองของสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่ากับตา ถ้ายั่วจนเจ้าตัวเล็กโมโหขึ้นมา แล้วมันข่วนจนกะโหลกศีรษะของเขาถูกเปิดออก มันจะไม่คุ้มเลย

“กรุบ! ” เจ้าสิงห์ขนทองไม่ได้สนใจเหลยหู่เลยสักนิด มันเริ่มกัดกินพลอยวิเศษก้อนนั้น เป็นพลอยวิเศษที่ใช้ขวานฟันก็ยังไม่ฟันไม่หัก แม้แต่รอยก็ยังไม่มี แต่พออยู่ในปากของเจ้าตัวสิงห์ขนทองนี่ มันเคี้ยวพลอยเสียงดัง “กรอบแกรบ” ราวกับเป็นลูกอม

“เหลยหู่ มันกินพลอยวิเศษเป็นอาหารเหรอ? ” นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียและคนอื่นต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พวกเขารู้ว่าพลอยวิเศษมีความพิเศษยังไง แต่พลอยวิเศษกลับกลายเป็นของกินเล่นของเจ้าสัตว์ที่คล้ายลิงซะอย่างนั้น ทุกคนรู้สึกเสียดายมาก

“อาหารของมันไม่ใช่พลอยวิเศษ มันหายากกว่านั้นอีก”

เหลยหู่ที่ยิ้มแห้งกับสิ่งที่ได้ยิน

“เจ้าตัวนี้ ปกติมันจะกินน้ำสมองของสิงห์โต เสือและสัตว์ประหลาดต่างๆ ไม่รู้จะไปหาของแบบนี้ให้มันได้จากที่ไหน ก็เลยป้อนพลอยวิเศษให้มันไปก่อน ไม่อย่างนั้น ถ้ามันเกิดคลั่งขึ้นมา แม้แต่อาจารย์ก็คงยากที่จะคุมมันได้! ”

เจ้าสิงห์ขนทอง พอมันได้ยินเสียงเหลยหู่ มันเงยหน้าขึ้นมาและส่งเสียงฮืมๆคล้ายมนุษย์มาก มันยกแขนขึ้นมาโบกใส่เยี่ยเทียน เป็นท่าทีที่เห็นได้ชัดว่ามันไม่พอใจคำพูดของเหลยหู่ คนที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของปราณชีวิตเลยแม้แต้น้อยจะมาเทียบกับมันได้ยังไง

“เอ๋ เจ้านี่ ออกมาจากตรงนั้นแล้วฉลาดขึ้นเยอะเลยนะ”

เยี่ยเทียนหรี่ตาลง ใช้พลังที่ไร้เสียงห่อหุ้มเจ้าสิงห์ขนทองเอาไว้ เจ้าตัวเล็กที่ตอนแรกกำลังกินพลอยวิเศษอย่างเอร็ดอร่อย ตอนนี้จึงขยับไม่ได้

ถึงแม้ปราณแท้ในร่างกายจะหายไปหมด แต่จิตของเยี่ยเทียนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แล้วพ่อกับแม่ของเจ้าสิงห์ขนทองล้วนแต่เป็นอสูรใหญ่ที่มีพลังระดับจินตัน มันเกิดมาพร้อมกับพลังระดับเซียนเทียน แต่ด้อยกว่าเยี่ยเทียนนิดหน่อย ตอนนี้มันถูกเยี่ยเทียนควบคุมจนขยับไม่ได้

เยี่ยเทียนไม่ได้ทำเกินไป จิตที่ปล่อยออกไป ปล่อยออกไปครู่เดียวก็เก็บกลับมาทันที เพราะขณะที่เจ้าสิงห์ขนทองกำลังจะทำให้ตัวเองหลุดออกจากการควบคุม จู่ๆ พลังกดดันนั่นก็หายไป

………………………………….