ตอนที่ 755 ภรรยาตัวน้อยสมควรกักเอาไว้ในอ้อมกอดตลอด ปล่อยเป็นหาย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เฝ้าติดตามมาตลอด แต่ก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแล 

 

 

คราวนี้ นัยตาของหลีฉิงถึงกับหลอมรวมกันขึ้นมา นัยตาที่ดำลึกและมืดสนิทดุจพื้นถ้ำ เพียงเหลือบมองแค่แวบเดียวก็แทบจะดึงดูดคนให้จมดิ่งเข้าไป 

 

 

นัยตาที่ลึกล้ำคู่นั้น ลดทอนความเย็นชาลงไปหลายส่วน แต่กลับเพิ่มพูนความโลภขึ้นมาอีกมากมาย 

 

 

“เจ้ากับมันไม่ทางลงเอยกันได้หรอก มิสู้มาอยู่กับข้าดีกว่า เจ้ากับข้าต่างหากที่เป็นพวกเดียวกัน…..” หลีฉิงมองดูนางอย่างลึกซึ้ง แสยะมุมปาก เผยให้เห็นฟันที่แหลมคมน่าสะพรึงกลัว 

 

 

“พวกเดียวกับพ่อเจ้านะสิ!” ตู๋กูซิงหลันอยากจะเอาบะหมี่ผักดองสาดหน้ามันอยู่รอมร่อ 

 

 

นางคร้านที่จะโต้ฝีปากกับหลีฉิงอีกต่อไป ในมือผุดพลังวิญญาณที่หนาแน่นขึ้นมา คิดจะเป่ามันให้ดับในคราเดียว 

 

 

คฑาสีดำถูกพลังวิญญาณของนางกระตุ้น ก็ตอบรับในทันที คฑาไม้สีดำเหมือนมีชีวิตขึ้นมา เกิดเป็นเถาวัลย์สีดำงอกเงยจากไม้คฑา ขณะเดียวกันก็งอกขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของหลีฉิงออกมา 

 

 

มันเลื้อยขึ้นไปบนร่างกายของหลีฉิงราวงูน้ำ จากนั้นเถาวัลย์สีดำก็กลายเป็นกรงขังหลังหนึ่งที่กักร่างของหลีฉิงเอาไว้ในชั่วพริบตา 

 

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงจบ หลีฉิงมิได้ต่อต้านเลยไม่แต่น้อย 

 

 

เขาปิดดวงตาลง ราวกับต้องการซึมซับความรู้สึกของพลังเหล่านั้น 

 

 

บนเถาวัลย์มีกลิ่นหอมของดอกฮว๋าย ทั้งยังมีไอหยินที่เข้มข้น เป็นจู่ฮว๋าย ไม่ผิดอย่างแน่นอน 

 

 

ครู่หนึ่ง เขาค่อยลืมตาขึ้นมา ขณะที่กำลังจะพูด ก็เห็นว่าที่ด้านหลังของจีเฉวียนมีดาบสีดำอมทองนับร้อยนับพันเล่ม กำลังจะพุ่งเข้ามาตรงหน้าเขาอย่างเต็มกำลัง แทงเขาให้พรุนเป็นตัวเม่น 

 

 

หลีฉิงกลับไม่ร้อนใจ เพียงหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา นัยตายังคงเย็นชาเช่นเดิม “ถูกเราพูดแทงใจเข้า ก็เลยมีโทสะสินะฮะ ฮะ….” 

 

 

ว่าแล้ว สายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง “เจ้าและข้ามีเกิดจากรากเหง้าเดียวกัน คำพูดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย จู่ฮว๋าย เจ้าไม่อาจอยู่ร่วมกับซีเหอ ชาติก่อนทำไม่ได้ ชาตินี้ก็ไม่สำเร็จเช่นกัน!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าพล่ามมากไปแล้ว” 

 

 

จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือควบคุมดาบสีดำอมทองนับร้อบนับพันเอาไว้ “ข้ากับซิงซิง จะอยู่เคียงคู่กันชั่วนิรันดร์ ไม่รบกวนเจ้าต้องกังวลใจ” 

 

 

เรื่องของซีเหอและจู่ฮว๋ายที่เขาต้องการได้รู้จากหลีฉิง แน่ชัดว่าคนผู้นี้คงไม่ยอมบอกออกมาง่ายๆ ไม่เป็นไรไม่ต้องรีบร้อน ทำลายมันทิ้งก่อน ขณะที่ร่างของมันกำลังจะตายพริบตานั้นค่อยเข้าไปในจิตสำนึกของมัน เช่นนี้ก็สามารถล่วงรู้ได้เหมือนกัน 

 

 

พอได้ยินแล้ว หลีฉิงก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชากว่าเดิม 

 

 

เขาขยับกรงเล็บ คิดจะกระชากเถาวัลย์สีดำรอบกายออกไป แต่แล้วก็พบว่ามิว่าจะเขย่าอย่างไรก็ไม่สามารถขยับกรงได้! 

