เยี่ยโจ่งได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

จินเทียนชื่อเห็นพวกหลิ่วหมิงสองคนออกมาแล้วก็โล่งใจเช่นเดียวกัน เขาหัวเราะแล้วพยักหน้าให้ทั้งสองคน

ในเวลานี้เองกลางค่ายกลก็เกิดเสียงดังกึกก้อง คลื่นสั่นสะเทือนน่าตะลึงสายหนึ่งฉับพลันพุ่งขึ้นฟ้า

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสายลมเย็นโชยพัดมาจากด้านหลัง เขากวาดสายตาไปด้านหลังอย่างเร็วไว

ทันใดนั้นเขาก็เห็นอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนั้นเปล่งแสงสีเทาเรืองๆ เกิดเป็นเกราะอสูรชั้นแล้วชั้นเล่า บนสันหลังแสงสีเทากะพริบวูบวาบ จากนั้นสองเท้าก็ยัดตัวขึ้นยืนทั้งที่โซ่นับไม่ถ้วนพันธนาการอยู่

อสูรยักษ์อ้าปากกว้าง ลมปราณสีเขียวเข้มสายหนึ่งทะลักออกมากลายเป็นคลื่นโถมเข้าชนม่านแสงห้าสีเบื้องหน้าอย่างรุนแรง

เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!

เกิดวงแหวนแสงสีเขียวเข้มวงแล้ววงเล่าบนม่านแสง จากนั้นควันสีเขียวสายแล้วสายเล่าก็ลอยตามมาติดๆ บนม่านแสงทะลุเป็นรูขนาดมหึมา

ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่ควบคุมค่ายกลเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงจนเหงื่อเย็นหลั่งทั่วร่าง เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ธงค่ายกลในมือสะบัดรัวอีกครั้ง

“ไม่ต้องซ่อมแล้ว ในเมื่อได้ของมาอยู่ในมือแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับมันอีก รื้อค่ายกลแล้วปล่อยอสูรตัวนี้ไป!”

ในเวลานี้เองเยี่ยโจ่งก็ออกคำสั่ง

หลังจากศิษย์นิกายเทียนกงทั้งห้าคนรับคำสั่ง เคล็ดวิชาที่มือก็หยุด ธงค่ายกลห้าสีในมือถูกยกขึ้น

อักขระห้าสีตรงหน้าอกของหุ่นยักษ์ห้าตัวหม่นหมองไร้ประกายในทันใด พร้อมกับที่ม่านแสงห้าสีหายไปไร้ร่องรอยในพริบตา หลังจากนั้นมือของหุ่นยักษ์ก็ทอประกายวูบหนึ่ง โซ่พลังจิตวิญญาณมหึมาห้าสายส่งเสียงดังเปรี้ยงพังทลายกลายเป็นประกายแสงจุดแล้วจุดเล่า

“โฮก”

หลังจากโซ่พลังจิตวิญญาณที่พันธนาการด้านหน้ามลายหายไป อสูรเม่นยักษ์พลันเบิกสองตาโตแล้วคำรามลั่นใส่ท้องฟ้า คลื่นเสียงซัดสู่ท้องนภา

จุดที่คลื่นเสียงซัดผ่านเกิดคลื่นไหวกระเพื่อมที่ทอแสงสีเขียวจางๆ วงแล้ววงเล่ากลางอากาศ เสียงสะเทือนหูแทบดับสะท้อนก้องท้องฟ้า

“เก็บหุ่น แล้วออกจากตำแหน่งเร็ว!” เยี่ยโจ่งคำรามเสียงดังอีกครั้ง

ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่ล้อมอสูรยักษ์อยู่หยุดท่อง จากนั้นเคล็ดวิชาในมือก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

เสียง “ปัง” “ปัง” ดังขึ้นตามต่อกัน!

