“ความหมายของเจ้าคือที่บ้านเกิดของเจ้าก็มีจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มีตระกูลไม่รู้สิ้น มีจักรวรรดิเสวียนเฉิน แต่ไม่มีสำนักแห่งความมืดหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟหรี่ตา แม้จะพยายามอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ แต่ในใจก็ยังเกิดคลื่นลูกใหญ่
ต่างจากผู้คนและเรื่องราวที่หวังเป่าเล่อประสบพบเจอมา ปรมาจารย์แห่งไฟในฐานะผู้ฝึกตนของโลกศิลาไม่ได้เข้าใจเรื่องราวในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอย่างแท้จริง
แท้จริงแล้วความลับระดับนี้หากหวังเป่าเล่อไม่ได้รู้จากบิดาของหวังอีอีก็คงไม่มีทางรู้เลย
และตอนนี้เมื่อปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยขึ้น อู๋น้อยก็ยิ้มอย่างขมขื่น
“ท่านปรมาจารย์แห่งไฟ ข้าย่อมหมายความเช่นนั้นจริง จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่นี่คล้ายกับบ้านเกิดของข้ามาก แต่ความก้าวหน้าของประวัติศาสตร์ไม่เหมือนกัน ราวกับแม่น้ำที่ไหลมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันแต่เมื่อถึงจุดสำคัญกลับไหลไปคนละทาง”
“ดังนั้นข้ามาจากจักรวรรดิเสวียนเฉิน แต่ไม่ใช่จักรวรรดิเสวียนเฉินของที่นี่ แต่เป็นในอีกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น”
“ที่นี่…โลกศิลา!” ปรมาจารย์แห่งไฟเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพึมพำเบาๆ ชื่อนี้หวังเป่าเล่อเป็นคนบอกเขา แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะบอกเขา ความจริงแล้วผู้ฝึกตนชั้นยอดของจักรวาลผืนนี้ส่วนใหญ่มีสัมผัสเชื่อมต่อและวิจารณญาณ แต่เนื่องจากขาดข้อมูลที่จำเป็น ดังนั้นสำหรับปรมาจารย์แห่งไฟนั้นต่อให้ทั้งจักรวาลกลายเป็นแผ่นศิลาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่…จากที่อู๋น้อยว่า หากที่นี่และบ้านเกิดของเขาเหมือนกันขนาดนั้น เรื่องราวที่อยู่ในนั้นก็ทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
มีทั้งตระกูลไม่รู้สิ้น มีทั้งจักรวรรดิเสวียนเฉิน…เหมือนกับภาพสะท้อนในกระจก
“คนล่ะ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนสองคนที่เหมือนกันทุกประการหรอกกระมัง” เจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาที่อยู่ด้านข้างต่างก็นิ่งงัน จนโจวเสี่ยวหยาอดอ้าปากค้างไม่ได้
“ตอนนี้ข้ายังไม่เจอและคงไม่…” อู๋น้อยรีบตอบด้วยความเคารพ กล่าวจบก็ลังเลไปชั่วครู่ ก่อนจะมองหวังเป่าเล่อที่นิ่งเงียบแล้วหันไปมองปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังทำสายตาตกตะลึง แล้วว่าต่อ
“นอกจากนี้…ข้าเคยเห็นระดับจักรวาลที่นี่และรู้สึกว่า…มันต่างจากระดับจักรวาลของบ้านเกิดข้า อย่างพ่อข้ามากทีเดียว…”
“หืม?” ดวงตาปรมาจารย์แห่งไฟสว่างวาบอีกครั้งและอู๋น้อยที่เห็นแสงนั้นพลันถอยร่นไปพร้อมยิ้มแหย
“ท่านปรมาจารย์อย่าเพิ่งตื่นเต้น นี่เป็นแค่การคาดเดาจากระดับการฝึกตนของข้า ไม่แน่ว่าจะจริง”
“พูดต่อสิ!” ปรมาจารย์แห่งไฟเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากสงบจิตสงบใจแล้วก็เอ่ยช้าๆ
อู๋น้อยเกิดความสงสัย
“พูดมาเถอะ” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองอู๋น้อย
ได้ยินหวังเป่าเล่อว่าเช่นนั้น อู๋น้อยก็หายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนต้องการพูดออกมา
“ระดับจักรวาลของบ้านเกิดข้าอย่างเช่นท่านพ่อของข้านั้น ข้าคิดว่าระดับของเขาสูงกว่าระดับจักรวาลของที่นี่มากทีเดียว เหมือนกับ…ระดับจักรวาลของที่นี่ไม่เสถียรและไม่สมบูรณ์เล็กน้อย ดูเหมือนระดับเดียวกันแต่ความจริงเป็นเหมือนดอกไม้ในกระจก เหมือนกับ…”
“ของปลอม?” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยแทรกขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแนวคิดที่วนเวียนอยู่ในจักรวาลแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อนว่าที่นี่…เป็นของปลอม