 

 

ราวกับว่าอยู่ๆทั่วทั้งร่างถูกกักขังกังเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื่อน 

 

 

ในที่สุดในแววตาของเขาก็ค่อยปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงตู๋กูซิงหลันหัวเราะขึ้นมา “ข่ายยันต์กักขังร่างของข้า หากเจ้ายังหนีได้ก็ผีหลอกแล้ว” 

 

 

ตั้งแต่ก่อนที่เถาวัลลย์สีดำนี้จะงอกขึ้นมา นางก็ลงมือก่อนก้าวหนึ่งใส่ยันต์กักขังร่างลงไปในไม้คฑาสีดำแล้ว 

 

 

ไม้คฑานี้ถือเป็นBUG ไม่เพียงแต่สามารถดูดซับพลังวิญญาณของฝ่ายศัตรู แต่ยังสามารถใช้ต่อสู้ ทำทุกอย่างได้ดั่งใจนึก 

 

 

ตัวอย่างเช่นเมื่อนางต้องการสร้างกรงขังขึ้นมาหลังหนึ่ง ไม้คฑานี้ก็สามารถสร้างเถาวัลย์สีดำขึ้นมาได้เลย 

 

 

อย่าได้เห็นว่าเถาวัลย์นี้เป็นเพียงเถาวัลย์ของต้นฮว๋าย ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งและทนทานของมันยังยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก 

 

 

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำกับข้า?” หลีฉิงชักจะโกรธเคืองขึ้นมาแล้ว 

 

 

“เฉวียนเฉวียน ฆ่ามันเลย!” ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่เสียเวลาพูดไร้สาระกับมันอีกต่อไป นางแทบจะอยากใช้ดาบดำอมทองแทงมันให้พรุนด้วยตนเองด้วยซ้ำ 

 

 

ต่อให้มันเป็นเพียงจิตมาร แต่หากถูกดาบดำอมทองของจีเฉวียนระดมแทงลงไป ก็ต้องแตกสลายได้เหมือนกัน 

 

 

เพราะว่ามันพึ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อครู่ แม้จะได้กลืนกินซือเป่ยลงไป แต่พละกำลังก็ยังไม่ฟื้นคืนมาทั้งหมด 

 

 

เหล่ามารทั้งหลายได้แต่เฝ้ามองอยู่ด้านข้าง โดยไม่กล้าลงมือ 

 

 

ผู้ที่แม้แต่จอมมารยังกล้าปะทะด้วย พวกเขาย่อมมิใช่คู่มืออยู่แล้ว 

 

 

ในขณะเดียวกัน ณ สถานที่ห่างไกลออกไปนับพันลี้บนแดนสวรรค์ ตี้เสียที่หลับลึกไปเนิ่นนาน พลันลืมตาขึ้นมา 

 

 

ส่วนหลีฉิงที่ถูกกักขังเอาไว้อย่างแน่นหนาในกรงเถาวัลย์ ก็พลันหายสาบสูญไปในชั่วพริบตา 

 

 

ดาบสีดำอมทองทั้งหมดแทงลงไป โดนแต่ความว่างเปล่า ในกรงขังมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที 

 

 

“ตัวเจ้าเล่ห์ที่กลิ้งกลอกนัก ในที่สุดก็ปล่อยให้มันหนีไปจนได้!” ยันต์กักขังร่างของนางเมื่อรวมกับกรงเถาวัลย์ดำ ย่อมต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เพื่อป้องกันความผิดพลาด นางถึงกับกระตุ้นพลังของหยกสรรพชีวิตออกมา ว่ากันตามเหตุผลแล้วมิว่าอย่างไรหลีฉิงก็ไม่สมควรที่จะหลบหนีไปได้ 

 

 

จีเฉวียนเองก็หรี่ดวงตาหงส์ทั้งคู่ลงเช่นกัน 

 

 

พอเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังจะไล่ตามไป เขาก็คว้าเจ้าตัวน้อยเอาไว้อย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวก่อน อย่าได้วิ่งวุ่นวาย” 

 

 

ภรรยาตัวน้อยสมควรถูกจับเอาไว้ในอ้อมแขนตลอดเวลา คลายมือเมื่อใดเป็นหายวับ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยู่ปาก “แต่ว่าเจ้าตัวร้ายนั่น….” 