หุ่นยักษ์ขนาดร้อยจั้งห้าตัวส่องแสงระยิบระยับจากนั้นกลายเป็นลูกแก้วกลมหลากสีห้าลูกอย่างรวดเร็ว

ครู่ต่อมาศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนก็เก็บลูกแก้วกลมแล้วต่างพากันเหาะขึ้นมาบนท้องฟ้า

ในเวลาเดียวกันสี่เท้าของอสูรยักษ์พลันมีแสงสีเทาส่องประกาย จากนั้นเพียงชั่วครู่มันก็ก่อตัวเป็นเมฆหมอกสีเทาเบาบางก้อนหนึ่งม้วนออกมาหุ้มร่าง สี่ขาหดเก็บกลายเป็นลูกบอลขนาดมหึมาลูกหนึ่งหมุนกลิ้งอยู่กับที่เกิดเป็นสายลมหมุนอันโกลาหล

เสียงแผ่นดินไหวขุนเขาสั่นคลอนดังขึ้น แผ่นดินสะเทือนไหวเพราะมัน

นี่ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นตกตะลึงอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้!

เสียงฟึบดังขึ้นครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นลูกบอลขนาดมหึมาดั่งยอดเขายักษ์ก็พุ่งเร็วรี่จากไปไกล จุดที่ผ่านพัดฝุ่นทรายฟุ้ง ทิ้งร่องลึกน่าตะลึงกว้างหลายสิบจั้งเส้นหนึ่งไว้บนพื้นดิน

หากเทียบกับขนาดร่างมหึมาของอสูรยักษ์แล้ว การกลิ้งของมันไม่นับว่าเร็ว สองสามลมหายใจเพิ่งจะหนีไปไกลได้สิบลี้ แต่หากเทียบกับผู้ฝึกฝน ความเร็วกลับน่าตะลึงอย่างที่สุดจริงๆ

ทุกคนมองตามอสูรตัวนี้จนมันหนีออกไปห่างร้อยลี้ถึงเรียกสติกลับมาได้ พวกเขาพากันถอนหายใจแล้วร่อนลงไปเบื้องล่าง

หลังจากร่อนลงพื้น เยี่ยโจ่งก็เดินมาหาหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงด้วยสีหน้ายินดีแล้วประสานมือเอ่ยกับทั้งสองคน

“ครั้งนี้ลำบากพี่หลิ่วกับพี่หลัวแล้วจริงๆ หลังจากกลับไป นิกายเราจะตอบแทนอย่างงามแน่นอน!”

“พี่เยี่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุย อสูรยักษ์หลบหนีเสียงดังสนั่นเช่นนี้คงจะดึงดูดผู้ฝึกฝนคนอื่นที่อยู่ใกล้ นี่คือเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณ พี่เยี่ยเก็บมันไว้ให้ดีก่อนเถิด!”

หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ เตาหลอมขนาดเล็กที่ทอแสงสีขาวเรืองรองชิ้นหนึ่งร่วงลงในมือ ก่อนจะก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งส่งให้เขา

“ขอบคุณพี่หลิ่วยิ่งนัก!”

พริบตาที่เยี่ยโจ่งเตรียมจะยื่นมือไปรับด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดีนั่นเอง หลังร่างเขาก็พลันมีลมปราณเย็นยะเยือกสายหนึ่งโถมเข้าใส่ อากาศกระเพื่อมเป็นวงหลายชั้นก่อนที่อึดใจต่อมามันจะบิดเบี้ยวอย่างหนัก จากนั้นเส้นไหมแวววาวสีเลือดนับไม่ถ้วนก็ทะลวงออกมาแล้วพุ่งเร็วรี่เข้าใส่แผ่นหลังของเยี่ยโจ่งอย่างมืดฟ้ามัวดินในพริบตา

เยี่ยโจ่งสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาไม่มีเวลารับเตาหลอมมาจากหลิ่วหมิง ได้แต่หมุนตัวครั้งหนึ่ง แสงสีทองพลันฉายรอบร่าง ชุดเกราะจักรกลสีทองอร่ามที่มีอักขระวนเวียนอยู่บนผิวปรากฏออกมาหุ้มรอบร่างไว้อย่างแน่นหนาในทันใด พร้อมกันนั้นแสงสีดำก็พุ่งออกไปเบื้องหน้ากลายเป็นโล่น้อยสีดำชิ้นหนึ่งแล้วขยายใหญ่หลายจั้งในพริบตา

