อันที่จริงตั้งแต่ที่เสี่ยวจินหู่บินมาถึงด้านนอกม่านพลังที่ปกป้องอาณาเขตนภา หลิงยี่เทียนที่ตัดสินใจไม่ไปที่แดนกระดูกขาวในท้ายที่สุดเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของอาณาจักรตนเอง และเหลียงเฟ่ยเอ๋อที่ต้องอยู่คอยปกป้องอาณาจักรจันทราอยู่แล้วก็รู้ตัวเช่นกันว่ามีศัตรูบุก
มี่ไลที่ยังรั้งอยู่ที่อาณาจักรจันทราก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเสี่ยวจินหู่เช่นกัน นางมองไปยังทิศทางที่เสี่ยวจินหู่อยู่สักพัก จากนั้นนางเดินไปเตะที่ท้องของง้าวเทวะพินาศ และพูดว่า “จัดการกับไอ้เสือนั่นเร็ว ข้าอยากรีบเตรียมเนื้อเสือขอบเขตศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ให้พร้อมรอให้สามีข้ากลับมาย่างมันให้พวกเรากิน! เทียน เจ้าจงเปิดม่านพลังบริเวณที่ไอ้เสือนั่นอยู่ซะอย่าให้มันสร้างความเสียหายได้ ไม่งั้นพ่อของเจ้าจะต้องเสียเวลาไปซ่อมมันหลังจากที่เขากลับมา”
อย่างไรก็ตาม หลิงยี่เทียนไม่กล้าที่จะอุกอาจสั่งง้าวเทวะพินาศแบบมี่ไล เขาหันไปหาง้าวเทวะพินาศ และเอ่ยขอร้องด้วยสีหน้าเคารพว่า “ผู้อาวุโสโปรดช่วยลงมือที!”
เมื่อได้ยินคำขอร้องอย่างสุภาพของหลิงยี่เทียน ง้าวเทวะพินาศค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน
อสูรขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญนั้นไม่ใช่ตัวตนที่พวกของหลิงยี่เทียนสามารถรับมือได้ เรื่องนี้ง้าวเทวะพินาศรู้ดี ดังนั้นมันจึงเห็นสมควรว่ามันต้องลงมือ
จากนั้นมันยื่นอุ้งเท้าของมันชี้ไปยังทิศทางที่เสี่ยวจินหู่ลอยอยู่ และปล่อยพลังของมันเข้าไปจับตัวเสี่ยวจินหู่เอาไว้และดึงกลับมาหามันอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างที่ถูกดึงร่างมายังคฤหาสน์สราญรมย์ ร่างของเสี่ยวจินหู่ก็ค่อย ๆ ถูกย่อขนาดลงเรื่อย ๆ และสุดท้ายเมื่อมันถูกดึงมาถึงตรงหน้าทุกคน ร่างของมันก็เหลือแค่ตัวขนาดเท่ากระต่าย
ง้าวเทวะพินาศใช้อุ้งเท้าหน้าของมันกดหัวเสี่ยวจินหู่เอาไว้โดยที่ยังไม่ได้ลงมือบี้ให้เละ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก
พวกเขาต่างรู้กันอยู่แล้วว่าง้าวเทวะพินาศนั้นแข็งแกร่ง แต่พวกเขานึกไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้!
แม้แต่มี่ไลที่มีความรู้เยอะที่สุดก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่เจ้าอยู่ระดับไหนแล้วกันแน่? ข้าสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้มันเหนือกว่าเมื่อก่อนนั้นหลายเท่าตัว!”
ง้าวเทวะพินาศแหงนมองนางด้วยสีหน้าภาคภูมิใจและพูดว่า “เมื่อตอนที่เจ้าเจอข้า ข้ายังไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของข้าด้วยซ้ำ เพราะหลังจากนั้นข้าก็ติดตามนายท่านไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันทำให้ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด แถมเมื่อเร็ว ๆ นี้ข้ายังได้รับรางวัลจากสวรรค์เนื่องจากข้าได้สร้างคุณประโยชน์ต่อโลก จนตอนนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าข้าพัฒนาขึ้นไปอยู่ระดับไหน”
มี่ไลอึ้งไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางยิ้มพร้อมกับลูบหัวง้าวเทวะพินาศและพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าคงต้องให้เกียรติเจ้าเพิ่มขึ้นสักหน่อย ต่อไปนี้ข้าจะไม่เตะเจ้าอีกแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ข้าขอให้เจ้าช่วยอะไรเจ้าจะต้องช่วยข้าบ้างเช่นกัน!”
ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าตอนนี้ง้าวเทวะพินาศอยู่ระดับไหน แต่ที่นางมั่นใจก็คืออำนาจของมันอยู่เหนือกว่าอาวุธเต๋าทั่วไปแน่นอน!