“จะบอกว่าปลอมก็ไม่ได้หรอก กล่าวได้แค่ว่าไม่สมบูรณ์อย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อยกเว้น อย่างท่านพ่อ…เขาไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่สมบูรณ์แบบ แต่ยังครบเครื่องยิ่งกว่าผู้ฝึกตนทั้งหมดที่ข้าเคยเห็นในบ้านเกิดของข้าเสียอีก!” อู๋น้อยเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองหวังเป่าเล่ออย่างกระหายใคร่รู้
“เป่าเล่อ เจ้ารู้ความจริงของจักรวาลผืนนี้หรือไม่…” ปรมาจารย์แห่งไฟหายใจถี่กระชั้นพร้อมหันขวับมามองหวังเป่า
หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ บางอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีจึงเพียงแค่แผ่กระแสเต๋าออกไป เพื่อบอกทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ไปยังสัมผัสสวรรค์ของอาจารย์ด้วยวิถีเต๋า
นอกจากตะปูไม้สีดำของตน หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องอื่นอีก
เมื่อสัมผัสกับกระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อ สายตาปรมาจารย์แห่งไฟก็ดูมึนงง ก่อนจะค่อยๆ ว่างเปล่า จนกระทั่งถอนหายใจยาวเหยียดในตอนสุดท้ายด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ไม่จริง แต่ก็ไม่ปลอม เป็นเช่นนี้เอง เป็นเช่นนี้เอง” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำ สีหน้าดูอ่อนล้าเล็กน้อย ความจริงนี้กระแทกใจเขาอย่างจัง แม้แต่ระดับการฝึกตนระดับเขาก็ยังต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลสักพัก ดังนั้นหลังจากถอนหายใจ ร่างปรมาจารย์แห่งไฟก็หายวับ
“เป่าเล่อ อาจารย์ขอพักผ่อนก่อนนะ”
ผู้ที่หายวับไปยังมีวัวเฒ่าและศิษย์พี่หญิงใหญ่ ในสายตาคนนอกจะเห็นพวกเขาหายไปพร้อมเปลวเพลิง แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าสิ่งนี้เกิดจากความตื่นตกใจของอาจารย์
การจากไปของปรมาจารย์แห่งไฟทำให้อู๋น้อยทำอะไรไม่ถูกจึงยืนมองหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้นอย่างกระตือรือร้น สีหน้าหวังเป่าเล่อสงบลงแล้ว คำพูดของอู๋น้อยไม่ได้ทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนมากนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็รู้นานแล้ว สิ่งที่กระทบเขามากที่สุดก็คงจะเป็นแค่การยืนยันเท่านั้น
ยืนยันบางสิ่งที่เขารู้มาก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเข้าใจโลกศิลาแห่งนี้มากขึ้นอีกนิด เมื่อรวมกับที่มาของอู๋น้อย หวังเป่าเล่อก็พอจะเห็นภาพรวมแล้ว
ก่อนหน้าวันเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริงอันไกลโพ้นมีพระเจ้าองค์หนึ่ง คนผู้นี้ถูกเรียกว่ามหาเทพ บางทีเขาอาจจะเป็นเซียนหรือบางทีเขาอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือเซียนขึ้นไปอีก
แต่ไม่ว่าอย่างไรความแข็งแกร่งของเขาล้วนอยู่เหนือจินตนาการ แต่เขาก็ไม่ใช่ศัตรู ตะปูไม้สีดำบนหว่างคิ้วคือกุญแจสำคัญในการจัดการเขา
และเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก เขาได้กระจายร่างแยกจำนวนมากออกไปในจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุดนอกเขตจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น และก่อตัวขึ้นเป็นตระกูลไม่รู้สิ้นทีละคน จากนั้นก็ค่อยๆ เสริมกำลังแต่ละร่างเพื่อให้การเลี่ยงความยุ่งยากมีความหวัง
“บางทีกู่กับหลัว แม้จะมาจากจักรวาลที่ต่างกัน แต่พวกเขาต่างอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเทพคนนั้นอยู่ระยะหนึ่ง…”
ก็เหมือนกับภาพวาดที่เขาเห็นด้วยความช่วยเหลือจากรูปปั้นแกะสลักในวัดใต้แม่น้ำแห่งความมืด รอบร่างสง่างามที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในจักรวาลมีร่างที่เล็กกว่าเขาอยู่ไม่น้อย
แต่ละร่างคงจะเป็นผู้สูงส่งที่สุด!
