ราชันเร้นลับ 1090 : ตำนานสยองขวัญ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ยามราตรีบนท่าเรือพริสต์ ในสุสานย่านชานเมือง

 

บรรดาเหยื่อที่เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดของเรือเหาะจะถูกนำร่างมาไว้ที่นี่ โดยมีนักบวชและบิชอปของสามโบสถ์หลักกำลังยุ่งอยู่กับการปลอบดวงวิญญาณคนตายและป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ

 

ภายในวันสั้นๆ เพียงหนึ่งวัน ภรรยาหลายคนต้องสูญเสียสามี บุตรหลายคนต้องสูญเสียมารดา หลายครอบครัวเหลือสมาชิกเพียงคนเดียว ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้กำลังเดินเตร็ดเตร่ในสุสาน บางคนเงียบขรึม บางคนหลั่งน้ำตา บางคนร้องไห้จนหมดสติ

 

ไคลน์ที่สวมใบหน้าดาษดื่นยืนปะปนกับฝูงชน เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบงัน ทำเอานึกถึงงานศพที่มันเคยเข้าร่วม

 

ในช่วงก่อนหน้านี้ อาศัยประโยชน์จากความมืด ชายหนุ่มตระเวนใช้ไม้เท้าแห่งชีวิตรักษาเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ ในกรุงเบ็คลันด์และท่าเรือพริสต์ ขณะเดียวกันก็ทิ้งตำนานสุดสยองขวัญและน่าสะพรึงเอาไว้เพื่อย่อยโอสถจอมเวทพิสดาร

 

มันทราบดี หากเรื่องราวสุดประหลาดข้างต้นแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ซาราธซึ่งอยู่ในเบ็คลันด์จะทราบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและรีบส่งหุ่นเชิดไปตรวจสอบ ดังนั้น ก่อนที่ข่าวจะแพร่กระจาย ไคลน์รีบใช้เทเลพอร์ตเพื่อย้ายตำแหน่งตัวเองไปทุกโรงพยาบาล สร้างเรื่องราวสยองขวัญประเภทต่างๆ พลางรักษาผู้ป่วยหนัก

 

ทันทีข่าวลือแพร่กระจายออกไป มันเชื่อว่าผลตอบรับอันล้นหลามจะช่วยให้การย่อยโอสถมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด

 

แต่ไคลน์ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ความจริงที่ว่า ในกรุงเบ็คลันด์ยังมีการวางแผนชั่วของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด รวมไปถึงซาราธ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นใบมีดที่ถูกแขวนไว้เหนือศีรษะชายหนุ่ม พวกมันคอยผลักดันให้ไคลน์มองหาโอกาสใหม่ๆ ตลอดเวลา

 

ด้วยเหตุผลข้างตน มันตัดสินใจแวะมาดูความโศกเศร้าของผู้คน

 

หลังจากเงียบงันสักพัก ไคลน์ถอนสายตากลับ หันหลังและเดินออกจากสุสาน

 

เมื่อถึงจุดปลอดคน ถุงมือข้างซ้ายเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มและมีเกล็ดปลาปกคลุม

 

สายลมกระโชกพัดพาไคลน์ลอยขึ้นไปในอากาศจนถึงท่าเรือ

 

บนผิวทะเลในจุดที่ห่างออกไปไกล กองเรือโซเนียของฟุซัคกำลังจอดทอดสมออย่างเงียบเชียบ คล้ายกับกำลังเติมกระสุนเพื่อเตรียมถล่มอู่ต่อเรือที่ยังหลงเหลือบนชายฝั่ง

 

ใช้เวลาไม่นาน ไคลน์มาถึงเขตซากปรักหักพังบนท่าเรือ สายตากวาดมองไฟสลัวยามค่ำคืนอันมืดมิด

 

พร้อมกันนั้น หุ่นเชิดทั้งสองของชายหนุ่มใช้พลังกระโจนเพลิงเพื่อลงไปด้านล่าง แยกย้ายไปตามจุดอับสายตา

 

ฉากที่ได้เห็นและได้ยินเมื่อครู่ทำให้ไคลน์ไม่ลังเลเกี่ยวกับสิ่งที่ตนต้องกระทำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสับสนอยู่เล็กน้อย

 

การตอบโต้ผู้บุกรุกถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ถ้ากองเรือของฟุซัคได้รับความเสียหายหนัก ฝ่ายที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้นจอร์จที่สามแห่งโลเอ็น ชายผู้อยู่เบื้องหลังสงคราม หนึ่งในตัวการใหญ่!