เสียงหัวเราะชั่วร้ายแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้น

เส้นไหมแวววาวสีเลือดเต็มท้องฟ้าสลับไขว้กันกลางอากาศแล้วเปลี่ยนทิศอย่างประหลาดอ้อมผ่านข้างโล่ยักษ์สีดำในฉับพลัน พร้อมทั้งพุ่งเข้าใส่เยี่ยโจ่งทั้งจากด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้ายและด้านขวา

เยี่ยโจ่งตกตะลึง เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างต่อเนื่อง อาวุธจิตวิญญาณสี่ห้าชิ้นพุ่งออกมาตามต่อกันกลายเป็นก้อนแสงหลากสีทะยานรวดเร็วออกไปรอบด้าน

แต่ไม่รู้ว่าเส้นไหมแวววาวสีเลือดนี้คือสิ่งใด ทันทีที่มันสัมผัสโดน อาวุธจิตวิญญาณเหล่านั้นก็ถูกฟาดฟันเป็นชิ้นๆ กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขนาดเท่าข้อนิ้ว

เยี่ยโจ่งจนปัญญาจึงอ้าปากพ่นยันต์ที่ทอแสงสีดำขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมาอีกครั้ง มันกลายเป็นอสนีบาตสีดำเส้นหนึ่งฟาดออกมาพร้อมเสียงดังกึกก้อง เส้นไหมสีเลือดใกล้ๆ สลายกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา

แสงสีเลือดที่เดิมทีล้อมอยู่รอบด้านเกิดช่องโหว่ขนาดหนึ่งจั้งกว่าช่องหนึ่ง

เยี่ยโจ่งรีบตบชุดเกราะจักรกลบนร่างด้วยความยินดี แสงสีทองไหลเวียนครู่เดียว บนแผ่นหลังก็มีปีกสีทองคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในทันใด เสียงพรึ่บดังขึ้นครั้งหนึ่งเขาก็ฝ่าวงล้อมของเส้นไหมสีเลือดออกมา

ในตอนนี้เองเส้นไหมแวววาวรอบด้านกลับบีบรัดเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อกะทันหัน จากนั้นเสียง “ฉึบ” ดุจผืนผ้าฉีกขาดก็ดังต่อกันหลายครั้ง!

เส้นไหมเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งผ่านร่างกายของเขาไปประหนึ่งคมดาบแหลมคม ชุดเกราะจักรกลสีทองแทบจะไม่มีกำลังต่อต้านแม้แต่น้อย!

“อ้าก!”

หลังจากเสียงกรีดร้องโหยหวน เศษชิ้นส่วนสีทองนับไม่ถ้วนกับเลือดเนื้อแหลกเหลวก้อนแล้วก้อนเล่าก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างเชื่องช้า โล่น้อยสีดำตกลงมาอย่างรวดเร็วเพราะสูญพันธะที่เชื่อมกับเจ้าของ

เยี่ยโจ่งถูกสังหารในพริบตา กระทั่งแก่นวิญญาณก็หนีออกมาไม่ทัน!

นับจากเส้นไหมแวววาวสีเลือดปรากฏ ไปจนถึงเยี่ยโจ่งตอบสนองในสถานการณ์วิกฤติจนท้ายที่สุดสิ้นใจ ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเวลาเพียงลมหายใจเดียว!

หลังจากที่เส้นไหมแวววาวเหล่านั้นสังหารเยี่ยโจ่งแล้วก็ม้วนกลับโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย จากนั้นพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง

เวลานี้หลิ่วหมิงเพิ่งได้สติกลับมา ความตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวแทรกผสมกัน เขาเก็บเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณในมือกลับมาทันทีจากนั้นใช้เคล็ดวิชาเงาสามส่วนกลายร่างเป็นเงาสี่ร่างพุ่งถอยไปสี่ทิศทันที

“ฟึบ” “ฟึบ” “ฟึบ” เงาลวงสามร่างในนั้นเพิ่งเริ่มเหาะก็ถูกเส้นไหมแวววาวสีเลือดทะลวงผ่านจนสลายไปทันที ทว่าเงาร่างที่สี่บิดร่างกะทันหันพุ่งผ่านเส้นไหมแวววาวเต็มท้องฟ้าไปด้วยมุมอันประหลาดยากจะอธิบาย หลังจากมันเลือนหายไปวูบหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นห่างไปสิบกว่าจั้ง

อีกด้านหนึ่ง หลังจากหลัวเทียนเฉิงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เขาก็พาสายลมสีเงินสายหนึ่งทะลวงผ่านแสงสีเลือดมากมายถี่ยิบออกไป ขาข้างหนึ่งกับแขนข้างหนึ่งถูกเส้นไหมแวววาวสีเลือดตัดขาด หน้าอกกับหน้าท้องรวมไปถึงแขนข้างซ้ายของเขาเปรอะเปื้อนเลือด

ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็อาศัยกายคงกระพันของร่างจิตวิญญาณตูเทียนรักษาชีวิตจากการลอบโจมตีของเส้นไหมแวววาวประหลาดนี้มาได้ อีกทั้งแขนขาที่ขาดหายก็คืนสภาพกลับมาเองอย่างเร็วไว

“ผู้ใดลอบโจมตี!” หลัวเทียนเฉิงตวาดลั่นอย่างโกรธจัด

“อาจารย์อาเล็ก!”

ในตอนนี้ศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นเพิ่งได้สติกลับมา พวกเขาเห็นภาพเยี่ยโจ่งตายอย่างน่าเวทนาก็ตะโกนตกใจออกมาพร้อมกัน แสงสีครามเปล่งออกมาทั่วร่างชายหนุ่มแซ่หยวนผู้นั้น เขาหมายจะพุ่งแหวกอากาศออกไปแต่ถูกจินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้างสะบัดแขนเสื้อห้ามไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เอ๋ นี่คือร่างจิตวิญญาณอันใด อวัยวะถูกฟันเป็นชิ้นๆ แล้วยังงอกใหม่ขึ้นมาเองได้อีก”

ตอนนี้เองเสียงทุ้มต่ำก็ดังอ้อยอิ่งออกมาจากความว่างเปล่าบริเวณกลุ่มเส้นไหมแวววาวสีเลือด แสงสีเลือดหมุนวนพักหนึ่งจากนั้นร่างสีแดงฉานร่างหนึ่งก็ลอยออกมา

คนผู้นี้เป็นบุรุษหนุ่มร่างกายซูบผอม โหนกแก้มสูงคนหนึ่ง เขาสวมชุดยาวสีเลือด ถือพัดขนนกสีแดงอ่อนเล่มหนึ่งในมือ กำลังจ้องหลัวเทียนเฉิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย มือข้างหนึ่งกวักสบายๆ เก็บโล่น้อยสีดำที่ร่วงอยู่บนพื้นไปไว้ในมือทันที

“ท่านจี๋อิ่ง ท่านเพิ่งหายดี พลังของประกายโลหิตประจำกายยังสำแดงได้ไม่ถึงขีดสุด ให้ข้าจัดการเองเถิด!” เสียงสตรีใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น

แทบจะในเวลาเดียวกันคลื่นสีหยกก็ขยับไหวกลางอากาศข้างตัวบุรุษชุดสีเลือด เงาสีฟ้าอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า เงานั่นคือสตรีชุดฟ้าแต่งกายงดงาม อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปีผู้หนึ่ง บนศีรษะมีขนนกสีฟ้าสามเส้นสีสันสะดุดตา ใต้คิ้วดำคือดวงตาสีฟ้าใสกระจ่างดุจอัญมณีที่ทอประกายเจิดจ้า

“ผู้อาวุโสจิน คนผู้นี้ก็คือผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจคนนั้นที่ทำร้ายพวกศิษย์พี่จ้าวจนบาดเจ็บไม่นานก่อนหน้านี้!”