“มหาเทพถูกตรึง กู่และเทียนต่อสู้เพื่อความเป็นอมตะและแยกจาก…”
เวลาเดียวกันจักรพรรดิที่ระดับการฝึกตนน่าทึ่งแห่งจักรวรรดิเสวียนเฉินในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริงคงจะเป็นหนึ่งในร่างพวกนั้น เขาเลือกตั้งตัวเป็นอิสระ
แต่สุดท้ายกลับถูกมหาเทพปราบ ทั้งจักรวรรดิถูกทำลาย ขณะเดียวกันเขาก็คงทำอะไรไม่ได้จึงส่งลูกชายของตนเข้าไปในห้วงแห่งกาลเวลา
ตอนที่ปรากฏตัวจึงได้มาปรากฏตัวตรงหน้าเขาในกาลเวลาปัจจุบันของโลกศิลา
เมื่อรวมกับนิ้วชี้ของหลัวในตอนนั้น จากนั้นก็ผนึกแขนทั้งหมดและรวมปรมาจารย์ตระกูลไม่รู้สิ้นในโลกศิลาก็ยังไม่สามารถหนีออกไปได้ และปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกครั้ง…
“จากการคำนวณทุกด้าน บางทีที่นี่อาจกลายเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของร่างแยกสำหรับมหาเทพ” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขาคิดว่าการวิเคราะห์ของตนอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่คงมาถูกทางแล้ว
“นี่คือกระดานหมากรุก…โลกศิลาคือกระดานหมากรุก ฝ่ายที่เล่นคือมหาเทพ อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้แข็งแกร่งอย่างพวกจักรวรรดิเสวียนเฉินหรือหลัว ส่วนตัวหมาก…ก็คือข้า ร่างแยกมหาเทพ แม้แต่อู๋น้อยก็ด้วย” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบแล้วถอนหายใจ หลังจากครุ่นคิดทั้งหมดแล้วก็เก็บมันไว้ในใจ เตรียมจะถามอู๋น้อยเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงกาลเวลา
ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เขาแข็งแกร่งขึ้นก็จะเป็นรากฐานรองรับทุกสิ่งได้
ทว่า ตอนนั้นเองอาจเป็นเพราะวันนี้เขาคิดมากเกินไป หลังจากความคิดทุกอย่างตีกันในหัว ความคิดหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อก็ผุดขึ้นทันที
“หืม?”
“ทำไมถึงเลือกโลกศิลาเป็นกระดานหมากรุก ทำไมข้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่ เป็นไปได้ไหมว่า…กระดานหมากรุกจะไม่ได้มีที่เดียวและข้าเองก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว…ร่างแยกของมหาเทพทั้งหมดที่กำเนิดขึ้นในโลกไม่รู้สิ้นในจักรวาลต่างๆ ล้วนมีข้าอีกคน!”
ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตาเบิกโพลง แม้แต่ระดับการฝึกตนก็ยังสั่นคลอนจากความคิดนี้
มหาเทพหนึ่งแสนร่างก่อตัวเป็นหนึ่งแสนโลก
ตรึงหนึ่งแสนเทพก่อตัวเป็นหนึ่งแสนความคิด!
…………………………