 

โลกที่เต็มไปด้วยหลักการใบนี้ หากได้สัมผัสอย่างถ่องแท้จะพบว่า ในบางครั้ง การไม่ทำอะไรเลยคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่นั่นกลับทำให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยความขัดแย้ง… ไคลน์ถอนหายใจพลางนึกทบทวนข้อมูลจากแฮงแมน:

 

ผู้บัญชาการกองเรือโซเนียของจักรวรรดิฟุซัคมีนามว่า พลเรือเอกอีกอร์·ไอน์ฮอร์น ครึ่งเทพที่เกิดในราชวงศ์ ลำดับปัจจุบันคือ ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ ลำดับ 4 แห่งเส้นทางนักบวชสีชาด!

 

ด้วยข้อมูลดังกล่าว ไคลน์นึกทบทวนรายละเอียดและประเด็นสำคัญด้านอื่นจากไพ่นักบวชสีชาด:

 

อัศวินเลือดเหล็กสามารถเปลี่ยนสตรีให้เป็นบุรุษซึ่งมีความกล้าหาญดุจดังเหล็กกล้า ไม่เพียงแต่จะใช้เปลวไฟได้หลากหลาย แต่ยังชำนาญจนถูกยกย่องให้เป็นเลิศในด้านดังกล่าว ทำได้แม้กระทั่งการสร้างเหล็กกล้าจากไฟ…

 

 

บน ‘นีโพส’ เรือธงของกองเรือโซเนียแห่งฟุซัค

 

อีกอร์·ไอน์ฮอร์นผู้มีร่างกายกำยำ สูงกว่าสองเมตร หนวดเคราดกหนารอบริมฝีปาก กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะทำงานพร้อมกับกางแผนที่ จิบไวน์เลือดโซเนียและวางแผนขั้นตอนถัดไป

 

หลังจากรุ่งสาง กองเรือเหาะของโลเอ็นจะลงมือโจมตี… และเรือรบหุ้มเกราะ ‘พริสต์’ กับกองเรือคุ้มกันก็จะกลับมาถึงในอีกไม่ช้า หากเรายังปักหลักอยู่ที่นี่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ…

 

แม้ว่าเราจะเป็นอัศวินเลือดเหล็กที่สามารถรวบรวมพลังโจมตีจากทั้งกองเรือมาไว้กับตัว รวมถึงกระจายความเสียหายที่ได้รับออกไปหาทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่ผู้บัญชาการกองเรือรบหุ้มเกราะน่าจะเป็นครึ่งเทพเส้นทางผู้ตัดสิน หรือไม่ก็พกพาสมบัติปิดผนึกของเส้นทางดังกล่าว การรับมือไม่ใช่เรื่องง่าย… หากประมาท อีกฝ่ายจะฉวยโอกาสจากความเร็วของเรือและอาวุธที่ล้ำสมัยบนเรือ…

 

การถอยคือทางเลือกที่ดีที่สุด จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากความบอบช้ำของกองทัพเรือโลเอ็นและการขาดแคลนกำลังพล ลอบโจมตีท่าเรือชายฝั่งแห่งอื่นๆ ต่อไป…

 

หึหึ… ไม่มีสถานการณ์ใดเหมาะแก่การย่อยโอสถไปมากกว่าสงครามอีกแล้ว…

 

น่าเสียดายที่เรายังไม่กลายเป็นนักบวชสงครามก่อนศึกจะเริ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจได้เป็นถึงเทวทูตทันทีที่สงครามจบลง… เฮ้อ… มีเพียงนักบวชสงครามเท่านั้นจึงจะใช้ประโยชน์จากกองทัพได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แตกต่างจากเราที่ทำได้แค่รวบรวมพลังมาไว้กับตัวเอง…

 

ท่ามกลางกระแสความคิด อีกอร์·ไอน์ฮอร์นเตรียมใช้พลังของอัศวินเลือดเหล็กติดต่อกับ ‘ทหารใต้บังคับบัญชา’ เพื่อแจ้งให้อีกฝ่ายช่วยเรียกรองกัปตันมาเข้าพบ เตรียมปรึกษาเกี่ยวกับการออกคำสั่งล่าถอยยามค่ำคืน

 

ทันใดนั้น มันหันไปมองทางประตู

 

ก๊อก!