 

 

“ดูท่าคงจะพุ่งกลับไปรวมกับตี้เสียแล้ว” แววตาของจีเฉวียนเคร่งขรึมลง “จิตมารของเขาคงจะถูกเรียกกลับไปอย่างกระทันหันอย่างแน่นอน” 

 

 

จีเฉวียนอธิบายเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็พอจะเข้าในได้เกือบหมดแล้ว 

 

 

นางตบเข่าดังฉาด หงุดหงิดอย่างยิ่ง “ล้วนเป็นเพราะถูกมันพูดจาโยกโย้ไปมา จึงได้ทำให้พวกเราล่าช้าไป จึงได้เปิดโอกาสให้เจ้านั่นหลบหนีไป!” 

 

 

ตอนนี้กลับถูกตี้เสียเรียกกลับคืนไปแล้วหรือ? 

 

 

พอคิดถึงตี้เสีย….ตู๋กูซิงหลันก็ต้องส่ายศีรษะ เป็นเช่นนี้ไม่ดีเอาเสียเลย 

 

 

ในเมื่อที่แท้แล้วหลีฉิงก็คือดวงจิตที่แยกออกมาจากตี้เสีย ตอนนี้เมื่อถูกเรียกกลับไปก็คงจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว 

 

 

เกรงว่าผู้สูงส่งบนแดนสวรรค์ผู้นั้น นับจากนี้เป็นต้นไปคงจะเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม! 

 

 

“พวกเราไม่อาจปล่อยให้มันหนีไปเช่นนี้ใช่หรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกใจไม่สงบ เหมือนปล่อยเสือเข้าป่าไปอย่างไรก็ไม่รู้ 

 

 

จีเฉวียนใช้มือบีบปลายจมูกของนางเบาๆครั้งหนึ่ง “ย่อมต้องเข่นฆ่าขึ้นไปบนแดนสวรรค์ กำจัดทั้งหมดให้สิ้นซากในครั้งเดียว” 

 

 

มันกลับไปรวมกับตี้เสียก็นับว่าดีแล้ว สังหารทั้งสองไปพร้อมกัน จะได้ลดเรื่องยุ่งยากไปเรื่องหนึ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันจะได้พูกอะไรอีก ทางด้านบนเวทีก็เกิดความเคลื่อนไหว 

 

 

“หยวนเมิ่ง?” ตู๋กูจุนคุกเข่าข้างหนึ่อยู่ข้างๆหุ่นมนุษย์ จึงได้เห็นว่าตอนนี้มีแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งส่องออกมาจากในหุ่น 

 

 

ภายใต้แสงสว่างนั้น หุ่นมนุษย์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่มีขนาดเพียงฝ่ามือ ก็ค่อยๆกลายเป็นทารกหญิง จากทารกหญิงเติบโตเป็นเด็กหญิงตัวน้อย สุดท้ายเด็กน้อยกลายเป็นสาวน้อยขึ้นมา 

 

 

และพร้อมๆกันนั้นแสงสีแดงทำให้เห็นรูปร่างเด็กที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็เห็นว่าร่างกายนี้มิได้สวมใส่เสื้อผ้า 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดู ก็ผลักความหงุดหงิดที่หลีฉิงทิ้งเอาไว้ไปยังด้านข้าง ในดวงตาดอกท้อทั้งคู่มีประกายสดใส 

 

 

“นางกลับมาแล้ว!” นางโอบรอบลำคอของจีเฉวียน ด้วยความตื่นเต้นยินดี 

 

 

จีเฉวียนกลับมิได้หันศีรษะกลับไป และไม่ได้เหลือบแลบนเวทีเลยสักนิด ปลายเท้าขยับวูบหนึ่ง แรงกดดันมหาศาลก็บีบอัดออกไป ข่มจนเหล่ามารที่หลบหนีไม่ทันเหล่านั้นได้แต่หมอบราบอยู่บนพื้น ไม่กล้าสร้างความวุ่นวาย 

 

 

ส่วนบนเวที แสงสีแดงค่อยๆจางหายไป สาวน้อยที่งดงามผู้นั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ 

 

 

สายตานั้น แทบดึงดูดชีวิตของตู๋กูจุนทั้งหมดเข้าไป 

 

 

…………….