ง้าวเทวะพินาศพูดขึ้นโดยไม่สนใจคำพูดของมี่ไลว่า “ปล่อยลูกเสือตัวนี้อยู่กับข้าก่อน พวกเจ้าต้องรอให้นายท่านกลับมาจัดการกับมันเท่านั้น นอกจากนายท่านพวกเจ้าทุกคนล้วนรับมือกับมันไม่ไหว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มี่ไลพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะนางรู้ดีว่านอกจากหลิงตู้ฉิงไม่มีใครสามารถแล่เนื้อเสือตัวนี้เพื่อเอามากินได้แน่นอน
หลิงยี่เทียนและเหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็เดินจากไปทั้งคู่พร้อมกับคืนสภาพม่านพลังที่ปกป้องอาณาเขตนภาให้กลับกลายเป็นเหมือนเดิม
เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ จากไปแล้ว เสี่ยวจินหู่รีบพูดขึ้นทันทีกับง้าวเทวะพินาศ “ผู้อาวุโส ท่านน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์อสูรเหมือนข้าใช่ไหม? จะเป็นไปได้ไหมหากข้าขอร้องท่านให้ละเว้นข้าสักครั้งเพื่อเห็นแก่ที่พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน”
ง้าวเทวะพินาศฟุบหัวลงไปนอนต่อโดยไม่สนใจทั้ง ๆ ที่อุ้งเท้าของมันยังพาดหัวของเสี่ยวจินหู่ไว้
ทางด้านของเสี่ยวจินหู่ เมื่อเห็นว่าง้าวเทวะพินาศไม่ได้สนใจมันเลย มันจึงพึมพำขึ้นด้วยสีหน้าสลด “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ยั่วยุท่านสักหน่อย ทำไมท่านต้องช่วยคนนอกจับข้าเอาไว้แบบนี้ด้วย…”
เสี่ยวจินหู่เข้าใจผิดคิดว่าง้าวเทวะพินาศเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับมัน ดังนั้นมันจึงพยายามอ้อนวอนไม่หยุด ซึ่งง้าวเทวะพินาศก็ปล่อยให้มันพูดไปโดยที่ไม่ได้ห้ามปรามเช่นกันโดยที่มันไม่ได้ใส่ใจเลย
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของสันเขาหมื่นอสูรนั้นไม่รู้เลยว่าในเวลานี้หนึ่งในสองอสูรขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญที่ถูกส่งลงมาถูกจับตัวไปเรียบร้อยแล้ว พวกมันยังคงเดินหน้าโจมตีอาณาเขตรอบ ๆ ต่อไปโดยไม่สนใจอะไรราวกับว่าพวกมันคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้
ที่อีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงและกองทัพพันธมิตรได้ต่อสู้มาแล้วถึง 6 เดือน ซึ่งพวกเขาสามารถรุกคืบเข้าไปในแดนกระดูกขาวได้มากกว่า 3 ลี้
ถึงแม้ว่ามันจะนับว่าเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่นี้ แต่พวกเขาเองก็มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ทุกนาทีแต่พวกเขาก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไปเพราะแดนกระดูกขาวคือสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อยไม่งั้นหายนะที่ใหญ่กว่ามันจะบังเกิดขึ้น
เมื่อกองทัพพันธมิตรรุกคืบไปถึงระยะ 35,000 ลี้ จู่ ๆ สัตว์ประหลาดร่างขนาดมโหฬารก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อมองไปที่สัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวตัวนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกขนลุกขนพองเพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่!
ท่อนล่างของสัตว์ประหลาดตัวนี้เหมือนกิ้งก่ามีสี่ขาและหางยาว แต่ทั้งหมดคือเหลือแต่กระดูกส่วนท่องบนของมันกลับมีเนื้อหนังที่ดูเน่าเปื่อยและมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่กลับมีแขน 3 ข้าง ซ้ายสอง ขวาหนึ่ง ส่วนศีรษะของมันกลับมองเห็นได้ไม่ชัดว่ามีรูปร่างอะไรกันแน่เพราะมีพลังแห่งความตาย ซึ่งควบแน่นกันเป็นหมอกสีดำทึบปกคลุมทับจนไม่เห็นอะไรเลย
ส่วนความแข็งแกร่งของมันนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดต่างสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกเขา!
“นี่มันตัวบ้าอะไรกัน?” หวงซีอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจและพูดว่า “สัตว์ประหลาดตัวนี้คือผลลัพธ์จากการผสมกันของสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่อยู่ในแดนกระดูกขาว ไม่ว่าจะเป็นความอาฆาต กระดูก ซากศพ และวิญญาณมากมายที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ดังนั้นถ้าจะให้ชี้ชัดว่ามันคือตัวอะไรคงจะไม่มีใครตอบได้ และมันคือสิ่งมีชีวิตหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องที่บอกยาก เอาเป็นว่าพวกเราทำลายมันให้เร็วที่สุดก็พอ”
ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงเข้าใจแล้วว่าทำไมสวรรค์ถึงไม่ขัดขวางแผนการของเจ้ายมโลกที่จะขึ้นมาจัดการกับที่นี่ เพราะดูจากการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดตัวนี้แล้วหากไม่มีใครมาจัดการมัน เมื่อพลังความชั่วร้ายของที่นี่ปะทุขึ้นเมื่อไหร่โลกจะเผชิญกับหายนะอย่างใหญ่หลวง เพราะใครจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้จะพัฒนาขึ้นไปได้อีกถึงขั้นไหน?