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดังกังวานภายในห้องที่เงียบสงบ

 

สัญญาณเตือนก่อนลงมือโจมตี… ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในหัวอีกอร์ สติของมันเต็มไปด้วยความเครียดในพริบตา

 

ในศึกระหว่างครึ่งเทพ ไม่ว่าจะเป็นการวางกับดัก ลอบจู่โจม หรือโจมตีทีเผลอล้วนเป็นเทคนิคสำคัญในการเปิดศึก ช่วยให้เอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือใกล้เคียงกันได้ง่ายขึ้นมาก ไม่อย่างนั้นโอกาสสำเร็จจะริบหรี่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การจงใจส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าคือเครื่องพิสูจน์ว่า ฝ่ายโจมตีมีระดับหรือความแข็งแกร่งสูงกว่าเหยื่อมาก

 

ในฐานะอัศวินเลือดเหล็กมากประสบการณ์ อีกอร์คำนึงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด รีบปลุกลูกเรือและทหารทั้งหมดบนนีโพสที่มีสายสัมพันธ์ ‘เชื่อมต่อ’ อยู่กับตน

 

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้น

 

ปัง!

 

การเคาะประตูในหนนี้ดังอึกทึกราวกับเสียงปืนใหญ่คำราม ทำเอาอีกอร์รู้สึกเหมือนกับมีระเบิดดังขึ้นข้างหู

 

ท่ามกลางสติที่ตึงเครียดและการตั้งใจฟังเสียงสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด เสียงระเบิดเมื่อครู่ไม่ต่างอะไรกับการคำรามจาก ‘ผู้สังเวยภัยพิบัติ’ !

 

เพียงพริบตา อีกอร์หูดับและเริ่มวิงเวียนศีรษะ

 

มันรีบกระจายความเสียหาย ส่งผลให้ทุกคนบนเรือนีโพสออกอาการหูอื้อเล็กน้อย

 

ทันทีหลังจากนั้น อีกอร์คว้าปากกาบนโต๊ะพร้อมกับโยนไปทางประตู

 

ปากกาสีแดงเข้มแท่งนี้สร้างภาพตกค้างขณะลอยกลางอากาศ ประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงจากปากกระบอก

 

สำหรับอัศวินเลือดเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุธรรมดาเพียงใด ทุกสิ่งสามารถกลายเป็นอาวุธสังหารที่น่าสะพรึงได้ด้วยการเสริมพลังจากตน!

 

ปัง!

 

ประตูห้องที่ถูก ‘ยิง’ ด้วยปากกาหมึกซึมพลันอ้ากว้าง เผยให้เห็นร่างผู้เคาะประตูที่ยืนอยู่บนทางเดิน

 

อีกฝ่ายเป็นชายสวมเสื้อกันลมสีดำ ร่างกายบางราวกับกระดาษ ใบหน้าปราศจากอวัยวะทุกชนิด

 

ในเวลาเดียวกัน ปากกาหมึกซึมระเบิดออก สะเก็ดกระจายไปทุกทิศราวกับปืนกล กวาดร่างที่เคาะประตูอย่างท่วมท้น ฉีกกระชากให้กลายเป็นเศษเนื้อบด

 

อีกอร์ยังไม่ผ่อนคลาย เพียงยืนขึ้นและมองไปรอบตัวด้วยความระมัดระวัง

 

มันมั่นใจว่าผู้เคาะประตูตัวจริงยังไม่ ‘ปรากฏ’ ออกมา!

 

ในเวลาเดียวกัน รองกัปตันที่อยู่ในห้องฝั่งตรงข้าม เปิดประตูและวิ่งออกมาเห็นกองเลือดเนื้อนองบนพื้น จึงถามด้วยความฉงน

 

“ท่านนายพล… เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ผู้บุกรุก…” ยังไม่ทันสิ้นเสียง อีกอร์รีบจ้องไปทางรองกัปตัน

 

รองกัปตันถอนสายตาออกจากก้อนเลือดบนพื้นและบรรจงเงยหน้าขึ้น

 

ใบหน้าของมันปราศจากคิ้ว ดวงตา จมูก ปาก ทุกสิ่งว่างเปล่าเหมือนกับคนเคาะประตูเมื่อครู่

 

หัวใจอีกอร์พลันเต้นระรัว ร่างกายของมันลุกโชนด้วยเปลวไฟ กลายเป็นเพลิงที่ยิงออกไปในทุกทิศ

 

หลังจากเปลวเพลิงสีแดงเหลืองหายไปจากจุดเดิม พวกมันพุ่งเข้าไปล้อมรองกัปตันด้วยความเร็วสูง

 

เพียงพริบตา เปลวไฟเริ่มมอดลงพร้อมกับร่างของรองกัปตันที่ไหม้เกรียม

 

เมื่อสายลมเย็นพัดผ่าน เถ้าถ่านจากศพรองกัปตัน ปลิวไสวไปตามแรงแรงลม

 

เปลวไฟยังไม่หายไปโดยสมบูรณ์ แต่พุ่งออกมายังดาดฟ้าเรือและรวมตัวกลายเป็นอีกอร์ร่างบึกบึนกลางอากาศ

 

ทันใดนั้น มันเห็นกลุ่มนกทะเลกำลังโบยบิน ทุกตัวมีหัวเป็นมนุษย์ แต่ปราศจากใบหน้าและศีรษะล้าน!