ชายหนุ่มแซ่หยวนจากนิกายเทียนกงเห็นบุรุษชุดสีเลือดก็เอ่ยบอกจินเทียนชื่อด้วยใบหน้าหวาดกลัว พริบตาที่บุรุษชุดสีเลือดปรากฏตัว ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่เหลือก็สีหน้าซีดเผือดอย่างยิ่งในทันใด

จินเทียนชื่อได้ยินก็แค่นเสียงหยันครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ทันใดนั้นเสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งก็ดังออกมาจากป่าอีกด้านหนึ่ง

“จี๋อิ่ง เผ่ามนุษย์เหล่านี้คงจะยกให้เผ่าหมาป่าเงาของพวกเจ้าหมดไม่ได้ ข้าก็ต้องการแบ่งผลประโยชน์เหมือนกัน”

สิ้นเสียง สายลมแรงก็โหมขึ้นในป่า พายุหมุนสีเหลืองขมุกขมัวสูงถึงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่งซัดออกมาประหนึ่งคลื่น ต้นไม้ใหญ่รอบด้านต่างถูกถอนออกมาหมดต้นแล้วปั่นเป็นเศษซาก

บุรุษชุดสีเลือดเพียงขมวดคิ้วทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงในป่า เขายังคงมองจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างค่อนข้างสนใจ ในใจไม่รู้คิดสิ่งใดอยู่

สายลมคลั่งสีเหลืองพัดหวีดหวิวอยู่พักหนึ่งก็หยุดอยู่ข้างกายบุรุษสีเลือด มันแหวกออกจากตรงกลางก่อนจะสลายไปหมดสิ้น เผยเงาร่างสูงใหญ่ที่แลดูโหดเหี้ยมร่างหนึ่งออกมาทั้งตัว เขาคือชายฉกรรจ์ผู้มีหัวเป็นพยัคฆ์ร่างกายเป็นมนุษย์สูงสองจั้ง

ท่อนบนของชายฉกรรจ์เปลือยเปล่า ทั่วร่างมีลวดลายสีเงินเป็นดวงๆ แขนทั้งสองข้างเส้นเอ็นปูดนูน สีหน้าดุร้ายโหดเหี้ยม

สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านร่างของทั้งสามตนตรงหน้าอย่างเร็วไว แม้สตรีชุดฟ้าจะพลังเพียงระดับแก่นเสมือน แต่ปราณบนร่างที่ผลุบๆ โผล่ๆ ทำให้คนรู้สึกไม่แน่ใจ ส่วนอีกสองตนข้างกายนางลมปราณแข็งแกร่งไปถึงจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นปลายไม่ผิดแน่นอน

“ยอดฝีมือของเผ่าปีศาจระดับสูงจากเผ่าพยัคฆ์เงินกับเผ่าหมาป่าเงาแห่งแผ่นดินหมานฮวง แม้ข้าจะใช้ไพ่ก้นหีบก็ต้านได้อย่างมากที่สุดคนเดียว ศัตรูแข็งแกร่งพวกเราอ่อนแอ ครั้งนี้เอากำลังเข้าต้านศัตรูไม่ได้ สบโอกาสให้ถอยทัพหนี!” หลังจากจินเทียนชื่อกวาดสายตาผ่านบุรุษรูปร่างกำยำกับบุรุษชุดสีเลือด สายตาก็เคร่งขรึมลงเป็นครั้งแรกแล้วส่งกระแสจิตหาทุกคนในทันที

ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หกคนของนิกายเทียนกงหรือพวกหลิ่วหมิงทั้งสามคนล้วนเคร่งเครียดอยู่ในใจ