“นายท่านปล่อยให้ข้าจัดการเอง!” กวนหลิงอู่ตะโกนขึ้นอาสาทันที
ก่อนหน้านี้กวนหลิงอู่ได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด สนับมือดาราอัสนีสวรรค์มาจากหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันทำให้เขามั่นใจว่าเขาน่าจะเอาสัตว์ประหลาดตัวนี้อยู่
“อืม ข้ามอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้าก็แล้วกัน!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
จากนั้นกวนหลิงอู่ก็ลงมือปล่อยเจ็ดหมัดต่อเนื่องทันทีไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสัตว์ประหลาด ซึ่งด้วยความรุนแรงของแต่ละหมัด ร่างกายทุกส่วนที่เป็นเป้าหมายระเบิดกระจุยกระจายหายออกไปในทันที
ภาพเช่นนี้มันทำให้ทุกคนต่างเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
แต่แล้วยิ้มของพวกเขากลับกลายเป็นแข็งค้าง เพราะภายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 อึดใจจู่ ๆ เศษเนื้อและกระดูกที่กวนหลิงอู่เพิ่งซัดกระจุยไปพวกมันลอยกลับมาประกบเข้าที่ร่างของสัตว์ประหลาดเหมือนเดิม และเชื่อมต่อกันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สัตว์ประหลาดบ้านี่มันตัวอะไรกัน!
กวนหลิงอู่ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นเช่นนี้ เขารีบโคจรพลังเอาไว้ในมือทั้งสองข้างและตะโกนว่า “ข้าไม่เชื่อว่าสัตว์ประหลาดอย่างเจ้าจะไม่มีวันตาย หมัดคู่ตะวันจันทรา!”
เวนหลิงอู่ใช้กระบวนท่าที่ 2 จาก 7 สุดยอดยุทธ์ทันที
ลำแสงสีขาวดำจากหมัดทั้งสองของกวนหลิงอู่ยิงไปที่ร่างของสัตว์ประหลาดทันที ส่งผลให้มวลร่างของมันสลายไปโดยที่ไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้
สัตว์ประหลาดสัมผัสได้ทันทีว่าสิ่งนี้เป็นภัยต่อชีวิตของมันอย่างยิ่งยวด ดังนั้นมันจึงปล่อยหมอกสีดำที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งความตายจำนวนมหาศาลออกจากปากของมันพุ่งไปหากวนหลิงอู่เพื่อเป็นการตอบโต้
ทางด้านของกวนหลิงอู่ เมื่อเห็นว่าหมอกดำกำลังพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบเปลี่ยนกระบวนท่าทันที “กระบวนท่าที่3 มหายุทธ์ร่างแสงสวรรค์!”
ทันทีที่กระบวนท่าที่ 3 ถูกใช้ ร่างของกวนหลิงอู่เปล่งรัศมีแสงสีทองออกจากร่างทันที
ไม่เพียงแต่รัศมีแสงสีทองนี้จะสามารถต้านทานหมอกสีดำที่อัดแนนไปด้วยพลังแห่งความตายได้ แต่มันยังสามารถสลายพลังแห่งความตายได้อีกต่างหาก!
การยื้อกันของสองพลังที่ต่างกันสุดขั้วนี้นานถึงครึ่งเดือน จนในที่สุดพลังแห่งความตายที่อยู่ในร่างของสัตว์ประหลาดก็ถูกชำระล้างออกไปทั้งหมด ส่งผลให้ร่างของมันพังทลายลงและเป็นการสิ้นสุดการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวแรกที่พวกเขาเจอ
กวนหลิงอู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ช่างยากลำบากจริง ๆ!”
กว่าเขาจะสามารถล้มสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้ลงได้ เขาใช้กระบวนท่าไปถึง 6 กระบวนท่าจากที่มีอยู่ทั้งหมดก็คือ 7 ซึ่งพลังระดับนี้มันมากพอที่จะต่อกรกับผู้สำเร็จเต๋าได้เลย
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เมื่อครู่มันเป็นศึกที่หนักเอาการอยู่พอสมควร เจ้าพักก่อนเถอะ ส่วนคนอื่น ๆ พวกเจ้าบุกต่อไปอย่าได้หยุด พวกเราต้องทำลายความชั่วร้ายที่มีในสถานที่แห่งนี้ให้หมดไปเร็วที่สุด!”