 

อีกอร์ครางต่ำในลำคอ เปลวเพลิงรอบตัวถูกระดมยิงใส่ฝูงนกทะเลพิสดารด้วยความเร็วสูง

 

ทันใดนั้นเอง มันได้ยินเสียงโลหะเสียดสี จึงมองหาต้นตอโดยอาศัย ‘ดวงตา’ ของทหารที่เชื่อมต่อ

 

จนกระทั่งพบแหล่งที่มาของเสียง ร่างกายอีกอร์พลันเย็นเยียบ ความสยองขวัญและสั่นสะท้านถาโถมเข้าใส่จิตใจอย่างมิอาจต้านทาน

 

บนเรือประจัญบานลำหนึ่งของกองเรือโซเนีย ปืนใหญ่ทุกกระบอกกำลังขยับเขยื้อนด้วยตัวเองราวกับมีชีวิต!

 

ทุกกระบอกแหงนขึ้นมายังกลางอากาศโดยพร้อมเพรียง

 

กระสุนปืนใหญ่บรรจงลอยเข้าไปในปากกระบอกด้วยความกระฉับกระเฉง

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

ในวินาทีที่กระสุนถูกยิง พวกมันถูกทำลายด้วยเปลวไฟจำนวนมากที่พุ่งเป็นวิถีโค้งจากทิศทางแตกต่าง ปะทะกับกระสุนปืนใหญ่กลางอากาศจนเกิดระเบิด

 

อาศัยโอกาสดังกล่าว อีกอร์เอ่ยพระนามเต็มของ ‘ผู้บัญชาการสูงสุด’ แห่งสมรภูมิโซเนีย จอมอาคมฟ้าดินจากราชวงศ์

 

“เจ้าแห่งหมอกสนามรบ สัญลักษณ์แห่งความผันผวนของอากาศ ท่านมหาอัคห์มาโทว่า·ไอน์ฮอร์น…”

 

นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การสังหารครึ่งเทพในระดับใกล้เคียงกันเป็นเรื่องยาก พวกมันมองหาความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา

 

แต่แน่นอน จุดประสงค์หลักของผู้โจมตีอย่างไคลน์มีเพียงการสร้างฉากสยองขวัญเพื่อทำให้ครึ่งเทพหวาดกลัวโดยไม่คิดเรื่องการเอาชนะ ความปรารถนาของมันไม่มากไปกว่าการย่อยโอสถ

 

ได้เห็นฉากตรงหน้า ชายหนุ่มรีบซ่อนตัวใต้น้ำ และเนื่องจากบรรลุจุดประสงค์เรียบร้อย ไคลน์ทำการสลับตำแหน่งร่างต้นกับหุ่นเชิดโจนาสและเอ็นยูน จากนั้นก็เทเลพอร์ตออกมา

 

อย่างไรก็ตาม อีกอร์มิได้คล้ายความกังวลลง สติของมันยังคงจดจ่ออยู่กับการป้องกันภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

 

จนกระทั่งเทวทูตตอบสนอง มันจึงโล่งใจอย่างแท้จริง

 

ถัดมา อีกอร์ไม่ปล่อยให้กองเรือแช่อยู่นาน รีบออกคำสั่งถอนตัวออกจากน่านน้ำโดยทิ้งให้เรือประจัญบานลำที่กลายเป็นตำนานสยองขวัญ ลอยเท้งเต้งอยู่ในจุดเกิดเหตุตามลำพัง

 

ผ่านไปสักพัก นกทะเลตัวหนึ่งบินลงมาเกาะเสากระโดงเรือประจัญบานที่ถูกทิ้งให้เงียบสงัด

 

ใต้ตาของนกทะเลตัวนี้มีรอยหมองคล้ำ มันเหลียวซ้ายแลขวาและพูดภาษามนุษย์

 

“ข้าได้กลิ่นครึ่งเทพเส้นทางนักทำนาย…”

 

………………………………….